หลัวเลี่ยได้รับสารจากเทพ!
พูดตรงๆ ก็คือ หลัวเลี่ยได้รับสารจากเทพในฐานะ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ในภพจิตั
มหาเทพหยวนสื่อเทียนจวินมอบสารถึงเด็กหนุ่มคนนี้เป็การส่วนตัวหรือ การที่เขาได้รับเกียรติเช่นนี้ถือว่าเขาได้รับการยอมรับชัดๆ
เมื่อ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ได้รับสารนี้ ก็เท่ากับว่าตัวตนของเขายิ่งใหญ่และสูงส่งขึ้นมากแล้ว
หลัวเลี่ยเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าเทพหยวนสื่อเทียนจวินจะรู้จักเขาด้วย เช่นนี้เทพหยวนสื่อเทียนจวินจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของหลัวเลี่ยด้วยหรือไม่?
ศิษย์กระเรียนขาวพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “สารแห่งเทพกล่าวว่ากลียุคอันมืดมนได้มาถึงแล้ว ปราชญ์ผู้เปี่ยมด้วยพร์เอ๋ย เ้าจงกลายเป็ผู้กล้า และเป็ความหวังในยามกลียุคด้วยเถิด”
“หา!”
คราวนี้เป็ตาของหลัวเลี่ยที่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
การได้รับเลือกจาก์ นี่ไม่ใช่ว่าเขาต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนหรือ แต่อย่างไรก็ตามมันก็สามารถทำให้ตัวตนของหลัวเลี่ยในฐานะ ‘ผู้ัมีัอยู่ในเป้า’ เป็ปริศนาอย่างสมบูรณ์ และจะไม่มีใครสามารถรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาได้อีกต่อไป
ความจริงแล้วตราหยกเชื่อมิญญาที่หลัวเลี่ยได้รับมาได้ผ่านการขัดเกลาโดยแพนด้าน้อยปั้นแล้ว ตอนนี้จึงทำให้แม้แต่เทพยังไม่อาจค้นพบว่าตัวตนที่แท้จริงของ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ คือหลัวเลี่ย
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้หมายความว่าเทพจะไม่มีหนทางอื่น
เทพเป็สถานะสูงสุดที่มีชีวิตเป็ะ พลังของเทพแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถทำลายหรือสร้างโลกได้ แล้วนับประสาอะไรกับเื่การหาตัวตนของคนคนหนึ่ง ขอเพียงเทพยินดีสละพลังเล็กน้อย เขาก็จะสามารถรู้ไปถึงอดีตและอนาคตของคนคนนั้นได้แล้ว
แต่การได้รับเลือกจาก์ครั้งนี้ ก็หมายความว่าหลัวเลี่ยจะสามารถปกปิดตัวตนของเขาได้จริงๆ นับจากนี้ไปตราบใดที่เขาไม่เต็มใจก็จะไม่มีใครรู้ว่า ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ คือหลัวเลี่ย
“ฟู่ว...”
หลงโต้วไห่ถอนหายใจออกยาว และพูดขึ้นเบาๆ “กลียุคมาถึงแล้ว ผู้ที่เป็ความหวังในการช่วยเหลือโลกใบนี้ทั้งสาม บัดนี้ได้ปรากฏกายขึ้นแล้วสองคน ส่วนคนที่สามนั้นไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ส่วนใดในดินแดนแห่งนี้”
หลัวเลี่ยใเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
สามคน?
นอกจากเขาแล้วยังมีใครอีก
ผีเสื้อแห่งรักที่รู้จักหลัวเลี่ยดีที่สุดพูดขึ้นทันที “ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ในกลียุคแห่งความมืดมน มีเพียงผู้กล้าทั้งสามเท่านั้นที่จะสามารถช่วยดินแดนนี้ไว้ได้ ผู้ที่ปรากฏกายก่อนหน้าเ้าก็คือเจียงจื่อหยา ผู้ที่เป็ที่รู้จักกันดีในนามของแม่ทัพแห่งอาณาจักรชาง ตำนานกล่าวไว้ว่า เขามีภารกิจที่พึงกระทำ และเ้าก็คือคนที่สอง”
หลัวเลี่ยพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ผู้คนที่แต่เดิม้าให้ ‘ผู้มีัอยู่ที่ในเป้า’ เข้าร่วมกองกำลังของพวกเขา ตอนนี้พวกเขาได้ล้มเลิกความคิดนั้นแล้ว
ตอนนี้หยวนสื่อเทียนจวินได้ออกหน้าปกปิดอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของหลัวเลี่ย ราวกับว่าเขาไม่้าให้บุคคลอื่นได้สืบและรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหลัวเลี่ย นี่จึงเป็เหตุผลที่ว่าหลัวเลี่ยคงไม่อาจเข้าร่วมกับกองกำลังใดได้แล้ว
เมื่อศิษย์กระเรียนขาวมอบสารจากเทพให้หลัวเลี่ยแล้ว เขาก็จากไป และเมื่อทุกคนเห็นว่าเขาเคารพหลัวเลี่ยมากแค่ไหน ทุกคนก็ย่อมรู้แล้วว่าตัวตนของหลัวเลี่ยในสายตาของเทพหยวนสื่อเทียนจวินย่อมไม่ธรรมดา อา แน่นอนว่าสถานะที่ว่าไม่ธรรมดานั้นย่อมเป็ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของหลัวเลี่ย
และสำหรับอัจฉริยะบางคนที่เคยอ้างว่ามาจากสำนักทรงพลัง เมื่อพวกเขาได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม และไม่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าหลัวเลี่ยอีก ด้วยกลัวว่าหลัวเลี่ยจะจำวีรกรรมของพวกเขาได้
หลงโต้วไห่ก้าวออกมาอีกครั้ง “เนื่องจากว่าโลกเื้ัที่อยู่ในภพจิตัได้เกิดความผิดปกติขึ้น จนทำให้ผู้คนมากมายเป็อันตราย แต่เ้ากลับสามารถช่วยทุกคนเอาไว้ได้ คุณงามความดีครั้งนี้ของเ้า พวกเราเผ่าัย่อมต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
และแน่นอนว่าหลัวเลี่ยไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจจากเขา
รางวัลที่หลงโต้วไห่มอบให้เขานั้นมีค่ามาก
หลงโต้วไห่ได้มอบไข่มุกัหนึ่งเม็ด ลูกแก้วน้ำสามสิบหกลูก และตราัหนึ่งชิ้น
สองสิ่งแรกมีค่ามาก มันไม่ได้ปรากฏขึ้นง่ายๆ และตราันั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ตรานี้มีความคล้ายคลึงกับตราัทองเซียวเหยาของหอเซียวเหยาเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับตราของหอเซียวเหยาแล้ว ตราัที่เขาได้รับจากกลุ่มกองกำลังที่ทรงพลังเช่นเผ่าันั้นย่อมทรงพลังมากกว่า
หลังจากได้รับของแล้ว หลัวเลี่ยก็ไม่้ารั้งรออยู่ที่นี่อีก ดังนั้นเขากับผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลงจึงขอตัวออกมาก่อน และพากันกลับไปที่เรือนพเนจร
ในห้องรับรองของเรือนพเนจร เมื่อหลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวได้รับรู้เื่ราวความสามารถของหลัวเลี่ยในการพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าชัยได้ พวกนางก็มองไปที่หลัวเลี่ยด้วยความชื่นชมและตื่นเต้น นี่คือความชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจของพวกนาง
หลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวยืนอยู่ข้างนอก เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมาเยี่ยมและรบกวนพวกเขา
ในห้องรับรอง มีชายหนึ่งคนและหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน
หลัวเลี่ยหยิบกระดูกอสูรั หินปราบั และไข่มุกซ่อนราชันที่ได้มาจากแท่นบูชาออกมา
เพราะก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นบันไดหยกเพื่อไปถึงยอดเขาแห่งคุกอนธการได้สำเร็จ เย่เิหลงได้ตั้งเงื่อนไขไว้ว่าจะต้องมีการแบ่งสิ่งของกัน
ตอนนี้เป็เวลาที่จะจัดสรรแล้ว
“ทั้งสามสิ่งนี้ล้วนเป็ของดี” เย่เิหลงหยิบไข่มุกซ่อนราชันขึ้นมา “แม้ว่าไข่มุกซ่อนราชันนี้จะใช้ได้เพียงครั้งเดียว แต่มันก็ยังมีผลที่ทรงพลังและน่าดึงดูดมาก”
หลัวเลี่ยกล่าวว่า “ข้าให้เ้าเลือกสมบัติก่อน”
เย่เิหลงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ข้าไม่้าทั้งสามสิ่งนี้”
“หืม?”
หลัวเลี่ยและผีเสื้อแห่งรักชำเลืองมองกัน หลังจากนั้นพวกเขาก็มองไปที่เย่เิหลงอย่างสงสัย
เย่เิหลงเม้มปาก ก่อนะจยิ้มออกมา “ข้า้าตราัชิ้นนั้น”
“ไม่ได้!” ผีเสื้อแห่งรักปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด
ตราัมีค่ามากเกินไป และมันอาจเป็สมบัติที่หลงโต้วไห่นำออกมาเป็การส่วนตัวเพื่อเอาใจหลัวเลี่ย ผู้ซึ่งจะกลายเป็เทพในอนาคต
“เ้าคิดว่าครึ่งหนึ่งของสมบัติทั้งสามชิ้นนี้เทียบได้กับตราัหรือ” แม้ว่าหลัวเลี่ยจะไม่้าต่อกรกับผู้หญิงคนนี้มากเกินไป แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะถูกเอาเปรียบได้โดยง่าย
“ไม่” เย่เิหลงพูด “แต่ตราัชิ้นนี้มีความสำคัญกับข้ามาก”
หลัวเลี่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยขึ้น “ข้าสามารถมอบให้เ้าได้ แต่สิ่งของที่จะนำมาแลกเปลี่ยนต้องมีมูลค่าเท่ากัน”
“เ้า้าสิ่งใด” เย่เิหลงรู้ว่ามูลค่าครึ่งหนึ่งของสมบัติสามชิ้นที่ได้รับมาจากแท่นบูชานั้นไม่สามารถเทียบได้กับมูลค่าของตราั
“ตอนนี้ข้ามีพลังอยู่ที่ผู้ฝึกตนระดับที่สิบแล้ว เ้าลองทายดูสิว่าข้า้าสิ่งใด” หลัวเลี่ยยิ้ม
เย่เิหลงตระหนักได้ทันทีว่า “เ้า้าเคล็ดวิชาที่จะใช้เพื่อฝึกฝนพลังในระดับหยินหยาง อ่า ใช่แล้ว เ้า้าเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม!”
หลัวเลี่ยพยักหน้า
เขา้าเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมจริงๆ
หากกล่าวว่าเคล็ดวิชาั์คือยอดวิชาในขอบเขตของพลังวรยุทธ์ระดับผู้ฝึกตน ส่วนเคล็ดวิชาอื่นอย่างวิชาฝึกตนทั้งสิบ ล้วนไม่อาจมีพลังเทียบเท่าเคล็ดวิชาั์ได้ เช่นนั้นในระดับหยินหยาง ระดับแก่น์ และระดับวังชะตาแล้ว เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมนั้นถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุด
แม้ว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมในระดับพลังวรยุทธ์ทั้งสามนั้น อาจไม่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเหมือนเมื่อตอนฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ในระดับผู้ฝึกตน แต่ก็ยังเป็ที่ยอมรับว่า พลังที่ได้จากการฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมนั้นแข็งแกร่งกว่าการฝึกด้วยเคล็ดวิชาอื่น
ดังนั้นเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม จึงถือว่าเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดของหลัวเลี่ยที่เขาจะใช้ฝึกฝนต่อไปเมื่อเขาก้าวเข้าสู่ระดับหยินหยางแล้ว
เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมสร้างขึ้นเมื่อครั้งปฐมกาลของเทพเ้า มันถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิแห่งแดนประจิม ผู้ขบถต่อกฎแห่ง์ ในตอนนั้นจักรพรรดิแห่งแดนประจิมขึ้นชื่อว่าเป็ที่หนึ่งในใต้หล้า นอกจากเทพแล้วก็ไม่มีใครสามารถต้านทานเขาได้อีก
ซึ่งแตกต่างจากข่งเซวียนที่เป็บรรพชนที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน เพราะข่งเซวียนมีศิษย์มากมายที่ทรงพลัง แต่จักรพรรดิฟ้าแดนประจิมในตอนที่เป็บรรพชนกลับไม่ค่อยมีประวัติที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับผู้อื่น จึงไม่อาจระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็มีข่าวลือมาว่า เขาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของระดับเทพแล้ว นอกจากนี้เขายังเก็บซ่อนตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้อย่างดียิ่ง
ดังนั้นบรรพชนอันดับหนึ่งอย่างข่งเซวียนจึงแตกต่างจากจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมในตอนนั้นอย่างมาก
เย่เิหลงไม่ได้ตอบรับในทันที นางใช้เวลาคิดนานกว่าสองเค่อ ก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า “ข้าสามารถช่วยเ้าหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมมาได้ แต่ข้าต้องได้ของอีกครึ่งหนึ่งที่ได้มาจากแท่นบูชานั้นอีก เพราะอย่างไรเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมก็ย่อมมีค่ามากกว่าของพวกนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นเ้าก็มอบไข่มุกัมาให้ข้าเสีย”
หลัวเลี่ยหยิบไข่มุกัออกมา และส่งให้เย่เิหลงโดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด
เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมย่อมไม่เหมือนเคล็ดวิชาั์ที่สามารถฝึกได้ง่าย
เมื่อเย่เิหลงได้รับสิ่งของไปแล้ว นางก็บอกลาและจากไป โดยทิ้งข้อความไว้ว่าจะส่งเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมมาให้หลัวเลี่ยภายในสามเดือนนับจากนี้
หลัวเลี่ยไม่กลัวว่าเย่เิหลงจะไม่รักษาสัญญา เพราะตอนนี้ตัวตนของเขาในฐานะ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ นั้นสูงส่ง แม้ว่าเย่เิหลงจะไม่้ารักษาสัญญาของตนเอง แต่กองกำลังที่อยู่เื้ัของนางคงจะไม่ยอมให้เป็เช่นนั้นแน่ เพราะอย่างไรเขาก็เป็ถึงเทพในอนาคต และยังเป็ผู้ที่เทพหยวนสื่อเทียนจวินกล่าวด้วยตนเองว่า เขาเป็หนึ่งในสามคนที่จะสามารถช่วยดินแดนนี้ได้
ผีเสื้อแห่งรักเลือกที่จะเก็บหินปราบัไป
สิ่งที่เหลือมีเพียงกระดูกอสูรั ซึ่งถูกหลัวเลี่ยนำมาหลอมรวมเข้ากับน้ำเต้าพิทักษ์ั เพื่อให้มันแข็งแกร่งมากกว่าน้ำเต้าพิทักษ์ัอันอื่น
ลูกแก้วน้ำสามสิบหกลูกนั้นไร้ประโยชน์ชั่วคราว พวกมันถูกใส่กลับเข้าไปในกระเป๋าเฉียนคุณเหมือนเดิม
หลัวจากนั้นหลัวเลี่ยก็ออกจากภพจิตั และกลับสู่โลกแห่งความเป็จริง
ในเวลานี้ ไม่มีใครอยู่ที่ประตูแห่งโลกเื้ัอีกแล้ว บนแท่นบูชานั้นก็รกร้างและหักพัง ทั่วทั้งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยหมอกหนา ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นในความมืดมิด และมีคนเดินออกมาจากแสงนั้นอย่างช้าๆ
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ข้าคาดเดาได้มานานแล้วว่าจะต้องมีคนมาขัดขวางการกำเนิดของข้า ข้าหลับใหลอยู่ในบุปผางามอาบพิษมานับพันปี พวกเ้าจะหยุดยั้งการกำเนิดของข้าได้อย่างไร”
“ข้าขุนพลอสูรมาแล้ว ข้าจะพลิกคว่ำแผ่นดินนี้เสียให้สิ้น!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้