อากาศในฤดูใบไม้ผลินี้ช่างแปรปรวนนัก เมื่อวานแดดยังสดใสอยู่เลย วันนี้กลับมีฝนพรำโปรยปรายไม่ขาดสาย แต่ก็ดีเหมือนกัน มีฝนตกบ้าง พืชผลในไร่นาจะได้เติบโตงอกงาม
ไม่รู้ว่าจางเจิ้นอันที่ออกไปตลาดนัดจะเปียกฝนหรือไม่ นางควรต้มน้ำขิงเตรียมไว้ให้เขาสักชาม คิดดังนั้นนางก็วางงานเย็บปักลง รีบรุดไปยังห้องครัวเพื่อต้มน้ำขิง
เมื่อต้มเสร็จแล้ว นางก็ใช้ถ่านไฟในเตาเล็กๆ อุ่นน้ำขิงไว้ ก่อนจะกลับมานั่งปักผ้าต่อ แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่มีสมาธิเท่าใดนัก เผลอมองออกไปนอกประตูเป็ระยะ ด้วยเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว จนไม่ทันระวัง เผลอทำเข็มทิ่มนิ้วตัวเอง
“โอ๊ย...”
ปลายนิ้วเจ็บแปลบ นางยกนิ้วขึ้นจรดริมฝีปาก ดูดซับหยดเือย่างหัวเสีย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากนอกประตู เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นว่าเป็จางเจิ้นอันกลับมาแล้วจริงๆ
“ท่านกลับมาแล้ว” นางลุกขึ้นวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ
จางเจิ้นอันขานรับ ทั้งสองจึงเดินเข้าห้องโถงไปด้วยกัน
“ตัวท่านเปียกฝนเล็กน้อย ที่บ้านไม่มีเสื้อกันฝนหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม
“ฝนตกปรอยๆ ข้าี้เีสวม”
“ฝนปรอยๆ ก็คือฝนนะเ้าคะ หากเปียกไปทั้งตัวแล้วเกิดเป็หวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร?” น้ำเสียงของอันซิ่วเอ๋อร์แฝงแววตำหนิเล็กๆ ที่นางเองก็ไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ท่านไม่ต้องกังวล ข้าต้มน้ำขิงไว้ให้แล้ว ดื่มเสียจะได้ไม่ป่วย”
พูดจบนางก็รีบเดินเข้าครัวไป จางเจิ้นอันมองตามด้วยแววตาจนใจ ฝนแค่นี้จะนับเป็อะไรได้สำหรับเขา?
เขาวางตะกร้าสานที่สะพายหลังลง นั่งรออันซิ่วเอ๋อร์ยกน้ำขิงออกมาบนเก้าอี้
อันซิ่วเอ๋อร์เดินยิ้มออกมา วางถาดที่ใส่น้ำขิงลงตรงหน้าเขา “ข้าเพิ่งต้มเสร็จ ยังร้อนอยู่ ท่านรีบดื่มตอนร้อนๆ เถอะ”
จางเจิ้นอันไม่ได้คิดอะไรมาก ยกชามขึ้นดื่มรวดเดียว แต่เพราะรีบร้อนเกินไปจึงสำลัก อันซิ่วเอ๋อร์รีบเดินมาด้านหลัง ใช้มือเล็กๆ ลูบหลังให้เขาเบาๆ “ท่านเป็อะไรหรือไม่เ้าคะ ค่อยๆ ดื่มสิ”
“ข้าไม่เป็ไร” จางเจิ้นอันโบกมือปฏิเสธ แล้วถามต่อ “เ้าใส่ขิงไปมากเท่าใด? เผ็ดนัก”
อันซิ่วเอ๋อร์บิดชายเสื้อไปมา “ข้าใส่ไปแค่แง่งเดียวเอง”
“แง่งเดียว? ทั้งแง่งเลยรึ?” พอเห็นนางพยักหน้า จางเจิ้นอันก็ถึงกับพูดไม่ออก มิน่าเล่าถึงได้เผ็ดร้อนเพียงนี้ เขารู้สึกราวกับลำคอจะลุกเป็ไฟ ให้ตายเถอะ นางต้องกำลังแก้แค้นเื่เมื่อวานที่เขาให้นางดื่มสุราเป็แน่ ถึงได้ใส่ขิงเยอะขนาดนี้ตอนต้มน้ำขิง
ซ้ำร้ายก้นชามที่นางตักให้เขาก็ดันมีแค่เศษขิงเล็กๆ เพียงชิ้นสองชิ้น เขาจึงไม่ทันสังเกต ประกอบกับกำลังกระหายน้ำพอดี คราวนี้เลยหลงกลนางเข้าให้แล้ว
“ครั้งนี้ข้าผิดเองเ้าค่ะ ตอนอยู่บ้านข้าไม่ค่อยได้ต้มนัก เลยไม่รู้ว่าต้องใส่เท่าใด” อันซิ่วเอ๋อร์รีบยอมรับผิด “คราวหน้าข้าจะใส่น้อยลง แต่ใส่มากหน่อยก็ไม่เป็ไรหรอก ยิ่งเผ็ดยิ่งได้ผลดีอย่างไรเล่า ดูสิ หน้าผากท่านเหงื่อออกแล้ว แสดงว่าน้ำขิงได้ผลนะเ้าคะ”
‘ไม่ใช่แค่หน้าผากที่เหงื่อออกหรอก คอข้าก็จะพ่นควันได้อยู่แล้ว’ จางเจิ้นอันคิดในใจ
จางเจิ้นอันไม่รู้ว่าขิงที่นางใส่ลงไปนั้นใหญ่แค่ไหน รู้แต่เพียงว่าขิงที่บ้านล้วนเป็ของที่คนอื่นนำมาแลกกับเขา ขนาดประมาณฝ่ามือเขาทั้งนั้น อีกทั้งเศษขิงสองชิ้นที่ติดก้นชามมาก็เห็นได้ว่านางหั่นได้บางมาก น้ำขิงชามนี้คงเคี่ยวมานานพอสมควร
เขาอ้าปาก รีบรินน้ำดื่มให้ตัวเอง แต่น้ำนั้นเป็น้ำที่อันซิ่วเอ๋อร์เพิ่งต้มเสร็จ ยังร้อนอยู่ เขาจึงต้องลุกไปที่ครัว ตักน้ำเย็นสองกระบวยดื่มลงไป ในท้องถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
พอตั้งสติได้ เขาเดินออกจากครัว เห็นนางยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทำท่าเหมือนคนทำผิด เขาก็ไม่กล้าตำหนิอีก ทำได้เพียงเอ่ย “ช่างเถอะ ข้าไม่เป็ไรแล้ว เ้าอย่าโทษตัวเองเลย”
“ขอโทษเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้เขา ท่าทางของนางนุ่มนวล จางเจิ้นอันคว้ามือของนางไว้ นางสะดุ้งราวกับสัตว์น้อยตื่นใ เบนหน้าหนีเล็กน้อย
“เ้ากลัวจะถูกตีรึ?” จางเจิ้นอันเห็นปฏิกิริยาของนางก็รู้สึกประหลาดใจ “ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียว?”
“เปล่าเ้าค่ะ ท่านไม่น่ากลัว ข้าต่างหากที่ทำผิด” อันซิ่วเอ๋อร์ก้มหน้าตอบ
“ข้าบอกแล้วว่าเื่เล็กน้อยแค่นี้ ข้าไม่ถือสา” จางเจิ้นอันไม่รู้จะอธิบายกับนางอย่างไร รู้สึกว่าสตรีช่างเป็ตัวปัญหา แค่เื่เล็กน้อยก็ทำท่าจะร้องไห้ แต่เขากลับทำอะไรนางไม่ได้เลย
ยิ่งเห็นนางน้ำตาคลอเบ้า ทำท่าเหมือนจะร้องแต่ไม่ร้อง เขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจ รู้สึกว่าขนตาเปียกชื้นของนางนั้น ราวกับสาหร่ายริมธารที่พันผูกร่างเขาไว้ทั้งร่าง ข่วนอยู่ในใจเขาซ้ำไปซ้ำมา ไม่หยุดหย่อน
“ไหนว่าจะต้องกลับไปเยี่ยมบ้านไม่ใช่รึ?” จางเจิ้นอันจำต้องพูดเสียงอ่อนลง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของนาง “ข้าซื้อของมาบ้างอยู่ในตะกร้านั่น เ้าลองเอาออกมาดูสิ”
“ท่านซื้ออะไรมาหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์ถามเสียงเบา ก่อนจะย่อตัวลงหยิบของในตะกร้าสานของเขาออกมาทีละชิ้น
อันซิ่วเอ๋อร์หยิบห่อผ้าที่อยู่้าออกมาก่อน จากนั้นจึงหยิบของด้านในออกมา “เนื้อ น้ำตาลทราย แล้วก็... สุรา?”
“อืม” จางเจิ้นอันพยักหน้า
อันซิ่วเอ๋อร์จึงถาม “นี่เป็ของขวัญให้ข้านำกลับไปเยี่ยมบ้านหรือเ้าคะ?”
“ใช่” จางเจิ้นอันตอบรับอีกครั้ง อันซิ่วเอ๋อร์จึงเอ่ยว่า “ของพวกนี้คงแพงน่าดู”
“เ้าไม่ต้องสนใจเื่นั้นหรอก” จางเจิ้นอันเอ่ยเพียงเท่านั้น “ของเยี่ยมบ้านเท่านี้พอหรือไม่? ถ้าไม่พอ ก็เอาไข่ไก่ที่เหลือในบ้านไปด้วย”
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นจางเจิ้นอันซื้อของมากมายถึงเพียงนี้มาให้นางเป็ของเยี่ยมบ้าน ก็รู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง นางเม้มปากยิ้ม “พอแล้วเ้าค่ะ ท่านใจกว้างมากแล้ว แค่กลับไปเยี่ยมบ้านธรรมดา หญิงที่ออกเรือนทั่วไปถือเนื้อสักสองชั่งไปก็ถือเป็ของขวัญชิ้นใหญ่แล้ว”
นางพลางยื่นไหสุราให้เขา “ท่านพ่อข้าไม่ค่อยดื่มสุรา ท่านชอบดื่มสุรานี้ เก็บไว้ดื่มเองเถอะเ้าค่ะ”
“ไม่เป็ไร นำไปให้ท่านพ่อตาก่อนเถิด หากข้าอยากดื่มค่อยซื้อใหม่คราวหน้าก็ได้” จางเจิ้นอันไม่ยื่นมือไปรับ อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งยินดี กล่าวว่า “เ้าค่ะ เช่นนั้นสุรานี้ข้าจะนำไปให้ท่านพ่อ ข้าจะหมักสุราให้ท่านดื่มเอง”
มุมปากของจางเจิ้นอันปรากฏรอยยิ้มจางๆ
อันซิ่วเอ๋อร์มองห่อผ้าบนโต๊ะอีกครั้ง “ในนี้ท่านใส่อะไรไว้หรือเ้าคะ?”
“เข็มด้ายกับผ้าที่เ้า้า แล้วก็ของอื่นๆ อีกเล็กน้อย” จางเจิ้นอันบุ้ยปากเป็สัญญาณให้นางเปิดดู
อันซิ่วเอ๋อร์จึงเปิดออกดู ข้างในมีเข็มกับด้ายจริงดังคาด พร้อมทั้งผ้าอีกหลายผืน สีสันสดใส ดูแล้วเนื้อผ้าดีกว่าที่นางเคยซื้อก่อนหน้านี้
“ท่านซื้อด้ายไหมดีเช่นนี้ เวลานำผ้าเช็ดหน้าที่ปักไปขาย ข้าคงรู้สึกเสียดายแย่” อันซิ่วเอ๋อร์เก็บของ แล้วหยิบวัตถุรูปร่างคล้ายไม้ขึ้นมาดู เป็แท่งไม้ยาวๆ ส่วนปลายเป็ทรงรี มีขนสัตว์ติดอยู่ อันซิ่วเอ๋อร์ลองใช้มือลูบดู “นี่คือแปรงสีฟันที่ท่านซื้อให้ข้าหรือเ้าคะ?”
จางเจิ้นอันพยักหน้า
อันซิ่วเอ๋อร์กล่าว “อันที่จริงข้าใช้กิ่งหลิวก็ดีอยู่แล้ว แปรงสีฟันนี่ราคาตั้งห้าเหวิน [1] ท่านก็ช่างกล้าซื้อนะเ้าคะ”
“ซื้อมาแล้วก็แล้วไป” จางเจิ้นอันไม่ใส่ใจ
อันซิ่วเอ๋อร์ถือของเดินเข้าไป เงยหน้าขึ้นจุมพิตแก้มเขาแ่เบาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย “ขอบคุณท่านนะเ้าคะ ท่านดีต่อข้าจริงๆ”
จางเจิ้นอันเพิ่งรู้สึกตัว นางก็ถือของกลับเข้าห้องไปเสียแล้ว เขายกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง รู้สึกว่าบริเวณที่นางจุมพิตนั้นราวกับถูกไฟลวก ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างประหลาด
อันซิ่วเอ๋อร์เก็บเข็มด้ายเข้าที่ แล้วถือแปรงสีฟันไปยังห้องครัว ครั้งก่อนตอนทำความสะอาดครัว นางเจอกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ สูงราวสองชุ่น [2] ซึ่งล้างสะอาดเก็บไว้ใช้เป็จอกของตัวเองนานแล้ว นางวางแปรงสีฟันลงในนั้นอย่างระมัดระวัง แล้ววางเรียงไว้ข้างจอกของจางเจิ้นอัน
นางมองจอกสองใบที่วางเคียงกัน ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกหวานล้ำขึ้นมา นางหาตะกร้าเปล่าใบหนึ่งในครัว ออกมาเก็บของบนโต๊ะให้เรียบร้อย พอเห็นว่าจางเจิ้นอันกำลังมองมา แม้เขาจะใช้ผ้าคาดไว้ แต่นางก็ยังััได้ถึงสายตาอันร้อนแรงของเขา จนต้องก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว
“จริงสิ วันนี้แสงไม่จ้านัก ท่านถอดผ้าคาดตาออกได้หรือไม่เ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เดินไปข้างกายจางเจิ้นอัน แสร้งทำใจกล้าเงยหน้าขึ้น เอ่ยขอร้อง เมื่อเห็นจางเจิ้นอันลังเลเล็กน้อย นางจึงกล่าวต่อ “หากไม่ได้ก็ไม่เป็ไร สุขภาพของท่านสำคัญที่สุดเ้าค่ะ”
“ไม่เป็ไร” จางเจิ้นอันดึงผ้าคาดที่ตาออก อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นมือไปพับผ้าคาดตาเก็บไว้ในอกเสื้อ เดินไปยืนข้างๆ เขา “อันที่จริงตอนท่านไม่เอาผ้าคาดไว้ก็ดูดีมากนะเ้าคะ ท่านพ่อท่านแม่เห็นแล้วจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
“อืม” จางเจิ้นอันตอบรับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจกลับครุ่นคิด ที่แท้วันนี้คนที่ไปเยี่ยมบ้านไม่ใช่นาง แต่เป็เขา ลูกเขยอัปลักษณ์คนนี้ที่จะไปคารวะพ่อตาแม่ยายนี่เอง
“ใกล้ค่ำแล้ว พวกเราไปกันเถอะเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ จางเจิ้นอันจึงเดินตามนางไป ที่บ้านไม่มีของมีค่าอะไร เมื่อออกจากบ้านก็เพียงแง้มประตูไว้เท่านั้น จางเจิ้นอันหันไปรับตะกร้าจากมืออันซิ่วเอ๋อร์ แล้วเดินมุ่งหน้าเข้าหมู่บ้านไปพร้อมกับนาง
ฝนยังคงตกปรอยๆ ทั้งสองสวมหมวกไม้ไผ่กันฝน ชาวบ้านในหมู่บ้านบางคนเห็นเข้าก็ทักทายอันซิ่วเอ๋อร์ “ซิ่วเอ๋อร์ กลับบ้านแม่รึ?”
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบรับคำทักทายทุกคน พอคนเ่าั้เดินผ่านไป นางเอียงคอมองบุรุษข้างกายแวบหนึ่ง ในใจพลันถอนหายใจแ่เบา เฮ้อ ชั่วพริบตาเดียวนางก็กลายเป็คนบ้านอื่นไปเสียแล้ว บ้านเดิมของตนกลายเป็บ้านแม่ไปเสียแล้ว
ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปอย่างช้าๆ ขณะที่เหลียงซื่อนั้นออกมายืนรออยู่ที่หน้าประตูั้แ่เช้าแล้ว
“ต้ายา เอ้อร์ยา ไหนอาเ้าบอกว่าจะกลับมาวันนี้มิใช่รึ? นี่ใกล้เวลาอาหารแล้ว เหตุใดยังไม่เห็นเงาเลยเล่า?” เหลียงซื่อรอจนเริ่มกระวนกระวาย จึงหันไปถามหลานสาวสองคนที่อยู่ข้างๆ วันนี้เพื่อรออันซิ่วเอ๋อร์กลับเยี่ยมบ้าน ทั้งครอบครัวจึงไม่ได้ออกไปทำงานในนาเลย
“ท่านอาบอกว่าจะกลับมาช้าหน่อยเ้าค่ะ” ต้ายารู้สึกน้อยใจเล็กน้อย ตนบอกท่านย่าไปแล้วชัดๆ แต่ท่านย่ากลับมายืนรอตรงนี้ แล้วยังมาสงสัยว่านางบอกผิดอีก
“ยายแก่ ฝนตกอยู่แท้ๆ เ้ามายืนชะเง้ออะไรที่หน้าประตู? กลัวซิ่วเอ๋อร์มันจะไม่กลับบ้านรึไง?” พ่อเฒ่าอันถือกล้องยาสูบเดินเข้ามา “รีบกลับไปหุงหาอาหารเถอะ ประเดี๋ยวลูกสาวลูกเขยมาถึงไม่มีข้าวร้อนๆ กินจะน่าหัวเราะเอา”
“เฮ้อ ข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ” เดิมทีเหลียงซื่อคิดจะรออีกสักครู่ แต่เมื่อพ่อเฒ่าอันเอ่ยปากแล้ว นางก็ไม่อาจอยู่ต่อนาน ได้แต่มองออกไปนอกประตูอย่างอาลัยอาวรณ์อีกครั้ง ก่อนจะกลับเข้าบ้านไปทำอาหาร
เชิงอรรถ
[1] หน่วยเงินย่อยในสมัยโบราณของจีน มักทำจากทองแดง มีรูตรงกลาง
[2] หน่วยวัดความยาวของจีนโบราณ 1 ชุ่น มีความยาวประมาณ 3-3.7 เิเ ดังนั้น สองชุ่นจึงยาวประมาณ 6-7 เิเ
