มู่หลิงจูรู้สึกประหลาดใจกับความคิดของนาง ขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกมิถูกจนเผลอยิ้มอย่างได้ใจ
การมาที่วัดสุ่ยอวิ๋นในครั้งนี้นับว่ามาไม่เสียเที่ยว ในที่สุดนางก็ตระหนักได้ถึงความชั่วที่มู่อวิ๋นจิ่นซุกซ่อน
ดูซิว่าคราวนี้องค์ชายหกจะยังยอมแต่งกับเ้าอยู่อีกหรือไม่!!!
…
ทางด้านมู่อวิ๋นจิ่น เมื่อเก็บเชือกแดงเส้นนั้นเรียบร้อยก็พยายามเรียกสติกลับมาแล้วหยิบเชือกแดงเส้นใหม่ มือก็หยิบพู่กันจุ่มลงไปในหมึกแล้วเขียนคำอธิษฐานด้วยตัวอักษรที่โย้เย้บิดเบี้ยว แม้กระทั่งตัวนางเองก็พลอยรังเกียจตัวอักษรที่เขียนด้วยมือ
พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ตัวอักษรสี่ตัวที่นางเขียนขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นก็พลันขนลุกขนพองด้วยความแปลกใจ
ไม่นึกไม่ฝันว่าสถานที่ที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งพุทธะ กลับมีเื่แปลกเหมือนผีเข้าเกิดขึ้นมาได้
ครั้งหน้าขออย่าให้เื่แบบนี้เกิดขึ้นอีกเลย
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงหัวเราะเยาะเย้ยพลันดังขึ้นจากด้านหลัง “หึๆ อายเจียนึกว่าคุณหนูสามสกุลมู่หยุดยืนอยู่นานสองนาน คิดว่าจะเขียนคำอวยพรที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่นี่กลับเขียนเพียงแค่นี้เอง”
“ขออายเจียดูให้ชัด ๆ หน่อย ที่เขียนอวยพรนี่อ่านว่าอย่างไรแล้ว? เหตุใดฝีพู่กันถึงดูแย่กว่าเด็กสามขวบอีกเล่า?”
ไม่รู้ว่าเจิ้งไทเฮามาโผล่ด้านหลังมู่อวิ๋นจิ่น เพื่อมองตัวอักษรที่นางเขียนด้วยสายตาเหยียดหยามั้แ่เมื่อไหร่กัน
จากนั้นเจิ้งไทเฮาได้หัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา “เฮ้อ ไม่เป็ไรหรอก การที่เ้าเขียนพู่กันไม่เป็นั้น คนในเมืองเตี๋ยฮวาแทบทุกคนต่างรู้กันดี การที่ฝืนเขียนออกมาได้ขนาดนี้ก็คงลำบากไม่น้อย”
“หากเ้ามีเวลาละก็ ลองให้น้องสาวจูเอ๋อร์ของเ้าสอนเขียนดูสิ อย่างน้อยเดี๋ยวได้เป็พระชายาจะได้ไม่ทำให้ลี่เอ๋อร์ต้องอับอายขายขี้หน้า ทว่าหากจูเอ๋อร์ไม่มีเวลาสอน อายเจียก็สามารถขอให้ฝ่าาพระราชทานอนุญาตให้เ้าเข้าไปร่ำเรียนกับราชครูพร้อมด้วยบรรดาองค์ชายก็ยังได้”
พอเจิ้งไทเฮาพูดร่ายมาเสียยืดยาวจนได้ยินกันทั่ว ทุกสายตาต่างก็หันมาจับจ้องเชือกแดงที่มู่อวิ๋นจิ่นวางไว้บนโต๊ะหิน
มู่หลิงจูครุ่นคิดอย่างละเอียดว่าควรทำเช่นไรถึงจะสามารถเอาความลับของมู่อวิ๋นจิ่นที่เห็นเมื่อครู่ป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ถ้วนหน้า
มู่อวิ๋นจิ่นยืนแน่นิ่งไม่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าคำพูดของเจิ้งไทเฮาไม่สามารถกระทบอารมณ์ความรู้สึกของนางได้แม้แต่น้อย จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็เหลือบมองไปที่ฉินไท่เฟย
ทุกอย่างเป็ไปตามที่มู่อวิ๋นจิ่นคาดคิดไว้ ไม่ต้องถึงมือมู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยปากเอง ฉินไท่เฟยกลับอดรนทนไม่ไหวต้องเอ่ยปากขึ้นมาแทน “เหอะ ๆเจิ้งไทเฮาเอาแต่จ้องจับผิดอวิ๋นจิ่นในด้านนี้ด้านเดียวไปเพื่ออะไรเล่า…”
“โบราณว่าสตรีสำคัญอยู่ที่ความงาม ท่านดูสิว่าวังหลังมีสตรีงดงามมากมาย แต่ที่ได้รับการโปรดปรานเป็พิเศษเห็นจะมีแต่สตรีที่งามโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ จึงมิจำเป็ต้องมีความรู้มากมายถึงขนาดนั้น หรือว่าท่านหวังเข้าไปว่าราชการในท้องพระโรงแทนโอรสที่เป็ฝ่าากระนั้นหรือ?”
“ฉินไท่เฟย เ้าบังอาจมาก! อย่างน้อยอายเจียเป็ถึงไทเฮา ส่วนเ้าเป็เพียงสนมตำแหน่งไท่เฟย จะพูดจากับอายเจียควรเกรงใจมากกว่านี้หน่อย!” เจิ้งไทเฮาเดือดดาลกับคำพูดของฉินไท่เฟยจนถลึงตาใส่
ฉินไท่เฟยกลับกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสบายใจ “หากแพ้ไม่เป็ก็อย่าได้ะโลงมาเล่นในวังวนนี้เลย ถ้าบอกว่าหม่อมฉันบังอาจต้องขออภัยด้วย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เป็เพราะโอรสของท่านเป็คนให้ท้าย หากมิยอมพระทัยโปรดไปฟ้องโอรสผู้เป็ฝ่าาของท่านได้เลยเพคะ”
สิ่งที่ฉินไท่สวนกลับยืดยาวทำให้สถานที่นั้นเงียบสงัดจนแทบไร้เสียงลมหายใจ แม้แต่เจิ้งไทเฮาที่เดือดดาลเต็มประดาก็ยังเถียงกลับไม่ออก
ฝ่าาพระองค์นี้เป็โอรสแท้ ๆ ของเจิ้งไทเฮา และเป็สามีของฉินไท่เฟยชั้นต่ำคนนี้ ั้แ่ที่ได้ขึ้นตำแหน่งเป็ไทเฮาแล้ว หลายปีมานี้เจิ้งไทเฮากลับถูกฉินไท่เฟยกดดันไปเสียทุกอย่าง
มู่หลิงจูนึกไม่ถึงว่าเจิ้งไทเฮาจะพ่ายแพ้อีกครั้ง ในใจได้แต่เศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูกจึงรีบเดินเข้าไปกระซิบข้างหูเจิ้งไทเฮา “ไทเฮาเพคะ ได้ยินมาว่าด้านหลังวัดสุ่ยอวิ๋นมีสวนบุปผานานาพันธุ์ผืนใหญ่ที่งดงาม วันนี้อากาศดีพวกเราใช้โอกาสนี้ไปดูกันดีไหมเพคะ?”
เจิ้งไทเฮารู้สึกโล่งอกที่มู่หลิงจูรีบเข้ามาช่วยในสถานการณ์คับขันได้ทันท่วงที จึงพยักหน้ารับแล้วหันหลังเดินจากไป
หลังจากเจิ้งไทเฮาเดินจากไปแล้ว ฝั่งฉินไท่เฟยก็ส่งสายตาแห่งชัยชนะให้มู่อวิ๋นจิ่น “จิ่นเอ๋อร์ อายเจียเก่งหรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นยกนิ้วโป้งขึ้นมาให้กับฉินไท่เฟย ซึ่งเป็การชื่นชมของคนในยุคปัจจุบันที่นางย้อนเวลากลับมาในยุคโบราณ
“เชอะ เจิ้งไทเฮานางคนแก่บ้าบอ หลายปีมานี้ทุกครั้งที่ลับฝีปากกับอายเจีย มักใช้ประโยคชั้นต่ำมาท้าทายอายเจียเสมอ ทั้งยังเลือกรับมู่หลิงจูที่เป็สตรีอันดับหนึ่งที่มีความสามารถมาเป็เบี้ยล่าง ดูท่าแล้วคนประเภทเดียวกันถึงอยู่ด้วยกันได้นี่เอง”
พอได้ฟังสิ่งที่ฉินไท่เฟยเอื้อนเอ่ย มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปากเล็กน้อย อดชื่นชมฉินไท่เฟยที่มีสายตาเฉียบแหลมถึงปานนี้เสียมิได้
ก่อนจะเดินจากไป มู่อวิ๋นจิ่นหันหลังกลับไปมองต้นไม้โบราณอีกครั้ง พร้อมกับยื่นมือเข้าไปจับเชือกแดงที่เก็บไว้ในแขนเสื้อบิดไปมา
ประโยคในเชือกแดงนั้นที่เขียนว่า… ข้ากลับมาแล้ว
หรือว่านี่เป็การบอกนัยแอบแฝงบางอย่าง
…
ในเวลานี้ที่ด้านหลังูเาของวัดสุ่ยอวิ๋น
เจิ้งไทเฮาเดินหน้าบูดเบี้ยวด้วยความโกรธานำหน้าทุกคน นางยื่นมือไปเด็ดบุปผามาดอกหนึ่งขยี้จนใบหลุดร่วงลงพื้น
มู่หลิงจูรู้ว่าเจิ้งไทเฮายังคงเดือดดาลกับสิ่งที่ฉินไท่เฟยพูดเมื่อครู่มิน้อย นางจึงรวบรวมความกล้าและเอ่ยขึ้นว่า “ไทเฮา หลิงจูมีเื่เกี่ยวกับพี่สาว มิทราบว่าจะเล่าดีหรือไม่เพคะ?”
“เื่อันใด?”
“เมื่อครู่นี้ที่ลานใต้ต้นไม้โบราณ หลิงจูได้เห็นพี่สาว…”
มู่หลิงจูเล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้เจิ้งไทเฮาฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นเจิ้งไทเฮานิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “กลับวัง!”
…
ทางด้านมู่อวิ๋นจิ่นที่เดินทางกลับมาถึงจวนของตนก็หยิบเชือกแดงในแขนเสื้อออกมาจุดไฟเผาทิ้ง
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีไม่ร่าเริง พร้อมกับคิดเื่ที่เกิดตอนอยู่ในวัดสุ่ยอวิ๋นโดยละเอียด
จื่อเซียงยกน้ำมารินใส่แก้วให้มู่อวิ๋นจิ่นพร้อมกับสังเกตท่าทีมู่อวิ๋นจิ่นที่ดูเหงาหงอย จึงคิดว่าอาจเกิดเื่ไม่ดีขึ้นหลังจากถูกเจิ้งไทเฮาเสียดสีใส่ นางจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู อย่าได้นำคำพูดของเจิ้งไทเฮามาใส่ใจเลยเ้าค่ะ เจิ้งไทเฮากับฉินไท่เฟยไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว การที่พูดจาไม่รื่นหูย่อมเป็เื่ธรรมดาสามัญอย่างมากเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปากตอบเสียงเรียบ “ข้าไม่จำเป็ต้องคิดเล็กคิดน้อยกับนางหรอก นางอายุปูนนี้ฟันใกล้ร่วงหมดปากเต็มที จะมีชีวิตอยู่ไปได้อีกกี่ปีเชียว”
“คุณหนูพูดได้ถูกต้องเ้าค่ะ แค่ที่จวนเองก็มีคนมาท้าทายบ้าง หาเื่บ้างมากมายเหลือเกิน ไม่รู้ว่าหลังจากคุณหนูแต่งเข้าจวนองค์ชายหกไปแล้วจะสงบสุขมากกว่านี้บ้างหรือเปล่า”
ได้ฟังที่จื่อเซียงพูด มู่อวิ๋นจิ่นก็ถอนหายใจเม้มปากแน่น กระทั่งไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น มู่อวิ๋นจิ่นเอาแต่อยู่ในเรือนมวลบุปผา ตลอดทั้งวันเอาแต่นั่งอยู่ในเรือนรับลมจิบชาอย่างสบายใจ
“คุณหนู เถ้าแก่เนี้ยหลินจากร้านหลิวหลีส่งชุดผ้าแพรมาแล้วเ้าค่ะ” จื่อเซียงเดินเข้ามาในเรือนมวลบุปผาพร้อมกับสตรีที่ถือชุดผ้าแพรเข้ามาสองชุด
มู่อวิ๋นจิ่นหรี่ตามองไปทางสตรีที่ถือชุดเข้ามา
เถ้าแก่เนี้ยสบตากับมู่อวิ๋นจิ่นแล้วรีบทำความเคารพ จากนั้นเดินเข้ามาใกล้ ๆ “คุณหนูสามใกล้ถึงวันที่ต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ซึ่งตรงกับวันที่แต่งงานกับองค์ชายหกพอดี วันนี้เถ้าแก่เนี้ยหลินได้รับคำสั่งให้มาส่งชุดทั้งสองที่จวนเ้าค่ะ”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินว่าเป็ชุดแต่งงานก็อดเลิกคิ้วขึ้นมาเสียมิได้
จื่อเซียงเห็นมู่อวิ๋นจิ่นยืนขึ้นก็รีบหยิบชุดผ้าแพรจากมือเถ้าแก่เนี้ยหลินขึ้นมากางออกให้มู่อวิ๋นจิ่นได้ดู ชุดเย็บกุ๊นขอบด้วยด้ายทอง กระโปรงปักลวดลายทับด้วยตาข่ายโปร่งบาง
“งามเหลือเกิน งามเหลือเกินเ้าค่ะ” จื่อเซียงออกปากชม
เถ้าแก่เนี้ยหลินอมยิ้ม “ชุดผ้าแพรนี้ ท่านพ่อของคุณหนูไปสั่งทำั้แ่ครึ่งเดือนก่อน หลังจากนั้นฉินไท่เฟยก็ส่งคนมากำชับกำชาทำให้เรียบร้อย ด้วยเหตุนี้จึงมิกล้าเพิกเฉย รีบหามรุ่งหามค่ำตัดเย็บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มิทราบว่าคุณหนูสามถูกใจหรือไม่เ้าคะ?”
“อืม สวยงามมิน้อย” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ อย่างน้อยชุดนี้ก็ดีกว่าชุดที่นางสวมอยู่หลายเท่าตัว
เพียงแต่ชุดนี้ทำอย่างประณีตงดงาม เกรงว่าจะได้ใส่เพียงครั้งเดียวในพิธีปักปิ่น ก็คงมิได้ใส่อีกแล้ว
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นถูกใจกับชุดผ้าแพรที่จะใส่ร่วมพิธีปักปิ่น จื่อเซียงที่อยู่ด้านข้างก็ยื่นมือไปคว้าชุดสีแดงสดสำหรับแต่งงานออกดู
ทันทีที่ชุดแต่งงานคลี่ออก สายตาของมู่อวิ๋นจิ่นกลับลุกวาว นางยื่นมือไปลูบชุดอย่างอดเสียมิได้
ชุดแต่งงานนี้ใช้ผ้าแพรสีแดงสดชั้นดีที่สุด บนชุดปักรูปนกยวนยาง[1]คู่หนึ่งที่เสมือนมีชีวิตกำลังโบยบินคลอเคลีย งามอลังการชนิดที่ชุดสำหรับพิธีปักปิ่นก็เทียบไม่ติด
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นถูกใจกับชุดแต่งงาน เถ้าแก่เนี้ยหลินจึงเอ่ยปากขึ้น “ชุดแต่งงานนี้องค์หญิงเก้ากำชับกำชาให้ทำขึ้นใหม่ โดยชุดที่ท่านพ่อของคุณหนูสั่งทำดำเนินการไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ถูกองค์หญิงเก้ายกเลิกไปแล้วเ้าค่ะ”
“ชิงหยวนก็มีส่วนร่วมกับเื่นี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นแปลกใจมิน้อยที่ชุดแต่งงานของนางทั้งฉินไท่เฟยและฉู่ชิงหยวนยื่นมือเข้ามาช่วยจัดการให้
เถ้าแก่เนี้ยหลินพยักหน้ารับ “ในเมื่อคุณหนูสามถูกใจกับชุดผ้าแพรทั้งสองนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวลากลับก่อนนะเ้าคะ”
จากนั้นเถ้าแก่เนี้ยหลินก็ทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น แล้วหันหลังเดินจากไป
เถ้าแก่เนี้ยหลินไปแล้ว จื่อเซียงหยิบชุดผ้าแพรทั้งสองขึ้นมา ก่อนพูดด้วยความดีใจ “คุณหนู ทั้งสองชุดงดงามเหลือเกิน ทั้งผ้าและวัสดุที่ใช้ทำล้วนเป็ของชั้นเลิศ อีกอย่างในเมืองเตี๋ยฮวาแห่งนี้ร้านผ้าของเถ้าแก่เนี้ยหลินนับว่าดีที่สุด บ่าวมิอยากคิดเลยว่าคุณหนูสวมออกมาแล้วจะงดงามตราตรึงใจเพียงใดเ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว วันที่ร่วมพิธีปักปิ่นต้องทำอย่างไรบ้าง?” มู่อวิ๋นจิ่นถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ตามประเพณีที่ทำมาแต่ดั้งเดิมของอาณาจักรซีหยวน วันที่เข้าพิธีปักปิ่นต้องจัดงานเลี้ยงที่จวน ทั้งยังต้องเตรียมของตอบแทนบุญคุณนายท่านและฮูหยินที่เลี้ยงดูมา สุดท้ายจึงให้ฮูหยินใหญ่ช่วยติดปิ่นที่ผมให้ก็นับว่าเสร็จสิ้นพิธีเ้าค่ะ” จื่อเซียงอธิบาย
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินที่จื่อเซียงเล่าให้ฟังก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ซูปี้ชิงจะปักปิ่นที่ผมให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วเ้าค่ะ ถึงแม้คุณหนูจะมีปิ่นปักผมแล้ว แต่ล้วนเป็ปิ่นธรรมดาสามัญทั่วไป หลังจากเสร็จสิ้นพิธีคุณหนูสามารถปักปิ่นหยกซึ่งจะถือว่าคุณหนูเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วเ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็เผยสีหน้าผิดหวังขึ้นมา “คนชั่วร้ายใจดำอำมหิตอย่างซูปี้ชิงนั้น อาจทายาพิษลงบนปิ่นปักผมก็เป็ได้!”
“คุณหนู ในวันนั้นก็ยังเป็วันแต่งงานกับองค์ชายหกด้วย อย่างไรเสียฮูหยินใหญ่คงมิกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหรอกเ้าค่ะ” จื่อเซียงรีบค้าน
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้น” มู่อวิ๋นจิ่นมองจื่อเซี่ยงที่กำลังอมยิ้ม พร้อมกับบ่นอุบในใจว่าการเป็ผู้ใหญ่ของคนในยุคโบราณช่างลำบากวุ่นวายเหลือเกิน
—-----------------
[1] นกยวนยาง หรือเป็ดแมนดาริน เป็สัตว์มงคลของจีน เป็สัญลักษณ์ของความรักเดียวใจเดียว