เท่าที่รู้จักในชาติที่แล้ว เหอตังกุยมั่นใจว่าการทำนายอนาคต การช่วยเหลือผู้คนเปลี่ยนแปลงชะตาล้วนเป็กลอุบายของไป๋หยางไป่ นักปราชญ์ผู้นี้ไม่ใช่เทพเซียน เขาเป็เพียงคนธรรมดาเท่านั้น
ทว่าก็เป็คนธรรมดาที่ใกล้เคียงเทพเซียนที่สุดในใต้หล้า ทั้งฉลาดปราดเปรื่องและพลิกแพลงเก่ง ขุนนางทุกคนที่ผ่านการอบรมจากเขาล้วนได้เลื่อนตำแหน่ง ทุกกลยุทธ์ที่เขาเสนอประสบผลสำเร็จราบรื่น การค้าขายที่เขาร่วมลงทุนก็รับประกันได้ว่าไม่ขาดทุนแน่นอน
เรียกได้ว่าไป๋หยางไป่เป็ปรมาจารย์ผู้วางกลยุทธ์แห่งรัชสมัยนี้ อย่างน้อยในความทรงจำของเหอตังกุยก็ไม่เคยเห็นเขาแพ้แม้แต่ครั้งเดียว
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือไป๋หยางไป่ไม่ได้เป็ขุนนาง ไม่เคยทำการค้าขาย เมื่อเขาสิ้นเนื้อประดาตัวก็จะไปโอ้อวดความสามารถที่ราชสำนักหรือร้านค้าต่าง ๆ เพื่อให้ได้เงินเล็กน้อยพอใช้จ่าย เมื่อเงินไม่ขาดมือก็มักจะแต่งตัวเป็ขอทานเดินถนน กระทำในสิ่งที่ขอทานอื่นไม่กล้า เช่นวิ่งเข้าร้านอาหารเพื่อร่วมกินอาหารกับผู้อื่น ก่อนถูกลูกจ้างในร้านโยนออกมา ไป๋หยางไป่เคยเปิดเผยกับเหอตังกุยว่าในทุก ๆ ปี เขาถูกโยนออกจากร้านราวห้าสิบครั้งเห็นจะได้
แน่นอนว่าขณะเขาปลอมเป็ขอทานจะต้องใช้ใบหน้าอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่เขาพูดสะท้อนให้เห็นว่าเขาเผชิญประสบการณ์ต่าง ๆ มาอย่างโชกโชน เขาไม่มีทางขาดแคลนเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง เสื้อผ้าและอาหารดี ๆ แต่เขาเพียงอยากลิ้มลองรสชาติการเป็ขอทานขอข้าวกินว่าเป็เช่นไร
ไป๋หยางไป่มีความสามารถมากมาย วิชาปลอมตัวของเขาเป็หนึ่งในวิชาที่คนรู้จักไม่น้อย แต่สิ่งที่คนเ่าั้ไม่รู้คือใบหน้าของไป๋หยางไป่ที่พวกเขาเห็นไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริง เขาเปลี่ยนใบหน้าตลอดทั้งปีเพื่อปกปิดความลับ จึงไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าดั้งเดิมของเขา
ฮ่องเต้จูหยวนจางนับถือศาสนาเต๋า มักคบค้าสมาคมกับนักบวช เพื่อหลอมยาอายุวัฒนะ ด้วยเหตุนี้จึงอยากชักชวนไป๋หยางไป่เป็ราชครูในวัง แต่ไป๋หยางไป่กลับหลีกเลี่ยงราวหนีงูพิษ เขายอมทิ้งบ้านหรูหรามาเป็ขอทานเดินถนนตลอดปี เพื่อซ่อนจากการเรียกตัวขององค์จักรพรรดิ ฮ่องเต้ทรงพิโรธหนักถึงขั้นส่งองครักษ์จิ่นอีเว่ยผู้มีความสามารถออกตามหาและจับกุมไป๋หยางไป่ในสภาพมีชีวิต ทว่าการจับกุมหลายต่อหลายครั้งล้วนคว้าน้ำเหลวเสมอ
องค์ชาย ขุนนางชั้นสูง รวมถึงพ่อค้าร่ำรวยนับไม่ถ้วนต่าง้าให้เขามาทำงานกับตน ทว่าไม่มีผู้ใดทำสำเร็จแม้แต่คนเดียว ไป๋หยางไป่เลือกที่จะเลี่ยงสิ่งยั่วยุ ไม่ว่าจะเป็ตำแหน่งสูงหรือความร่ำรวยที่คนเ่าั้เสนอ ทว่ากลับไปพึ่งพาจูฉวนองค์ชายสิบเจ็ดของฮ่องเต้ โดยรับหน้าที่เป็อาจารย์และกุนซือให้แก่องค์ชาย
ขณะนั้นจูฉวนเป็เพียงองค์ชายตัวเล็ก ๆ ที่เกิดจากนางสนม อายุราวสิบเอ็ดสิบสองปีเท่านั้น ในบรรดาองค์ชายองค์หญิงกว่าสี่สิบคนของจักรพรรดิ จูฉวนไม่โดดเด่นนัก ก่อนได้รับบรรดาศักดิ์อ๋องฝานและตำแหน่งในตำหนักต้าหนิง เขาเป็เพียงมดตัวหนึ่งท่ามกลางพายุาการเมืองของเมืองหลวง ไร้ซึ่งมารดาปกป้อง ไม่เพียงไม่มีอำนาจในมือ ทั้งยังมีชีวิตลำบากมาโดยตลอด
ภายใต้การแนะนำของไป๋หยางไป่ จูฉวนเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่ออายุสิบห้าก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็อ๋องหนิง ถูกย้ายไปประจำตำแหน่งสำคัญในการดูแลกองทัพทหารทางตอนเหนือที่เมืองต้าหนิง เพื่อป้องกันชายแดนและมองโกเลียใน สองปีผ่านไป ความสามารถของอ๋องหนิงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้อำนาจของเขามีนายทหารและม้าศึกกว่าแปดหมื่นชีวิต รวมถึงรถทำาเกือบหมื่นคัน ในบรรดาทหารม้า “ตั่วเหยียนซานเว่ย[1]” คือทหารมองโกเลียที่เก่งกาจด้านการสู้รบที่สุด แม้กระทั่งเหยียนหวังผู้มีอำนาจที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหมดก็ได้เพียงกองกำลังฝั่งเหนือหนึ่งแสนนายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการติดต่อเทพเ้าของไป๋หยางไป่ไม่ใช่สิ่งที่เหอตังกุยสนใจ สิ่งที่นางให้ความสนใจคือความลับของเขาที่ถูกพบโดยบังเอิญในชาติที่แล้วต่างหาก
ขณะนั้นเหอตังกุยเพิ่งจะอายุยี่สิบสองปี นางและไป๋หยางไป่ไปทำภารกิจที่เมืองอิ้งเทียนทว่าถูกนักฆ่าที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีไล่สังหาร วรยุทธ์ของไป๋หยางไป่ค่อนข้างอ่อนแอเช่นเดียวกับนางในชาติที่แล้ว เพียงไม่นานเขาก็ได้รับาเ็หลายที่ สถานการณ์อันตรายมาก ด้วยเหตุนี้ไป๋หยางไป่จึงโยนะเิควันที่ใช้เป็ประจำเพื่อหลบหนี ทำให้นักฆ่าและเหอตังกุยหมดสติ แต่เขากินยาแก้พิษไปก่อนหน้าจึงยังมีสติอยู่
เมื่อเหอตังกุยฟื้นก็พบว่าตนอยู่ในวัดร้างที่มีแต่ซากปรักหักพัง ด้านข้างคือร่างของไป๋หยางไป่ที่โชกด้วยโลหิต นางรีบลงมือรักษาเขาทันที ไม่นานก็ถอดเสื้อของเขาออก เหอตังกุยอดตกตะลึงไม่ได้ ผิวกายของไป๋หยางไป่ขาวเนียนกว่าสตรีหลายคน เทียบกับสีผิวบนใบหน้าแล้วช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
นางพบรอยต่อชัดเจนบริเวณไหล่ของเขา สีผิวบนรอยต่อนั้นหมองคล้ำและมีริ้วรอยเหี่ยวย่น ทว่าสีผิวด้านล่างกลับขาวเนียนดุจหิมะ จึงเดาได้ว่าไป๋หยางไป่ใช้ทักษะปลอมตัวปิดบังใบหน้าที่แท้จริง นางอยากเห็นใบหน้าจริงของเขา ทั้งยังอยากรู้ว่าเหตุใดเขาต้องใช้ใบหน้าปลอมดำรงชีวิตมาตั้งหลายปี
เมื่อถอดใบหน้าปลอมออก เหอตังกุยก็ใกับใบหน้าที่ขาวซีดเพราะเสียเืมากจนยากจะจินตนาการได้
ในต้นรัชสมัยหงอู่ ไป๋หยางไป่อาศัยอยู่ชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ คนในพื้นที่ยกย่องให้เขาเป็นักปราชญ์ ต่างบอกว่าเขาสร้างเมฆและฝนได้ จนได้รับการขนานนามว่าเป็าาัในโลกมนุษย์ ขณะนั้นเขาเป็ชายหนุ่มวัยไม่กี่สิบปี ตอนนี้ผ่านมาสามสิบปีแล้ว เขาน่าจะมีอายุสี่สิบปีเห็นจะได้ ทว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็เด็กหนุ่มวัยสิบหกสิบเจ็ด ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
เมื่อไป๋หยางไป่ฟื้นก็พบว่าความลับของตนถูกเปิดเผย ทว่าเขาไม่มีเจตนาสังหารคนเพื่อปิดปาก จึงทำได้เพียงขอร้องไม่ให้นางเปิดเผยความลับนี้กับผู้ใด นางตอบตกลงก่อนรบเร้าขอเคล็ดลับความงามจากเขา
ใบหน้าที่ไม่มีวันแก่ชรานั้นน่าสนใจนัก เป็ความใฝ่ฝันของสตรีนับไม่ถ้วน เหอตังกุยคิดว่าหากใบหน้าของตนสามารถคงความงามได้ตลอดชีวิต ก็จะได้รับความโปรดปรานจากจูฉวนตลอดไปเช่นกัน
คาดไม่ถึงว่าไป๋หยางไป่จะตอบตกลง เขาไม่ยอมบอกวิธีคงความงามใบหน้าแต่กลับบอกให้เหอตังกุยไปพบเขาทุกสิบวัน เพื่อเตรียมน้ำต้มยาให้นางอาบ เหอตังกุยนำน้ำยาส่วนหนึ่งกลับไปอย่างลับ ๆ เพื่อตรวจสอบส่วนผสม ทว่ากลิ่นในน้ำยานั้นหลากหลายจนแยกไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นส่วนผสมและระดับความร้อนที่ใช้อาบก็เปลี่ยนแปลงทุกครั้ง
เมื่อไป๋หยางไป่จับได้ว่านางแอบขโมยน้ำยาและศึกษาส่วนผสม เขาจึงกล่าวด้วยความเดือดดาล หากยังคิดตรวจสอบส่วนผสมอีก เขาจะไม่ช่วยนางคงความงามใบหน้าอีกต่อไป นางจึงทำได้เพียงยกเลิกความคิดอย่างจนปัญญา
เพราะอาบน้ำยาวิเศษของไป๋หยางไป่ ใบหน้าของนางจึงไม่แก่ชราทว่ากลับงดงามอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น ในปีที่อายุยี่สิบเจ็ด ผิวของนางยังคงเต่งตึงและเรียบเนียน อีกทั้งยังขาวราวเนื้อหิมะ คนที่ได้มองล้วนนึกว่านางเป็เด็กสาววัยสิบหกสิบเจ็ด บรรดานางสนมในตำหนักต่างอิจฉาตาร้อน หลายคนแอบติดสินบนสาวใช้ของนางเพื่อสอบถามอาหารที่นางกิน แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวเช่นเคย
ดั่งสุภาษิตที่ว่า “ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกก็ไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลา” ขณะนี้เหอตังกุยเพียงมากินข้าวที่ร้านฉวินเสียนโหลว แต่กลับบังเอิญพบพานไป๋หยางไป่ ช่างเป็พรหมลิขิตเสียจริง แล้วนางจะไม่สานต่อการสืบหาส่วนผสมลับของใบหน้าที่ไม่มีวันชราได้อย่างไร?
ความโลภและความกระหายที่ฉายชัดในแววตาของเหอตังกุยทำให้ไป๋หยางไป่ขนลุกทั่วร่าง ท่านเทพไท่ชั่งเหล่าจวินโปรดช่วยข้าน้อยด้วย สตรีผู้นี้เป็ใครกันแน่? ไม่รู้ว่าตนคิดผิดหรือไม่ สายตานางราวมองทะลุหน้ากากไปยังหัวใจของเขา ภายใต้รัศมีปกคลุมร่างนางนั้น นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เขาหวาดกลัวจนไม่สามารถอธิบายได้ แม้กระทั่งต่อหน้าองครักษ์จิ่นอีเว่ย เขาก็ไม่เคยหวาดกลัวจนทำตัวไม่ถูกเช่นนี้
คำขอแรกของนางคือให้เขา “ถอดหน้ากาก” แท้จริงแล้วเขาไม่ได้หวาดกลัวการเปิดเผยฐานะมากนัก เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น หลายคนให้เขาถอดหน้ากากด้วยเพราะจำเสียง จำลักษณะท่าทางหรือกลยุทธ์เ้าเล่ห์ได้ คนเ่าั้รู้ว่าเขาคือนักปราชญ์ไป๋หยางไป่ผู้ชำนาญการปลอมตัวในตำนานจึงอยากผูกมิตร ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขายอมเปิดเผยฐานะ อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนได้ อาจต้อนรับขับสู้ด้วยความกระตือรือร้นยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ
สตรีผู้นี้ให้เขาร้องะโว่า “ข้าคือฆาตกร” เพียงเพราะอยากให้เหล่าทหารจับกุมแล้วส่งตัวเขาให้จักรพรรดิ แม้เป็เช่นนั้น เขาก็ไม่กลัว เพราะฮ่องเต้รัชสมัยนี้เคารพเขายิ่งนัก มักจะส่งทอง สาวงาม หยกม้าหรือจวนหลังใหญ่ให้เขาเสมอ
แต่คำขอที่สองของนางคือให้เขา “ถอดเสื้อท่อนบน” ทำให้ไป๋หยางไป่สงสัยยิ่งนัก หรือนางจะรู้ความลับของเขา? นางรู้หรือว่าผิวกายเขาต่างจากผิวหน้าอย่างสิ้นเชิง หรือรู้แม้กระทั่งเขาอายุเพียงสิบเจ็ดปี?
แท้จริงแล้ววิชาปลอมตัวของเขามีเพียงสองหลักสำคัญคือการปลอมตัวชุดใหญ่และการปลอมตัวชุดเล็ก “การปลอมตัวชุดใหญ่” จะต้องลงแช่น้ำยาเพื่อทำให้ผิวกายซีดและเหี่ยวย่น จากนั้นจึงเปลี่ยนหน้าเป็คนแก่ “การปลอมตัวชุดเล็ก” เพียงเปลี่ยนใบหน้า มือและเส้นผมให้เป็คนชรา แต่ร่างกายยังคงเป็ผิวขาวของชายหนุ่ม วันนี้เขาใช้หลักการปลอมตัวชุดเล็ก หากถอดเสื้อออก คนทั้งหมดในร้านแห่งนี้ก็จะเห็นใบหน้าชราทว่ามีผิวกายอ่อนเยาว์ของเขา ความลับก็จะถูกเปิดเผย
ไป๋หยางไป่รวบรวมลมปราณเจินชี่ต่อเนื่อง ส่งพลังทั้งหมดไปยังบริเวณที่ถูกกดจุด ทว่าผลลัพธ์กลับน้อยยิ่งนัก เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “เกลียดตัวเองยิ่งนักที่ไม่ยอมฝึกลมปราณเจินชี่ให้มากกว่านี้”
เขาเงยหน้ามองพิจารณาสตรีปีศาจอีกครั้ง นิ้วเรียวยาวของนางแกะปูด้วยความเบื่อหน่าย จากนั้นก็ราดน้ำส้มสายชูลงบนเนื้อปู ก่อนผลักจานไปตรงหน้าสตรีเด็กข้าง ๆ มองดูเด็กผู้นั้นกินเนื้อปูอย่างมีความสุข
“ท่านนักพรต อย่านิ่งเฉยเช่นนั้น มา ๆ กินเนื้อปูกัน” เมื่อเหอตังกุยชักชวนอย่างเป็มิตร น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็ทุ้มต่ำและมีเสน่ห์ แตกต่างจากเสียงเล็กแหลมเ้าเล่ห์เมื่อครู่สิ้นเชิง คิดไม่ถึงว่าจะเป็น้ำเสียงของคนเดียวกัน
เหอตังกุยสังเกตลวดลายเปลือกปู พลางเอ่ยปริศนาคำทายเนิบนาบ “รู้ก็บอกรู้ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ รู้หรือไม่รู้ ์รู้ พิภพรู้ เ้ารู้ ข้ารู้”
บัดซบ ไป๋หยางไป่เดือดดาลยิ่ง “ข้าเคยมีความแค้นอันใดกับเ้าหรือไม่? เ้าถึงใส่ร้ายข้าเช่นนี้?”
เหอตังกุยเลิกคิ้วเอ่ยตอบ “ท่านนักพรตมีชีวิตนานถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงทำเป็น้ำท่วมปาก ดั่งสุภาษิตกล่าว “คนบริสุทธิ์กลับมีความผิดเพราะหยกติดตัว” ร่างกายของท่านดุจหยกงามล้ำค่า อ้อมแขนของท่านก็โอบอุ้มหยกงามไว้ไม่น้อย เหตุใดจึงโทษคนอื่นว่าอยากขโมยของของท่าน?” ใช่ คนที่ข้าใส่ร้ายก็คือเ้า
ไป๋หยางไป่เอ่ยถามเ็า “ใครส่งเ้ามา? ข้าอยากคุยกับเ้านายเื้ัเ้า พวกเ้ามาที่นี่้าอะไรจากข้า?”
“เหอ ๆ ” เหอตังกุยหัวเราะพลางจิบชา ก่อนเอ่ย “ท่านนักพรต ท่านสติเลอะเลือนหรืออย่างไร เมื่อครู่พวกข้ากินอาหารอยู่ดี ๆ ท่านต่างหากที่เดินเข้ามา ข้าไม่สามารถล่วงรู้อนาคตเช่นท่าน จะรู้ได้เยี่ยงไรว่าจะพบท่านนักพรต แล้วจะวางกลอุบายล่วงหน้าได้เยี่ยงไรเล่า? หากข้าคิดร้ายต่อท่าน ข้าคงทำให้ท่านสลบแล้วลากตัวไป จากนั้นก็หยิบสิ่งของที่อยากได้ไปจากท่าน” เจินจิ้งอ้าปากกว้างด้วยความตะลึง เหอตังกุยจิบชาแล้วเอ่ยต่อ “ทว่าข้ากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะสิ่งที่ข้า้าไม่ได้มากมาย ไม่จำเป็ต้องสังหารท่านเพื่อให้ได้มัน ท่านนักพรต ท่านว่าข้าดีกับท่านหรือไม่?”
ไป๋หยางไป่จ้องใบหน้าเรียวเล็ก ความงดงามและมีเสน่ห์ยังคงอยู่บนใบหน้านั้น เขาเอ่ยถาม “สิ่งที่เ้า้าคืออะไร? พูดมา บางทีข้าอาจจะตกลง”
เหอตังกุยยิ้มเห็นฟัน “ข้าเห็นว่าท่านมีความสามารถจึงอยากรับท่านเป็ศิษย์ จงคำนับข้าเป็อาจารย์เสีย” หากเอ่ยขอเคล็ดลับคงความงามตอนนี้ ไป๋หยางไป่ต้องไม่ยอมให้เป็แน่ หากให้ก็คงเป็ของปลอม แม้ชาติที่แล้วพวกเขาจะรู้จักกันมาหลายปี เขาก็ยังไม่ยอมให้เคล็ดลับแก่นาง ด้วยเหตุนี้จึงต้องค่อย ๆ ประลองฝีมือกับเขา อาจใช้เวลาสักหน่อยจึงจะได้มันมา
--------------------------------------------------------------------
[1] ตั่วเหยียนซานเว่ย คือทหารม้ารับจ้างของมองโกล มีความสามารถในการรบสูงและแข็งแกร่งที่สุด