โลกภายหลังประตูหินนี้คล้ายจะเป็แดนมายา มันไม่เหมือนกับสิ่งที่ควรจะมีอยู่ในูเาจริงๆ
หลัวเลี่ยยืนหยุดนิ่งสักพักโดยไม่ได้เข้าไปข้างในทันที เขามองไปรอบๆ และหันกลับมามองที่ประตูหิน แต่เขาก็พบว่าประตูหินที่เปิดให้เขาเข้ามาในตอนแรกนั้นหายไปเสียแล้ว มีเพียงเขาที่ยืนอยู่อย่างเดียวดายในทางเดินของแดนมายานี้
ไม่มีทางให้เขากลับออกไปแล้ว
ซึ่งหมายความว่าเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หลัวเลี่ยเปิดใช้งานปีก์เลี่ยหยางบนแผ่นหลังของเขา จากนั้นเขาก็หยิบคันธนูซวนิออกมา ซึ่งคันธนูซวนินี้เป็สมบัติที่เขาใช้เมื่อตอนที่เป็ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ เท่านั้น ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเรียกพลังของเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินทั้งสองด้านออกมาด้วย
หลัวเลี่ยอยู่ในร่างที่สมบูรณ์สุดๆ
ตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว หากเขาเผชิญหน้ากับไก้อู๋ซวงในสถานะนี้ เขาคงไม่ต้องลำบากใช้พลังอย่างหนักหน่วงแน่นอน แต่มันก็เป็ไปไม่ได้ ในเมื่อสถานการณ์ทำให้เขาต้องปิดบังตัวตน เขาจึงต้องแยกทุกสิ่งออกจากกันอย่างชัดเจน
นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เขาใช้พลังของเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินด้านนทีและด้านบรรพตพร้อมกัน
ดังนั้นภาพที่ปรากฏอยู่ข้างหลังเขา จึงเป็ูเาที่ทะลุผ่านขึ้นมาบนท้องฟ้าและถูกล้อมรอบด้วยสายน้ำสายหนึ่ง
เดิมทีพลังของเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินในระดับสำริดทำให้หลัวเลี่ยมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหกเท่า แต่ตอนนี้เนื่องจากเขาใช้เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินทั้งสองด้านพร้อมกัน จึงทำให้เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นแปดถึงเก้าเท่า
“รู้สึกดีขึ้นมาก”
หลังจากนั้นหลัวเลี่ยก็เดินเข้าไปข้างในด้วยความมั่นใจ
เนื่องจากแผนที่นี้และวิธีการเปิดประตูหินล้วนเป็ของไก้อู๋ซวง ซึ่งหมายความว่าหากไก้อู๋ซวงมาที่นี่ นางก็จะต้องฝ่าฟันเข้ามาอย่างแน่นอน หากนางทำได้ เขาก็ต้องทำได้
ลุย!
ทางเดินภายในแดนมายานั้นยาวมาก
หลัวเลี่ยเดินมาไกลหลายลี้แล้ว ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบเกิดขึ้นตรงหน้าเขา
พรึ่บ!
แล้วจู่ๆ ลำแสงนั้นก็กลายเป็ดาบและพุ่งเข้าหาหลัวเลี่ย
ปีก์เลี่ยหยางที่อยู่บริเวณแผ่นหลังของหลัวเลี่ยโบกสะบัดเล็กน้อย จากนั้นก็มีเปลวไฟสองดวงปรากฏขึ้นและลอยออกไปในทันที
ตูม!
แสงนั้นถูกทำลายโดยลูกไฟที่หลัวเลี่ยปล่อยออกมา
เดิมทีปีก์เลี่ยหยางเป็วิชายุทธ์เกี่ยวกับการบินที่ทรงพลัง และเมื่อหลัวเลี่ยใช้เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดินร่วมด้วย ส่งผลให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นแปดถึงเก้าเท่า จึงทำให้วิชายุทธ์นี้ทรงพลังมากขึ้นไปอีก
หลังจากที่แสงนั้นสลายไปก็ราวกับว่าหลัวเลี่ยได้เปิดกลไกอะไรบางอย่างขึ้น ทันใดนั้นรอบตัวของเขาก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นมากมาย
ลำแสงนั้นเปลี่ยนเป็ดาบนับไม่ถ้วน
และในเวลาต่อมา พวกมันก็พุ่งเข้ามาหาหลัวเลี่ย
ในขณะที่ดาบแห่งลำแสงนั้นกำลังพุ่งตรงเข้ามา ลำแสงเดิมที่หลัวเลี่ยได้ทำลายไปก่อนหน้านี้ก็ก่อตัวขึ้นเป็ดาบดั่งเดิมเช่นเดียวกัน พวกมันต่างพุ่งเข้ามาเพื่อสังหารหลัวเลี่ย
“ไป!”
หลัวเลี่ยสั่งในใจ จากนั้นปีก์เลี่ยหยางที่อยู่บนแผ่นหลังของเขาก็ขยับอย่างรุนแรงในทันที
เปลวเพลิงจากปีก์เลี่ยหยางพุ่งออกไปทุกทิศทาง จนปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า
ในขณะที่ปีก์เลี่ยหยางกำลังขยับด้วยความรวดเร็วอยู่นั้น หลัวเลี่ยก็หยิบคันธนูซวนิออกมา มือของเขาง้างสายธนู และออกแรงดึงยิงลูกธนูออกไปรอบทิศทางเพื่อต้านลำแสงพวกนั้น
ในที่สุดหลัวเลี่ยก็เข้าใจแล้วว่าทางเดินนี้เต็มไปด้วยดาบแห่งลำแสง ลำแสงพวกนี้จะปรากฏตัวออกมานับไม่ถ้วนจนกว่าเขาจะสามารถผ่านมันไปได้
แน่นอนว่าหลัวเลี่ยก็เริ่มแสดงพลังของตนแล้วเช่นกัน
วิชายุทธ์หลักที่เขาเลือกใช้ก็คือปีก์เลี่ยหยาง ซึ่งมีความเร็วและพลังที่สมบูรณ์แบบ
ในชั่วพริบตา หลัวเลี่ยบินออกห่างจากจุดเดิมมาแล้วสองลี้
และในชั่วพริบตานี้ ปีก์เลี่ยหยางก็ได้สร้างลูกไฟออกมาแล้วห้าถึงหกร้อยลูก
ส่วนตัวของหลัวเลี่ยเองก็ออกแรงโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งตลอดทางเช่นกัน
หลังจากที่หลัวเลี่ยยืนหยัดต่อสู้มาสักพักหนึ่ง ในที่สุดด้านหน้าของเขาก็มีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายวังหลวงปรากฏขึ้น โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองบินมาเป็ระยะทางกี่ลี้แล้ว
“ในที่สุดก็จะหลุดพ้นแล้ว”
ในขณะที่หลัวเลี่ยเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ทันใดนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาตามลม เขาััได้ถึงอันตรายบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงเบี่ยงตัวไปทางซ้าย ซึ่งเป็ปฏิกิริยาที่ตอบสนองต่ออันตรายนี้
ฉัวะ!
หลัวเลี่ยเห็นลำแสงลำหนึ่งแทงทะลุผ่านลูกไฟจำนวนมากมาเจาะเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขา
แม้ว่าร่างกายของหลัวเลี่ยจะทานทนต่ออาวุธทุกอย่างที่มีระดับต่ำกว่าอาวุธวิเศษ แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานลำแสงนี้ได้ ดังนั้นลำแสงนี้จึงสามารถแทงทะลุไหล่ซ้ายของเขาแล้วะเิลงที่พื้น หลังจากถูกโจมตีหลัวเลี่ยก็กลิ้งและล้มตัวลงไปที่พื้น ในตอนนั้นเองลำแสงมากมายก็พุ่งตรงเข้ามาโจมตีเขา
“ทำลาย!”
หลัวเลี่ยยกมือขึ้นมาและใช้เคล็ดวิชามหาหลุนิ
ตูม!
ทันใดนั้นลำแสงทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาก็ะเิในทันที
หลัวเลี่ยใช้โอกาสนี้เร่งความเร็วในการบินออกไปจนถึงขีดสุด โดยใช้ทั้งวิชาก้าวัและวิชาปีก์เลี่ยหยางร่วมกัน
พรึ่บ!
เขาออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหลัวเลี่ยขยับปีกหนึ่งครั้ง เขาก็บินได้ถึงครึ่งลี้แล้ว
ในขณะที่หลัวเลี่ยกำลังบินอยู่นั้นก็มีลำแสงสองลำจากด้านซ้ายและด้านขวาพุ่งตรงมาที่เขา ลำแสงทั้งสองลำนี้พุ่งมาเร็วมาก มันเร็วจนแม้แต่หลัวเลี่ยที่บินด้วยความเร็วขนาดนี้ยังหลบไม่ทัน
ใน่เวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็กับความตายนี้ ทันใดนั้นหลัวเลี่ยก็พลิกตัวเปลี่ยนจากการยืนเป็การนอนขนานไปกับพื้นตามสัญชาตญาณ
ลำแสงทั้งสองพุ่งเข้ามาที่ตัวของเขาแล้ว
กึก! กึก!
ปีก์เลี่ยหยางมีร้อยราวปรากฏขึ้น หลังจากนั้นมันก็แตกและะเิในทันที
ร่างของหลัวเลี่ยร่วงลงและเกลือกกลิ้งไปกับพื้นด้วยความลำบาก จากนั้นเขาก็ออกมาจากทางเดินนั้นได้ด้วยวิธีเช่นนี้
หลังจากที่เขาออกมาได้ ทางเดินที่อยู่ด้านหลังของเขาก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบในทันที มีเพียงปีก์เลี่ยหยางซึ่งกลายเป็ไฟนอนอยู่บนพื้นเท่านั้น ที่แสดงให้เห็นว่าทางเดินที่เขาผ่านมานั้นอันตรายเพียงใด
“เกือบไปแล้ว”
หลัวเลี่ยเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขา ในขณะที่เขาหันหน้ากลับไปมองที่ทางเดิน เขารู้สึกเหมือนตอนนั้นเป็่เวลาที่ตัดสินระหว่างความเป็และความตาย
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญนี้มาได้ เมื่อหลัวเลี่ยย้อนกลับไปคิดเกี่ยวกับเื่ที่เพิ่งผ่านมานี้อีกครั้ง เขาก็พบกับจุดที่แปลกประหลาด นั่นก็คือถึงแม้ว่าเส้นทางนี้จะดูอันตราย แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะปลูกฝังบางสิ่งให้กับเขาเช่นกัน และสิ่งนั้นก็คือสัญชาตญาณในการต่อสู้
เมื่อคนคนหนึ่งต่อสู้ สิ่งที่คนคนนั้นจะทำเป็อย่างแรกก็คือการใช้วิธีการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ โดยผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างมีสติและรอบคอบมาแล้ว แต่สิ่งเ่าั้ล้วนด้อยกว่าสัญชาตญาณ เพราะการใช้สัญชาตญาณนั้นเป็สิ่งที่มีติดตัวโดยกำเนิดอยู่แล้ว และมันจะออกมาโดยที่เราไม่ได้ใช้เวลาคิดเลยสักนิด ดังนั้นสิ่งที่เราตอบสนองอย่างรวดเร็วที่สุดจึงจะเป็วิธีการต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุด และการมีสัญชาตญาณที่แม่นยำนั้นก็เป็สิ่งที่ทุกคนปรารถนาจะมีมากที่สุดเช่นกัน
และตอนนี้หลัวเลี่ยก็ค้นพบแล้วว่าเส้นทางลำแสงที่เขาผ่านมานั้นกำลังบ่มเพาะสัญชาตญาณในการต่อสู้ให้เขาอยู่
เมื่อหลัวเลี่ยคิดได้เช่นนี้ สิ่งที่เขาทำต่อไปคือไม่เพียงไม่เดินไปข้างหน้าเท่านั้น แต่เขากลับวิ่งถอยหลังกลับไปที่ทางเดิม
การเดินผ่านเส้นทางเก่าในครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้วิชาปีก์เลี่ยหยาง ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน และไม่ได้ใช้คันธนูซวนิอีกแล้ว เขาใช้เพียงหมัดที่ปล่อยออกมาจากสองมือและสัญชาตญาณในการต่อสู้เท่านั้น
เขาเดินผ่านเส้นทางแห่งลำแสงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
หลัวเลี่ยวิ่งเข้าหาอันตรายอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อฝึกฝนสัญชาตญาณในการต่อสู้ของเขา
หลัวเลี่ยเดินบนเส้นทางนี้ไม่ต่ำกว่าสามสิบรอบ เขาทำเช่นนี้ซ้ำๆ จนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าเขาสามารถผ่านมันมาได้อย่างไม่ลำบากอีก เขาจึงเลิกทำ
ในเวลานี้ หลัวเลี่ยมั่นใจว่าทักษะการต่อสู้และประสาทััของเขาได้รับการพัฒนาขึ้นแล้ว
“สัญชาตญาณในการต่อสู้หรือ หึๆ เป็สถานที่ที่น่าสนใจจริงๆ”
“สัญชาตญาณในการต่อสู้สามารถช่วยลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายจากการต่อสู้ และเป็สิ่งที่ดีที่สุดในการแสดงพลังของตัวเองอย่างแท้จริง”
หลัวเลี่ยขยับร่างกายของเขาก่อนที่จะเดินต่อไปในเส้นทางข้างหน้า
เมื่อเขาผ่านเส้นทางแห่งลำแสงมาแล้ว ก็พบกับสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายพระราชวังเก่าแก่ที่ค่อนข้างทรุดโทรม
พื้นที่โดยรอบพระราชวังนี้มีร่องรอยของการต่อสู้มากมาย
หลัวเลี่ยเดินตรงไปที่ประตูพระราชวัง
ประตูของพระราชวังนี้อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงผลักมันเพื่อเปิดเข้าไปข้างในอย่างเบามือ
ข้างในเต็มไปด้วยซากกระดูกมนุษย์ในท่าทางต่างๆ ซากกระดูกพวกนี้ล้วนไม่มีเืเนื้อหลงเหลืออยู่แล้ว
ภายในตำหนักของพระราชวังมีบัลลังก์ัทองขนาดใหญ่ ซึ่งมีชายวัยกลางคนหน้าตาสง่างามสวมชุดสีเหลืองนั่งอยู่บนนั้น แม้ว่าชายคนนั้นจะไม่มีลมหายใจแล้ว แต่ร่างของเขาก็ยังคงปลดปล่อยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวออกมาราวกับว่าเขายังมีชีวิตอยู่ มือทั้งสองข้างของชายคนนั้นวางอยู่บนหัวั ซึ่งเป็ที่วางแขนของบัลลังก์ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาปิดแน่น แต่เมื่อหลัวเลี่ยผลักประตูเข้าไป และมองเห็นเขา ทันใดนั้นชายคนนั้นที่หลัวเลี่ยไม่รู้ว่าเสียชีวิตมานานเท่าไรแล้วก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นทันที
ทันทีที่ชายคนนั้นลืมตาขึ้น ทุกสิ่งในพระราชวังก็สลายกลายเป็เถ้าถ่าน พลังของเขาคล้ายจะะเิออกมาเพื่อกวาดล้างทุกสิ่งรวมถึงตัวหลัวเลี่ยเองด้วย
ใน่เวลานั้นหลัวเลี่ยรู้สึกว่าตัวของเขาช่างไร้ค่า ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับเทพเ้าที่เขาไม่สามารถต่อกรด้วยได้เลย
ความตายมาถึงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าเลยแม้แต่น้อย