“กระหม่อมหลี่ลั่วถวายบังคมฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วค่อยๆ คุกเข่าลง ด้วยเพราะอายุยังน้อยบวกกับรูปร่างเล็ก กิริยาคุกเข่านั้นจึงทำได้ไม่ไหลลื่นเท่ากับผู้ใหญ่ ยิ่งทำให้แลดูน่ารักขึ้นอีกหลายส่วน
ครั้งที่แล้วที่หลี่ลั่วเข้าวังหลวงคือเมื่อสิบวันก่อน จ้าวหนิงฮ่องเต้ได้ลืมเื่ของเขาไปเสียสิ้น ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะเข้าวัง
“ลั่วเอ๋อร์รีบลุกขึ้น มาให้เจิ้นดูหน่อยเถิด อยู่ในเมืองหลวงคุ้นเคยดีหรือไม่?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถามด้วยรอยยิ้ม
กิริยาผ่อนคลายและอ่อนโยนของจ้าวหนิงฮ่องเต้ทำให้พระโอรสทั้งสี่ที่นั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรรู้สึกคาดไม่ถึงเล็กน้อย จ้าวหนิงฮ่องเต้ในวัยเยาว์นั้นพูดน้อยและเงียบขรึม มีเพียงเมื่อเขาอยู่กับไท่จื่อเยี่ยนผู้เป็พระเชษฐาเท่านั้นที่เขาจะยินยอมพูดมากขึ้นสักสองสามประโยค ต่อมาได้ไปเข้าร่วมกับกองทัพที่ซีเป่ย วันเวลาที่ต้องใช้ไปกับในสนามรบที่เต็มไปด้วยการนองเื ทำให้กลิ่นอายสังหารในตัวเขานั้นเข้มข้นดุดันนัก ที่จริงแล้วยังยิ่งทำให้แข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย มีเพียงหลังจากขึ้นครองราชย์เป็ฮ่องเต้หลายปีมานี้ที่กลิ่นอายสังหารในตัวของเขาจึงค่อยๆ เบาบางลง แต่โดยแท้จริงแล้วตัวเ้าหนิงฮ่องเต้เองมิใช่คนที่อยู่ด้วยได้ง่ายดายนัก ต่อให้อยู่ต่อหน้าบุตรชายของตนเอง เขาก็จะวางตัวสงบนิ่งอยู่เสมอ มีเพียงกู้จวิ้นเฉิน บุตรชายเพียงคนเดียวของไท่จื่อเยี่ยนที่เขาจะอ่อนโยนด้วย
หลี่ลั่วลุกขึ้นยืน ใช้มือตบๆ ลงไปบนกางเกงและหัวเข่าของตน จากนั้นจึงยิ้มหวาน “กระหม่อมมีความเป็อยู่ดีมากพ่ะย่ะค่ะ มารดา พี่ชาย และยังมีพี่สาวต่างก็ดีกับกระหม่อมยิ่งนัก ญาติผู้ใหญ่ในครอบครัวหลายท่านก็มอบของขวัญให้กระหม่อมมากมาย มีเพียงการตื่นมาคารวะยามเช้าที่กระหม่อมไม่ชอบ ดังนั้นจึงแอบๆ ไม่ไปแล้ว แต่ท่านย่ามีเมตตามาก มิได้กล่าวตำหนิกระหม่อมแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ”
ั้แ่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่คุกเข่าเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้แล้วลุกขึ้นมาตบกางเกงนวดหัวเข่าเห็นทีจะมีเพียงเ้าเด็กน้อยคนนี้ผู้เดียวเท่านั้น แต่อาจจะเป็เพราะด้วยความที่เขาอายุยังน้อย ผิวพรรณขาวผ่อง หน้าตางดงามน่ารัก จึงไม่ได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขาไร้มารยาท
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่เขาพูดว่าแอบๆ ไม่ไปคารวะยามเช้าแล้วนั้น พระโอรสทั้งสี่ที่อยู่ในที่นี้ต่างก็มีความคิดเหมือนกัน คิดถึงพวกเขาเมื่อครั้งยังเยาว์ก็ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากการต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปคารวะยามเช้าเช่นกัน เด็กน้อยย่อมชอบที่จะนอนตื่นสาย
“ช่างเป็เ้าปีศาจน้อยจริงๆ ยังดีที่ท่านย่าของเ้าไม่ติดใจอันใด” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถูกคำพูดของเด็กน้อยทำให้หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
หลี่ลั่วหัวเราะอย่างน่ารัก “ท่านย่าสุขภาพไม่ค่อยดีพ่ะย่ะค่ะ มาพักรักษาตัวอยู่ที่จวนโหวอยู่ถึงห้าปีแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ดังนั้นจึงต้องพักผ่อน การคารวะยามเช้าทำให้สุขภาพของนางยิ่งแย่ลงพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ๊ะ เ้าพูดได้อย่างมีเหตุมีผล” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนง “เช่นนั้นวันนี้เ้าเข้าวังมาหาเจิ้นมีเื่อันใดอีกเล่า? เงินที่เจิ้นให้เ้าไปเ้าผลาญหมดแล้วหรือไร?”
พระโอรสทั้งสี่ที่อยู่ในที่นี้ได้ยินคำพูดของจ้าวหนิงฮ่องเต้แล้วต่างก็ตกตะลึงอีกครั้ง
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วทำปากยู่จากนั้นจึงอธิบาย “หม่อมฉันใช้ไปเพียงสามพันห้าร้อยตำลึงพ่ะย่ะค่ะ”
“สามพันห้าร้อยตำลึงรึ? เด็กอายุห้าขวบเช่นเ้าใช้เงินสามพันห้าร้อยตำลึงซื้อสิ่งของอันใดกัน?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ประหลาดใจยิ่งนัก สภาพครอบครัวของมารดาอุปถัมภ์ของเด็กคนนี้เขาย่อมรู้ดี รายงานของหลี่จงิเขียนเอาไว้อย่างละเอียด ครอบครัวที่ยากจนเช่นนั้นสามารถอบรบเลี้ยงดูเด็กที่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายได้ถึงเพียงนี้เทียวหรือ?
“กระหม่อมซื้อหมู่บ้านและที่นาพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วตอบ “ซื้อหมู่บ้านหนึ่งพันแปดร้อยตำลึง ซื้อที่นาหนึ่งร้อยห้าสิบหมู่พ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าซื้อหมู่บ้านและที่นาเพื่อทำการอันใด?” ไฉนเขาจึงไม่เข้าใจความคิดของเด็กห้าขวบคนนี้เลยแม้แต่น้อย หรือว่าเขาแก่แล้ว?
หลี่ลั่วยิ้มอย่างอ่อนหวาน “กระหม่อมอยากปลูกผลไม้ ปลูกผลไม้ที่กินได้ไม่หมดพ่ะย่ะค่ะ”
“มารดาใหญ่ของเ้าไม่สนใจใยดีเ้าเลยหรือ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้คิดว่าหลี่หยางซื่อนั้นปล่อยให้เด็กอายุห้าขวบก่อเื่เลอะเทอะ ไม่คิดจะสนใจดูแลเขาบ้างหรือไร?
“มารดากล่าวว่าแม้กระหม่อมจะยังเด็ก ทว่ากระหม่อมคือเ้าของจวนโหว ดังนั้นไม่ว่ากระหม่อมจะทำอันใด ขอเพียงแต่ไม่ใช่เื่อันตรายร้ายแรงะเืฟ้าะเืดินอันใด นางล้วนไม่เข้ามายุ่งกับกระหม่อม คนเรานั้นต้องผ่านประสบการณ์ จึงจะเติบโตเป็ผู้ใหญ่ได้ และเพื่อเป็การเรียนรู้จากบทเรียนพ่ะย่ะค่ะ “หลี่ลั่วทูลตอบอย่างจริงจัง
ท่าทางของเด็กน้อยที่พูดจาอย่างจริงจังและตั้งใจนั้นน่ารักยิ่งนัก “เช่นนั้นวันนี้เข้าวังมาหาเจิ้นมีเื่อันใดเล่า?”
“กระหม่อมมาถวายสิ่งของให้แก่ฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วพูดแล้วก็หันไปที่ประตูพลางเรียก “ฉางเฉิง นำของถวายเข้ามาเถิด”
“เอาของมาให้เจิ้นรึ?” สายพระเนตรของจ้าวหนิงฮ่องเต้เต็มไปด้วยความฉงน ทว่ารอยยิ้มบนพระพักตร์นั้นกลับชัดเจนยิ่ง “เ้านำสิ่งอันใดมาให้เจิ้นกัน?”