หลังจากหลี่จิ่งหนานถูกพาตัวไปโดยฟู่ถิงเย่และคนอื่นๆ หวาชิงเสวี่ยก็รีบปิดประตูเรือนอย่างแ่า
เหตุจลาจลเมื่อคืนยุติลงแล้ว ดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เมืองเหรินชิวทั้งเมืองเงียบสงัดราวกับความตาย
ราวๆ เที่ยงวัน หวาชิงเสวี่ยได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากบริเวณใกล้เคียง
เสียงนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ราวกับว่าทหารเหลียวกำลังค้นหาผู้คนตามบ้านเรือนทีละหลัง
หวาชิงเสวี่ยได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมเล็กของสตรีข้างบ้าน "อย่าจับเขา! เมื่อคืนเขาอยู่บ้านไม่ได้ไปไหนเลย! ข้าขอร้องพวกท่าน! ได้โปรดอย่าจับเขา!"
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในห้องน้ำแข็งเย็น เสียงกรีดร้องนั้นทำให้นางขนลุกไปทั้งตัว!
เสียงร้องแปลกๆ เสียงร้องคำราม เสียงสิ่งของกระทบกันดังสนั่น! ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด!
แต่ว่า นางทำได้เพียงฟังเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นรอบตัว โดยไม่สามารถทำอะไรได้...
ห้องพักน้อยๆ ของหวาชิงเสวี่ยก็ไม่รอดพ้นจากการตรวจค้น เมื่อนางพยายามเอาชนะความกลัวในใจ เปิดประตูออกด้วยความหวาดหวั่น เหตุการณ์รุนแรงที่นางจินตนาการไว้กลับไม่ได้เกิดขึ้น
ทหารเหลียวหลายนายเดินเข้ามาในลานเรือนอย่างไม่ยี่หระ เดินวนไปรอบๆ พอเป็พิธี แล้วก็จากไป
แม้แต่ห้องพักผุพังที่นางซุกหัวนอน ทหารเหลียวก็เพียงแค่ยืนมองจากหน้าประตูเท่านั้น
หวาชิงเสวี่ยกำลังรู้สึกแปลกใจ ก็ได้ยินทหารเหลียวคนหนึ่งถามนางว่า "ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนในห้องยังมีเด็กคนหนึ่งอยู่ ทำไมไม่เห็นเขาแล้ว?"
หัวใจของหวาชิงเสวี่ยที่เพิ่งจะสงบลงไปได้ไม่นาน กลับมาเต้นแรงอีกครั้งในทันที!
"...เขา...เขา...เขาหายไปแล้ว..." หวาชิงเสวี่ยตอบเสียงเบา หวาดกลัวจนเสียววาบที่หนังศีรษะ
ดูเหมือนว่าทหารเหลียวคนนั้นจะเป็หัวหน้าของกลุ่มนี้ เขายกเสื้อผ้าที่ตากไว้ที่ลานเรือนขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ มองหวาชิงเสวี่ยที่หดตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ยิ้มหัวเราะ แล้วถามว่า "เ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?"
หวาชิงเสวี่ยจึงเงยหน้าขึ้นมองทหารเหลียวคนนั้น
เป็ทหารเหลียวที่นำเสื้อผ้าสกปรกมาส่งในวันนั้น
วันนั้นมีมาสองคน ตลอดเวลาเขาพูดภาษาชี่ตันกับสหายร่วมทางเพียงประโยคเดียว ดังนั้นหวาชิงเสวี่ยจึงไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับเขานัก เพียงแค่รู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง
คิดไม่ถึงว่า คนผู้นี้จะพูดภาษากลางของแคว้นต้าฉีได้...
หวาชิงเสวี่ยคิดในใจว่า ทหารเหลียวเหล่านี้คงจะเห็นแก่หน้าเขา จึงยั้งมือไว้ไมตรีใช่หรือไม่? หากเป็เหมือนบ้านเรือนของคนอื่นๆ คงเข้ามาทุบทำลายข้าวของในห้องพัก และนางคงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน
ยังไม่ทันที่หวาชิงเสวี่ยจะตอบ เขาก็พูดขึ้นมาเองว่า "วันนั้นเ้าไม่แม้แต่จะมองมาทางข้า อีกอย่างตอนนี้ข้าได้เลื่อนขั้นเป็นายกองร้อยแล้ว เ้าคงจำข้าไม่ได้แล้วกระมัง"
แม้หวาชิงเสวี่ยจะไม่เก่งเื่พูดจา แต่ก็พออ่านสถานการณ์ออก นางพูดเสียงเบาว่า "ขอแสดงความยินดีกับท่านนายกองเ้าค่ะ"
ชายผู้นั้นร้องเฮอะเบาๆ รอยยิ้มของเขาดูชั่วร้าย
"รู้หรือไม่ว่าข้าได้ตำแหน่งนายกองนี้มาได้อย่างไร? เมื่อคืนข้าสังหารพวกฏไปหลายคน ท่านผู้บัญชาการพอใจมาก จึงได้เลื่อนขั้นข้าเป็นายกอง ข้าคิดดูแล้ว หากวันนี้จับคนกลับไปได้อีกสักหน่อย คงจะได้เลื่อนเป็นายกองพันแล้ว"
หวาชิงเสวี่ยเม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร
ความจริงแล้ว นางมาที่นี่ได้ไม่นาน ไม่ใช่ชาวแคว้นต้าฉี และไม่ใช่ชาวเหลียว จึงไม่ได้มีความรู้สึกว่าตนเป็คนของฝ่ายใด
แม้คนตายจะทำให้นางรู้สึกเ็ป แต่ความเห็นอกเห็นใจและความสงสารเป็สิ่งที่ติดตัวมาั้แ่เกิด มันก็เป็เพียงความเห็นอกเห็นใจและความสงสารเท่านั้น ผู้คนที่ถูกทหารเหลียวสังหารเมื่อคืนนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับนาง ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่มีความรู้สึกโกรธแค้น หรือไม่พอใจเหมือนคนอื่นๆ ในเมืองนี้
นายกองผู้นี้ไม่เห็นสีหน้าคาดหวังจากใบหน้าของหวาชิงเสวี่ย ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็รีบวกกลับเข้าสู่หัวข้อเดิม
"เด็กคนนั้นหายไปั้แ่เมื่อใด? ได้ออกไปตามหาบ้างหรือไม่?"
หวาชิงเสวี่ยก้มหน้าลง ไม่อยากให้ใครเห็นความตื่นตระหนกในแววตาของนาง
"...เมื่อวาน เมื่อวานออกไปแล้วก็ไม่กลับมา...ข้าออกไปตามหาครั้งหนึ่ง แต่ข้างนอกวุ่นวายมาก ข้าก็เลยกลับมา..."
สีหน้าของนายกองดูรู้สึกสนุกสนาน เขาใช้นิ้วลูบคางตัวเอง ถามหวาชิงเสวี่ยว่า "น้องชายเ้าหรือ?"
หวาชิงเสวี่ยส่ายหน้า ปฏิเสธทันควัน "น้องสาวข้าเ้าค่ะ"
นายกองฉีกยิ้ม "ดูเหมือนเ้าจะไม่เสียใจเท่าไหร่นะ"
หวาชิงเสวี่ยตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างรวดเร็ว "ข้าไม่รู้...เมื่อคืน...ข้า...ข้ากลัวมาก ไม่กล้าออกไปตามหา...ที่บ้านก็มีเสบียงเหลือไม่มากแล้ว ข้ารู้สึกสับสนมาก...กลัวมาก...ไม่ได้คิดถึงความเศร้าเสียใจ..."
ถึงแม้ว่าคำตอบจะดูสับสน แต่เมื่อคิดดูดีๆ ก็สอดคล้องกับสถานการณ์ของนางในตอนนี้
นายกองยิ้ม มองดูเสื้อผ้าที่ตากอยู่รอบๆ แล้วยังถามคำถามบางอย่าง เช่นซักเสื้อผ้าอย่างไร
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าคนผู้นี้ตั้งใจมาหานางเพื่อคุยเล่น
แต่ในขณะที่นางกำลังรู้สึกแปลกใจ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาทันทีว่า "เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ ทำไมเด็กผู้ชายคนนั้นไม่ช่วยเ้าบ้าง?"
หวาชิงเสวี่ยเกือบจะตอบออกไปว่า เขาช่วยข้ามาเยอะแล้ว แต่ในจังหวะที่อ้าปากออก ก็หยุดกะทันหัน เปลี่ยนคำพูดเป็ "...เด็กผู้ชาย? ท่านคงหมายถึงน้องสาวของข้ากระมัง"
เขายิ้มแล้วพูดว่า "จริงหรือ ข้าจำผิดอีกแล้วสิ"
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าหลังของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นแล้ว...
"เอาล่ะ เ้าซักผ้าพวกนี้ต่อไปเถอะ อีกสองสามวันคงจะมีมาส่งอีกชุดหนึ่ง แหม...ลานเรือนเ้าเล็กเสียจริง" เขาบ่นพึมพำ หันไปพูดภาษาชี่ตันกับทหารเหลียวคนอื่นๆ จากนั้นพวกเขาก็จากไป ตรวจค้นบ้านหลังถัดไปต่อ
ตรอกซอยที่เงียบสงบไปได้ไม่นาน ก็กลับมาเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้และเสียงร้องคำรามอีกครั้ง เสียงดังโวยวาย สับสนวุ่นวายไร้ระเบียบ...
หลังจากที่หวาชิงเสวี่ยปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ร่างกายของนางก็หมดแรงทรุดลงกับพื้น นางนั่งอยู่บนพื้นหิมะที่เย็นะเื ไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้เสียงร้องไห้เ่าั้ดังเข้ามาในหู โดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
เมื่อชีวิตต้องดิ้นรนเอาตัวรอด อารมณ์ต่างๆ ที่เคยมีก็ค่อยๆ หายไปจากร่างกายของนาง
ในตอนนี้นาง แม้แต่จะร้องไห้ นางก็ร้องไม่ออก...
การมีชีวิตอยู่ต่อไป ช่างยากลำบากเหลือเกิน
นางทำอาหารง่ายๆ กินประทังความหิว จากนั้นก็เริ่มต้มน้ำเพื่อทำแป้งเปียก
แป้งที่ซื้อมาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากต้มเสร็จก็นำไปทาลงบนคราบเืที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าทีละตัว ไม่บางเกินไป ไม่หนาเกินไป หลังจากนั้นก็แค่รอให้แป้งเปียกแห้งสนิท ก็สามารถขูดออกได้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วสามารถขจัดคราบเืออกได้เกือบทั้งหมด แม้ว่าจะยังมีคราบเืหลงเหลืออยู่บ้างก็ไม่เป็ไร ค่อยใช้สบู่ซักอีกครั้งก็พอแล้ว
สบู่ในลานเรือนยังต้องทิ้งไว้อีกหนึ่งเดือนจึงจะใช้ได้ หวาชิงเสวี่ยตั้งใจจะใช้หัวไชเท้าผสมกับน้ำส้มสายชูเพื่อทำความสะอาดคราบเืเหล่านี้
รอบๆ ตัวมีแต่เสียงคร่ำครวญและเสียงร้องไห้ หวาชิงเสวี่ยทำงานในมืออย่างเป็ระเบียบเรียบร้อยท่ามกลางเสียงเ่าั้
นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ สิ่งเดียวที่สามารถปกป้องตัวนางได้ในตอนนี้ เกรงว่าจะมีเพียงเสื้อผ้าสกปรกของทหารเหลียวกองนี้...
......
ฟู่ถิงเย่กลับมาถึงใน่กลางดึก ทันทีที่เดินมาถึงหน้าประตูก็ได้กลิ่นรุนแรงแสบจมูก
เขาจึงขมวดคิ้ว รู้สึกกังวลใจขึ้นมา เดินเข้าไปใกล้แล้วเคาะประตู ไม่นานนักประตูก็เปิดออก
หวาชิงเสวี่ยถือไม้กวาดอยู่ในมือ เห็นฟู่ถิงเย่ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ
"เกิดอะไรขึ้น?" ฟู่ถิงเย่ก้าวเข้าไปในลานเรือน เห็นความสกปรกเต็มพื้น โคลนปนอุจจาระกระจายอยู่ทั่วไป ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
"ไม่มีอะไร...คงเป็เพราะเห็นว่าข้าไม่เดือดร้อนอะไร พวกเขาจึงไม่พอใจกระมัง"
หวาชิงเสวี่ยใช้ไม้กวาดกวาดสิ่งสกปรกเ่าั้มากองรวมกัน ฟู่ถิงเย่เห็นว่ามีหลุมตื้นๆ สองสามหลุมอยู่ที่มุมกำแพงในลานเรือน ก็รู้ในใจว่าหวาชิงเสวี่ยขุดไว้เพื่อฝังอุจจาระ
เขาผ่านการทำศึกมาก่อน ยิ่งทนไม่ได้กับพฤติกรรมเยี่ยงคนใจแคบเช่นนี้ที่สุด จึงทำเสียงไม่พอใจออกมาอย่างเ็า "จะฝังไว้ทำไม ใครโยนมาก็โยนกลับไปสิ"
พูดจบก็ทำท่าจะลงมือ หวาชิงเสวี่ยรีบคว้าแขนเขาไว้ "ท่านแม่ทัพ! พวกเขาสูญเสียคนที่รักไป ย่อมต้องโศกเศร้าและโกรธแค้นเป็ธรรมดา ก็แค่เศษโคลนและอุจจาระ ฝังกลบไปก็สิ้นเื่แล้ว"
หวาชิงเสวี่ยไม่อยากให้เกิดเื่วุ่นวายอีกต่อไปแล้ว
วันนี้หลังจากที่กลุ่มทหารเหลียวจากไป นางก็โด่งดังไปทั่วซอยนี้
บ้านอื่นๆ แค่ในบ้านมีผู้ชาย ไม่ว่าจะแก่หรือเด็ก ล้วนถูกจับไปขังคุกเพื่อสอบสวน แม้ว่าจะไม่มีผู้ชาย ในระหว่างการตรวจค้นก็ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปบ้าง มีเพียงนางที่ไม่เป็อะไร อีกทั้งยังเห็นเสื้อผ้าของทหารเหลียวตากอยู่ในลานเรือนเต็มไปหมด พวกเขาจึงคิดว่านางเป็สุนัขรับใช้ของทหารเหลียว ความโกรธแค้นของผู้คนยากจะต้านทาน...หวาชิงเสวี่ยไม่อยากเป็คนที่เอาไข่ไปกระแทกหิน
ฟู่ถิงเย่กล่าวอย่างเ็า "พวกนี้มันก็แค่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น"
หวาชิงเสวี่ยยิ้มอย่างขมขื่น
นี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์ แต่นางจะโทษมันก็ไม่ได้ เพราะมันคือ "เื่ปกติของมนุษย์"
"รีบเก็บของ แล้วไปกับข้า"
หวาชิงเสวี่ยดีใจ "ท่านแม่ทัพจะพาข้าออกจากเมืองหรือ?"
ฟู่ถิงเย่กลับส่ายหน้า "ตอนนี้การป้องกันที่ประตูเมืองเข้มงวดมาก ยังไม่ใช่เวลาที่จะออกไปได้ เ้าไปหาที่อยู่ใหม่กับข้าก่อน เรือนหลังนี้...ตอนนี้อยู่ไม่ได้แล้ว"
เหม็นขนาดนี้ จะนอนหลับได้อย่างไร?
หวาชิงเสวี่ยย่อมยินดีอยู่แล้ว นอกจากความดีใจแล้วยังมีความกังวลอยู่บ้าง "แต่ข้ายังมีเสื้อผ้าของทหารเหลียวอีกมาก..."
เดิมทีเสื้อผ้าตากอยู่ในลานเรือน ต่อมานางเห็นว่ามีคนโยนของสกปรกเข้ามาในลาน นางจึงรีบเก็บเข้ามาไว้ในห้องทั้งหมด ตอนนั้นทหารเหลียวขนเสื้อผ้ามาเต็มคันรถ หวาชิงเสวี่ยกับฟู่ถิงเย่เพียงสองคนคงขนไปไม่หมดแน่
"ไม่เป็ไร พรุ่งนี้ข้าค่อยกลับมาเอา"
ถึงแม้ว่าฟู่ถิงเย่จะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่หวาชิงเสวี่ยก็ยังรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างสุดซึ้ง นางไม่ได้ถามว่าจะไปที่ไหน และไม่ได้ถามว่าเมื่อไหร่จะได้ออกจากเมือง เพียงเพราะความรู้สึกที่ฟู่ถิงเย่มอบให้นั้น ทำให้รู้สึกปลอดภัยเหลือเกิน ราวกับว่าตราบใดที่มีเขาอยู่ ทุกอย่างล้วนไม่ใช่ปัญหาอีก
หวาชิงเสวี่ยเก็บของเล็กๆ น้อยๆ แล้วตามฟู่ถิงเย่ออกนอกประตูไป
ยามราตรีเงียบสงัด สงบเงียบอย่างไม่น่าเชื่อ
บางครั้งก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นวุ่นวาย นั่นคือทหารเหลียวที่กำลังลาดตระเวนอยู่บนถนน พวกเขาถือคบเพลิงไว้ในมือ ใครก็ตามที่ดูน่าสงสัย พวกเขาจะวิ่งเข้าไปะโด่าทอ จากนั้นก็จับตัวไปขังคุก
ฟู่ถิงเย่พาหวาชิงเสวี่ยเดินวนไปวนมาตามตรอกซอกซอยในเมือง หวาชิงเสวี่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังใช้ทางอ้อม แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่เดินตามเขาไปเงียบๆ หากมีระยะห่างไกลออกไปหน่อย ก็จะรีบวิ่งอีกสองสามเก้าเพื่อตามไปให้ทัน
ฟู่ถิงเย่หยุดเดินกะทันหัน
หวาชิงเสวี่ยกำลังก้มหน้าเดินอย่างเร่งรีบ ชนเข้ากับหลังของฟู่ถิงเย่อย่างไม่ทันตั้งตัว! จมูกชนเข้าอย่างจัง!
"ขอ...ขอโทษ..." หวาชิงเสวี่ยเอามือปิดจมูก พูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย
ฟู่ถิงเย่เหลือบมองนาง ไม่พูดอะไร เดินออกไปด้านข้างสองสามก้าว แล้วหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้ดูไม่สะดุดตา จากนั้นเอื้อมมือไปเคาะสองสามครั้ง
ปังปัง ปังปังปัง
หวาชิงเสวี่ยสังเกตเห็นว่าเขาจงใจหยุดเคาะเป็จังหวะ จึงแอบเดาในใจว่านี่อาจจะเป็สัญญาณลับบางอย่าง
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ประตูไม้ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แล้วเปิดออก...