หลิวเต้าเซียงหวั่นไหว คนที่เป็ผู้นำนั้นหลักแหลมจริงๆ เพียงแค่ชี้นำครอบครัวนางเล็กน้อย กล่าวกันว่ากิ่งไม้กิ่งเดียวยากที่จะอยู่ยืนยง ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของนางยังเป็ลูกศิษย์ที่โดดเดี่ยว แม้ว่าต่อไปบิดาอาจจะไม่ได้เข้าสู่ราชสำนัก แต่การมีมิตรสหายก็เป็หนทางอย่างหนึ่งเช่นกัน
นางขอบคุณชายคนนี้อย่างจริงใจสำหรับการชี้แนะ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “เ้าหน้าที่ทั้งหลายเดินทางมาคงเหนื่อยแย่ หรือไม่ ก็ทำตามความตั้งใจข้า ข้าจะไปเรียกเหล่าหวังที่อยู่ในหมู่บ้านเราให้ไปส่งพวกท่านทั้งหลายกลับอำเภอ เป็อย่างไร?”
เดิมทีเ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่ได้เต็มใจที่จะเดินทางมาชนบท เพียงแต่สถานที่ดีๆ ต่างก็ถูกคนที่มีเส้นสายเื้ัจับจองไปหมดแล้ว เหลือไว้เพียงสถานที่ไกลและกันดารให้พวกเขา
เดิมทีคิดว่าคงไม่ได้อะไร แต่ใครจะรู้ว่าครอบครัวนี้กลับเข้าใจกาลเทศะ
เมื่อหลิวเต้าเซียงพูดเช่นนี้ พวกเขาจึงมีความสุขมาก
เ้าหน้าที่สี่คนของครอบครัวของหลิวเต้าเซียงถูกจัดให้นั่งเกวียนวัวของเหล่าหวังกลับไปในอำเภอ ส่วนหลิวเหรินกุ้ยเป็คนหลักแหลม เมื่อรับรู้ข่าวก็รีบให้คนไปเรียกเกวียนวัวจากหมู่บ้านข้างๆ มา แต่ไม่รู้ว่าเขาลืมหรือจงใจ อย่างไรก็ตามเขาจ้างแค่เกวียนวัวส่งเ้าหน้าที่กลุ่มของเขากลับไป ส่วนเ้าหน้าที่ของหลิววั่งกุ้ยก็ถูกทิ้งไว้ทั้งอย่างนั้น
“มารดาเถอะ นางหญิงเฒ่าคนนั้นมีเงินแต่กลับตระหนี่นัก”
“ให้ข้าพูดล่ะก็ เฮอะ ซิ่วไฉที่ซื่อหลิววั่งกุ้ยอะไรนั่น ก็คงแค่นั้นแหละ กระทั่งสง่าราศีก็ไม่มี แล้วยังคิดอยากเดินหนทางขุนนาง ฝันไปเถิด”
“ดวงซวยจริงๆ พวกเขาแปดคนได้นั่งเกวียนวัวไป ส่วนพวกข้าได้เดินเท้า เราควรหน้าด้านแล้วพูดออกไป”
“เฮอะ พวกเ้าคงดูไม่ออกสินะ หญิงเฒ่าคนนั้นไม่ได้เห็นเราอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ทำให้ข้าโกรธ ลูกชายนางก็อย่าหวังจะได้มีอำนาจในอำเภอ”
“เอาเถิดๆ พูดอะไรมากมาย ต้องโทษพวกเราที่ดวงไม่ดี เดิมทีนึกว่าจะจับได้บ้านคนรวย ใครจะรู้ว่าตระหนี่นัก นึกแล้วข้าก็โมโห กลับไปคงถูกพวกนั้นหัวเราะเยาะแน่”
“นั่นสิๆ!”
......
และแล้วเื่ราวก็ดำเนินไปตามนี้ หลิววั่งกุ้ยถูกเ้าหน้าที่เหล่านี้บันทึกลงในบัญชีดำ หลังจากที่กลับไปพวกเขาก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เื่ที่ถูกหัวเราะเยาะกระจายออกไป ไม่นานนักในแวดวงซิ่วไฉทั่วทั้งอำเภอถู่หนิวก็แพร่ไปว่าหลิววั่งกุ้ยนั้นเป็คนนิสัยแย่ กระทั่งเ้าหน้าที่ส่งสารก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกว่าเขาสอบได้อันดับสุดท้าย ไม่แน่ว่าอาจจะได้เพราะเส้นสายจากใครก็เป็ได้...
สรุปแล้วก็คือ หลิววั่งกุ้ยถูกแบ่งแยกออกจากกลุ่มซิ่วไฉในอำเภอถู่หนิว
ส่วนหลิวซานกุ้ยก็ยุ่งจนหัวหมุน คนที่เขาสานสัมพันธ์ด้วยล้วนเป็คนที่กัวซิวฝานคิดว่าเป็คนใช้ได้ ย่อมไม่ได้เอ่ยถึงเื่ของเขา
ส่วนหลิวจื้อไฉ แม้ว่าจะได้เป็ซิ่วไฉด้วยอายุเพียงสิบเอ็ดปี แต่ก็มีหูตาที่เหมือนหลิวเหรินกุ้ย คอยสอดส่องไปทั่ว
หลังจากส่งเ้าหน้าที่เสร็จ มีคนเข้ามาถามจางกุ้ยฮัวว่าจะจัดงานฉลองเมื่อใด นางจึงยิ้มแล้วเอ่ย “รอพ่อของลูกๆ กลับมาแล้วค่อยปรึกษาหารือกันก่อน”
ถึงจะเป็่ปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่ผู้คนก็ยังรู้สึกสบายตัวแม้ในวันที่มีดวงอาทิตย์
ในตอนเช้าตรู่ หลิวเต้าเซียงออกมายืนที่หน้าประตูเพื่อสูดอากาศที่สดชื่นเข้าไปจนเต็มปอด และอดไม่ได้ที่จะบิดี้เี
“น้องรอง เ้าตื่นแล้วหรือ?”
“ใช่ พี่ใหญ่ ข้าจะกวาดลานบ้าน”
“ก็ได้ เ้าคอยดูห้องปีกตะวันตกด้วย หากว่าน้องชายตื่นอย่าลืมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้พวกเขาด้วย ข้าจะไปต้มไก่ อีกเดี๋ยวคนงานก็น่าจะมากันแล้ว”
แม้ว่าจะไม่ได้สร้างบ้านเอ้อร์จิ้นย่วน แต่ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงตอนนี้ก็มีคุณภาพชีวิตไม่เลว ในบ้านจ้างคนงานสามคน ่ที่งานเกษตรยุ่งก็ให้มาช่วยงานไร่นา ทุกๆ วันตอนเช้าตรู่ก็จะมาช่วยให้อาหารไก่กับหมูและทำความสะอาดเล้า วันทั้งวันงานก็ไม่ได้น้อย
เนื่องจากไม่มีใครช่วยจางกุ้ยฮัวเลี้ยงคู่ฝาแฝด นับั้แ่เฉินซื่อมา ก็อยู่ที่บ้านของหลิวเต้าเซียงมาโดยตลอด ขณะนี้กำลังหยิบกะละมังไม้เตรียมตักน้ำซักผ้า
หลิวเต้าเซียงหยิบไม้กวาดขึ้นมาและกวาดพื้นอย่างมีความสุข การตื่นเช้าเพื่อออกกำลังนั้นดีเยี่ยม!
วันเวลาที่ไม่มีหลิวฉีซื่อก่อกวน ชีวิตครอบครัวของนางนั้นสุขสำราญเหลือเกิน
“เต้าเซียง เ้าอยู่ที่บ้านหรือไม่?” หลิวจูเอ๋อร์ปรากฏตัวที่ประตูบ้านของหลิวเต้าเซียงในชุดผ้าไหมชั้นดี
“อยู่!” หลิวเต้าเซียงเดินถือไม้กวาดออกมาหน้าบ้าน
แม้ว่าหลิวจูเอ๋อร์จะสวย แต่นางก็ไม่ได้น่าชมชอบเท่าไร อย่างเช่นตอนนี้...
“เต้าเซียง ท่านย่าบอกให้พวกเ้าสองพี่น้องแล้วก็อาสะใภ้สามไปช่วยที่บ้านวันรุ่งขึ้น”
“ช่วยอะไร?” หลิวเต้าเซียงถามทั้งที่รู้
หลิวจูเอ๋อร์ยิ้ม “แน่นอนก็ต้องไปร่วมงานเลี้ยงของอาสี่กับพี่ชายข้า”
หลิวเต้าเซียงอยากจะพูดว่า มีอะไรน่าโอ้อวด เด็กเรียนอย่างท่านพ่อนางสอบได้ตั้งที่แปด ได้รับข้าวสารกับเงินทุกเดือน!
“โอ้ เ้ากลับไปบอกว่า พวกข้าจะไปร่วมงานเลี้ยง”
หลิวจูเอ๋อร์ยังคงยิ้มแย้ม แล้วตอบ “ท่านย่าบอกว่า ให้พวกเ้าไปช่วยงาน วันรุ่งขึ้นคนเยอะ คนในบ้านไม่พอ”
หลิวเต้าเซียงโยนไม้กวาดลงกับพื้น แล้วเหยียดมือเล็กๆ ที่อ่อนโยนและเรียบเนียนสีขาวของนางออกมาพินิจอย่างละเอียด
มือคู่นี้ได้รับการดูแลเป็อย่างดี ไม่เคยทำงานหนักมาก่อน
ดวงตาของหลิวจูเอ๋อร์เผยประกายอิจฉา แต่ยังคงเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เต้าเซียง ท่านย่าบอกว่าพวกเ้าจำเป็ต้องไป”
“เ้ากลับไปบอกท่านย่าด้วยว่า เราจะไปแน่”
อย่างมากพวกนางก็จะนั่งร่วมโต๊ะ กินอิ่มและทิ้งซองแดงไว้สักซองเพียงแค่นั้น
หลิวจูเอ๋อร์คิดว่าหลิวเต้าเซียงตอบรับว่าจะไปช่วยงาน ดวงตาคู่นั้นสำรวจหลิวเต้าเซียงั้แ่หัวจรดเท้า และในใจก็เกิดความอึดอัด
ใครจะคิดว่านางตัวดีที่อยู่ตรงหน้าจะมีน้าชายที่ร่ำรวย
เมื่อผ่านพ้นไปอีกวัน หลิวฉีซื่อก็แต่งกายอย่างดิบดีมานั่งในห้องโถง นางตั้งใจไว้ว่าจะอาศัยงานเลี้ยงสองวันนี้สั่งสอนแม่ลูกสามฝั่งจางกุ้ยฮัวสักที อย่าคิดว่าที่บ้านมีเงินแล้วจะไม่เชื่อฟังนางได้
“ลูกรัก หรือไม่ เราอย่าไปดีกว่า สั่งให้คนงานเอาซองแดงไปมอบก็พอ”
จางกุ้ยฮัวไม่ชอบหลิวฉีซื่อ แต่ก็ไม่อาจฉีกหน้านางในหมู่บ้านและตัดขาดการไปมาหาสู่อย่างเด็ดขาด
นางรู้ว่าหลิวซานกุ้ยไม่สามารถตัดขาดจากครอบครัวนี้ได้ แม้ว่าหลิวฉีซื่อเคยลงมืออย่างเหี้ยมโหดกับพวกนางสามีภรรยา
หลิวเต้าเซียงยิ้มหวาน พร้อมกับโอบแขนของจางกุ้ยฮัวและออดอ้อน “ท่านแม่ เราตัดชุดใหม่ทั้งทีก็เพื่อให้คนดูไม่ใช่หรือ?”
หลิวฉีซื่อชอบสมบัติ หลิวเต้าเซียงจึงอยากใช้จุดนี้มาข่มบารมีของอีกฝ่ายจนเงยหน้าไม่ติด
ใช่ นางจงใจเลือกชุดอ๋าวตัวบางที่เป็ผ้าไหมหูโจวออกมา แล้วให้จางกุ้ยฮัวเลือกเครื่องประดับทองฝังทับทิมหนึ่งชุด ส่วนพี่น้องที่เหลือก็แต่งกายให้โดดเด่นไม่ธรรมดา
เพราะว่างานเลี้ยงตระกูลหลิว เฉินซื่อไม่ได้ไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อแม่ลูกแต่งตัวกันเสร็จก็เตรียมทานอาหารกลางวันให้เรียบร้อยแล้วพักผ่อนสักครู่ จากนั้นค่อยไปที่บ้านเดิม
ใครจะรู้ว่าหลิวฉีซื่อใจร้อนและทนไม่ไหวถึงขั้นมาเร่ง
ขณะที่พวกนางเพิ่งจะไปถึงและก้าวเข้ามา หลิวฉีซื่อก็นั่งปั้นหน้าบึ้งตึง หลิวเต้าเซียงแอบเบะปาก หญิงชราคนนี้คิดจะเล่นงานครอบครัวพวกนางอีกแล้ว
“กี่โมงกี่ยามแล้ว ยังต้องให้มาเชิญ อย่าคิดว่าซานกุ้ยเป็ซิ่วไฉแล้วจะเอามาอ้างได้ อย่าลืมนะ เ้าเป็ลูกสะใภ้ข้า”
ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงคิดว่า ไหนบอกว่าแยกครอบครัวกันแล้วเล่า? หรือว่าต้องให้เตือนอีกครั้ง
นับั้แ่จางกุ้ยฮัวมีสินเ้าสาวและมีจางอวี้เต๋อผู้ร่ำรวยที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยืดอกหลังตรง ไม่เกรงกลัวว่าหลิวฉีซื่อจะเล่นงานนางอีก
“ท่านแม่พูดอะไรกัน อาสี่สอบผ่านซิ่วไฉ เราก็ควรไปมอบของขวัญและร่วมงานเลี้ยงสิ”
หลิวฉีซื่อได้ยินก็จุกในอก นางไม่ได้หมายความเช่นนี้ ความหมายของนางคือพวกนางแม่ลูกควรไปช่วยงาน นางหมายมั่นไว้ว่าจะมอบงานที่สกปรกและเหนื่อยที่สุดให้พวกนางทำ
“ในฐานะที่พวกเ้าเป็ครอบครัวฝั่งสาม นี่เป็เื่สมควร เมื่อวานข้าบอกให้จูเอ๋อร์มาบอกพวกเ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้พวกเ้ามาช่วยงาน”
จางกุ้ยฮัวกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หลิวเต้าเซียงก็ยื่นมือไปดึงไว้ ยิ้มแล้วเอ่ยกับหลิวฉีซื่อว่า “ท่านย่า นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? ช่วยงานอะไรหรือ?”
“ช่วยอะไร ไม่เห็นหรือว่าในบ้านยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้? ถ้วยไม่มีคนล้าง ผักไม่มีคนเด็ด?” หลิวฉีซื่ออยากเบ่งบารมี เสียดายที่นางลืมไปว่าครอบครัวฝั่งสามนั้นเทียบกับแต่ก่อนไม่ได้แล้ว
หลิวเต้าเซียงยิ้มอย่างประชดประชันแล้วเอ่ย “ท่านย่า ข้าจำได้ว่าครอบครัวฝั่งเราแยกออกมาอยู่กันตามลำพังแล้วถูกต้องหรือไม่!”
“ถูกต้อง!” นับั้แ่ครั้งสุดท้ายที่นางเสียเปรียบ หลิวฉีซื่อก็ไม่กล้าปฏิเสธข้อนี้
หลิวเต้าเซียงจึงกล่าวเสริมว่า “ในเมื่อเป็เช่นนั้น เราก็ควรไปในฐานะแขกไม่ใช่หรือ ผู้มาเยือนคือแขก แล้วเหตุใดต้องให้พวกข้าไปช่วยงาน ก่อนหน้าที่ข้าจะเข้ามาในบ้าน ยังเห็นอาเล็กกับพี่จูเอ๋อร์พาเด็กรับใช้ไปเดินเล่นข้างนอกอยู่เลย!”
“มันเปรียบกันได้หรือ? อาเล็กเ้าเป็คนมีวาสนาร่ำรวย ส่วนพี่จูเอ๋อร์ก็มีพี่ชายเป็ซิ่วไฉ”
นี่คือย่าแท้ๆ จริงหรือ? พ่อเด็กเรียนของนางสู้คนที่เหลือไม่ได้ตรงไหน?
หลิวชุนเซียงที่อยู่ด้านข้างไม่พอใจ แล้วเอ่ยอย่างโมโห “ท่านย่า พ่อข้าคือปิ่งเซิงเชียวนะ! ราชสำนักยังให้ข้าวให้เงินพ่อข้าด้วย”
เพี๊ยะๆๆ!
ใบหน้าเหี่ยวย่นของหลิวฉีซื่อแดงก่ำ!
นางถูกเด็กน้อยไม่ถึงสามขวบตบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะว่าหลิววั่งกุ้ยนั้นสอบได้อันดับสุดท้าย งานในหลายวันนี้ก็ไม่ค่อยราบรื่น มิฉะนั้นหลิวฉีซื่อจะยืนกรานจัดงานเลี้ยงให้เขาด้วยเหตุใด อีกอย่างนางก็ยังไม่อนุญาติให้หลิวซุนซื่อจัดงานเลี้ยงให้หลิวจื้อไฉ เพราะกลัวว่าบุตรชายคนที่สี่ได้ยินแล้วจะหงุดหงิดและรับไม่ได้
จากมุมที่นางมองไม่เห็น หลิวเต้าเซียงแอบยกนิ้วโป้งให้น้องสาม ทำได้ดี
ทันใดนั้นหลิวชุนเซียงก็ยิ้มอย่างมีความสุข ได้รับคำชมจากพี่รองด้วย! เย้ กลับบ้านต้องมีของดีให้กินแน่
หลิวเต้าเซียงนิ่งเงียบไป
หลิวฉีซื่อถูกตบหน้า ในใจก็ยิ่งนึกโมโหจางกุ้ยฮัวที่สั่งสอนลูกๆ ไม่เป็ ดูสิว่าสั่งสอนหลานสาวให้กลายเป็แบบนี้
“ฮูหยินใหญ่ หลานสาวชุนเซียงพูดถูกต้อง ฮูหยินใหญ่สอนลูกหลานเป็ ดูสิว่าในละแวกนี้ มีบ้านใดที่จะคลอดลูกได้เก่งเหมือนฮูหยินใหญ่ ลูกชายสี่คนมีสองคนสอบติดซิ่วไฉ ไม่ว่าจะเป็นายท่านสามหรือนายท่านสี่ นี่ปะไร ต่างก็เป็ลูกชายท่าน”
คําพูดของชุ่ยหลิวกำลังเตือนหลิวฉีซื่อว่า ถึงหลิวซานกุ้ยจะเก่งกาจอย่างไร หรือจางกุ้ยฮัวจะมีความสามารถอย่างไร ก็เป็บุตรชายและสะใภ้ของนางอยู่วันยังค่ำ
“ซานกุ้ยสอบผ่านซิ่วไฉ ข้าเองก็ดีใจ พ่อของพวกเ้าก็ตั้งใจไปซื้อเหล้าชั้นดีที่ปากทางหมู่บ้าน แล้วยังซื้อประทัดไปจุดหน้าสุสานของปู่ย่าพวกเ้าเพื่อแจ้งข่าวดี เขาดีใจยิ่งนักที่ซานกุ้ยกับเ้าสี่ได้ดี”
เพียงแต่พอคิดว่าหลิวซานกุ้ยได้ดีขึ้นมาจริงๆ ไฟที่สุมอยู่ในทรวงอกของหลิวฉีซื่อก็ลุกโชน อันดับที่แปดสมควรเป็ของเขาหรือ
ชุ่ยหลิวกล่าวอีกว่า “นั่นสิเ้าคะ ใครจะคาดคิดว่านายท่านสามเล่าเรียนเพียงสองปีก็เป็ซิ่วไฉได้ นายท่านสี่เล่าเรียนมาตั้งสิบปี ก่อนหน้านี้ข้ายังได้ยินนายท่านรองบอกว่า เล่าเรียนอะไรจนแก่”
หลิวฉีซื่อตอบทันที “เขาพูดว่าอยู่จนแก่ก็เล่าเรียนจนแก่ บอกให้เ้าอ่านตำรายามว่างให้มาก เ้าก็วันๆ เอาแต่เย็บปักเพื่อแลกเงิน ผู้หญิงนั้นควรเป็แบบนี้ รู้หนังสือหน่อยก็พอ”
-----