รอบนี้มีคนคุ้นเคยมากมายทั้งเกาเฉิงหยู่ จิ่งเคอ จิ่งรุ่ย เซียวซื่อซิงที่เป็หลานชายของเซียวหยางผิง แล้วยังมีลูกหลานจากตระกูลต่างๆ หลายคนที่ได้พบกันในงานเลี้ยง อ๋าวหรานมองซ้ายมองขวาไปรอบหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็ล้วนเคยพบแล้วทั้งสิ้น
ดึงสายตากลับมา คู่ต่อสู้ของเขายังคงไม่ปรากฏกายออกมา
หวาหวาจิ่ว...
เป็ผู้ใดกันแน่?
อ๋าวหรานคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดจิ่งเหวินซานจึงมั่นใจว่าคนผู้นี้จะทำให้จิ่งฝานแพ้ได้?
แต่ทว่ายังไม่ทันคิดออก อ๋าวหรานก็ถูกเ้าเตี้ยที่ปรากฏมาจากไหนไม่รู้ทำเอาตระหนกใ
คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้าอ๋าวหราน พยายามเขย่งเท้าอย่างยิ่งเพื่อยื่นหน้าไปตรงหน้าอ๋าวหราน น่าเสียดายที่ความสูงของคนทั้งสองต่างกันเกินไป เขาพยายามอย่างสุดความสามารถก็ยังสูงได้แค่ไหล่ของอ๋าวหรานเท่านั้น
อ๋าวหรานก้มศีรษะแล้วมองดู เด็ก...ที่แทบจะพาดอยู่บนร่างของเขาแล้ว
เตี้ยเกินไป...เตี้ยกว่าเขามาก คาดว่าถ้าจิ่งเซียงมายืนตรงหน้าเขาก็คงก้มหน้าอย่างผู้ยิ่งใหญ่ลงมามองเขาได้ อีกทั้งเขาไม่เพียงตัวเตี้ย ทั้งร่างดูแล้วก็ไม่เหมือนผู้ใหญ่ เขามีใบหน้ากลม เครื่องหน้าราวกับยังไม่เติบโตดี ถึงแม้จะไม่ใช่ใบหน้านุ่มนิ่มอ่อนเยาว์อย่างที่เด็กควรจะเป็ แต่ก็ดูเหมือนเด็กน้อยอยู่หลายส่วน
คนทั้งสองสบตากันอยู่นาน อ๋าวหรานทนไม่ไหวจึงถามออกไปว่า “เ้า...อายุเท่าไร?”
เด็กคนนั้นยื่นมือทั้งสองข้างออกมาแล้วกำเป็หมัด โบกไปมาตรงหน้าอ๋าวหราน อ๋าวหรานจ้องมองมือเ้าเนื้อสั้นๆ นั้นแล้วรู้สึกปวดสมองอย่างที่สุด
เด็กคนนั้นไม่สนใจดวงตาของเขาที่เริ่มกระตุกแล้วแย้มยิ้มพูดว่า “ฮี่ๆ ข้าอายุยี่สิบแล้ว”
อ๋าวหราน “!!!”
เสียงทุ้มมาก!!!
เหมือนชายแก่อายุสามสิบสี่สิบปี น้ำเสียงทั้งแหบและทุ้มต่ำ เมื่อรวมเข้ากับใบหน้านี้ก็ช่างไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้ง...ยังแก่กว่าเขาในตอนนี้เสียอีก!
อ๋าวหรานไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
จิ่งเซียงที่อยู่ด้านล่างเวทีก็มีสีหน้าไม่อยากเชื่อเหมือนอ๋าวหรานไม่มีผิด “นั่น...นั่นเป็แค่เด็กชัดๆ! จะอายุยี่สิบได้อย่างไร?!”
ในงานเลี้ยงเมื่อตอนเช้านั้นทุกคนล้วนค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตาอ๋าวหรานแล้ว แต่การคุ้นหน้านี้เกิดจากความกระอักกระอ่วนตอนที่ถูกไล่จากโต๊ะหนึ่งมาอยู่ที่โต๊ะสาม ลูกหลานจากตระกูลต่างๆ จึงไม่ได้สนใจในตัวอ๋าวหรานนัก ทำให้เวทีประลองของอ๋าวหรานนั้นมีคนยืนอยู่แค่ไม่กี่คน นอกจากกลุ่มเพื่อนเช่นพวกจิ่งเซียงแล้ว นอกนั้นก็มีแค่กลุ่มของทางเต๋อรั่ว จิ่งเซียงเกาะพาดอยู่กับขอบเวที กินพื้นที่ขนาดใหญ่ไปเองคนเดียว
จิ่งจื่อยืนเอียงหัว จ้องอยู่เป็นาน “นี่คือหวาหวาจิ่วที่อ๋าวหรานพูดถึงหรือ? ข้านึกว่าเป็หนุ่มใหญ่ขี้เหล้าเสียอีก เหตุใดถึงเป็เด็ก1จริงๆ ไปเสียได้!”
จิ่งเซียงพยักหน้าอย่างแรง “ข้าก็คิดเช่นนั้น อ๋าวหรานให้สืบเื่เขา ข้านึกว่าจะเป็ยอดฝีมือที่แสนร้ายกาจอะไรเช่นนั้นเสียอีก”
จิ่งจื่อหันศีรษะมองไปทางจิ่งฝานกับเหยียนเฟิงเกอ “พี่ พี่เหยียน พวกท่านทั้งสองดูอะไรออกบ้างหรือไม่? เขาเป็ยอดฝีมือใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานเหมือนกำลังใจลอย หาได้สนใจคำพูดของจิ่งจื่อแม้แต่น้อยไม่ เหยียนเฟิงเกอเองในแววตาก็ยังแฝงไปด้วยแววตะลึงค้าง เนิ่นนานกว่าจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ดูไม่ออก”
“โชคดีที่ข้ามาทันเวลา นึกว่าตัวเองจะพลาดการประลองของคุณชายอ๋าวไปเสียแล้ว”
ทุกคนรีบหันศีรษะไปก็เห็นอิ่นซีเิยืนอยู่หลังพวกเขา ใบหน้าเล็กๆ ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือกำลังแย้มยิ้มสดใส ปากแดงฟันขาว บริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับเทพเซียน
จิ่งเซียงรีบค้ำยันเวทีแล้วยกตัวยืนขึ้น “ซีเิ เหตุใดเ้าถึงเพิ่งมา งานประลองเกือบจะจบลงอยู่แล้ว”
อิ่นซีเิยิ้มน้อยๆ ตากลมโตโค้งมน มีท่าทางเขินอายอยู่เล็กน้อย “เมื่อคืนข้ารู้สึกเจ็บที่หัวใจจึงสวดมนต์อยู่ทั้งคืน วันนี้ตื่นขึ้นมา ดวงอาทิตย์ก็เกือบจะคล้อยไปฝั่งตะวันตกแล้ว”
จิ่งฝานที่ใจลอยอยู่นานเมื่อได้ยินดังนั้นสายตาก็สาดไปทางอิ่นซีเิทีหนึ่งอย่างเรียบเฉย แต่มองเพียงเล็กน้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จิ่งเซียงกลับถามอย่างร้อนรน “เหตุใดเ้าถึงไม่มาหาข้า ข้าจะได้ให้พี่ชายข้าตรวจดูให้ ตระกูลจิ่งของเราเป็หมอทั้งตระกูล แน่นอนว่าไม่มีทางใช้ชื่อว่าหมอและไม่ทำหน้าที่หมออย่างแน่นอน อีกอย่างป่วยแล้วอาศัยคัมภีร์สวดมนต์จะมีประโยชน์อันใด”
ในนิยายนั้นอิ่นซีเิเป็สาวน้อยที่มีจิตใจเมตตาบริสุทธิ์ที่ไม่เป็วรยุทธ์ นักเขียนเซตให้นางเป็คนอ่อนโยน บอบบางดึงดูดใจคน ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจสร้างตำนานเช่นนี้ขึ้นมา เทพธิดาดอกมู่จินทุกรุ่นนั้นล้วนเป็เทพบนสรวง์ลงมาจุติในร่างแม่หญิงน้อยเพื่อลิ้มรสวิบากกรรมในโลกมนุษย์และใกล้ชิดกับผู้ที่ศรัทธากราบไหว้ พวกนางจะได้รับการเคารพเชิดชูจากชาวบ้านและต้องคอยรับฟังคำภาวนาจากชาวบ้านอีกด้วย แต่สภาพแวดล้อมในโลกมนุษย์นั้นไม่เหมาะสมสำหรับพวกเขาในการดำเนินชีวิต และเพราะการ 'ผิดดินฟ้าอากาศ' นี่เองที่ทำให้พวกนางต้องป่วยด้วยโรคเจ็บหัวใจ และต้องทนรับกับความทรมานนี้
การเซตไว้เช่นนี้...นอกจากจะเพื่อเชิดชูความดีงามของเทพธิดาดอกมู่จินในใจของประชาชนให้มากยิ่งขึ้นและเพื่อเสริมความสำคัญของตำแหน่งให้กับอิ่นซีเิแล้ว ที่สำคัญก็คือเพื่อจะหาโอกาสให้ตัวเอกได้แสดงออกถึงความรัก และเพื่อตอบสนองความชอบดูแลปกป้องของบรรดานักอ่านชาย อีกอย่างแม่นางที่อ่อนแอบอบบาง ไม่ทันโลกบริสุทธิ์ปราศจากโลกีย์เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องเป็สตรีที่บุรุษส่วนใหญ่ล้วนปรารถนา
นางเอกสองคนในนิยายของว่านเฟิง...อิ่นซีเิและหลางฉานั้นจริงๆ แล้วเป็การหยิบยืมแสงจันทร์นวล2 และกุหลาบแดง3 จากปลายปากกาของจางอ้ายหลิง4 มา เพื่อตั้งใจตอบสนองนักอ่านด้วยการมอบทั้งแสงจันทร์นวลและกุหลาบแดงไว้ในอ้อมอกอ้อมใจไปทั้งคู่
แน่นอน จุดเด่นของนิยายเลื่อนระดับ5 อธิบายได้ด้วยคำเดียวก็คือ 'สะใจ' ดังนั้นแสงจันทร์นวลก็จะเป็แสงจันทร์นวลตลอดไป ส่วนกุหลาบแดงก็จะเป็กุหลาบแดงตลอดไป ไม่มีทางเปลี่ยนเป็เศษข้าวขาว6 หรือยุงดูดเื7 แน่นอน
กลับมาที่เนื้อเื่หลัก ตอนนี้อ๋าวหรานไม่มีเวลาไปสนใจเหตุการณ์ด้านล่างเวที หากไม่ใช่เพราะเ้าเด็กอายุยี่สิบนี้มีน้ำเสียงแหบแห้งเหมือนคนอายุสี่สิบ เขาคงจะสงสัยแล้วจริงๆ ว่าจิ่งเหวินซานหาเด็กให้มาสู้กับจิ่งฝาน แล้วให้เขาชนะอย่างน่าสมเพช หรือไม่ก็สู้กับเด็กไม่ลงแล้วออกจากการแข่งขันไปเอง
อ๋าวหรานถอยหลังไปสองก้าว ทิ้งระยะห่างจากคนหน้าเด็กนี้แล้วประสานมือคารวะบอกนามตระกูล “ข้าอ๋าวหราน ไม่ทราบว่า...พี่ชาย? มีนามว่าอะไร?”
หวาหวาจิ่วมีใบหน้าเหมือนลูกบอล เขาพยายามะโอยู่สองทีแล้วคารวะอย่างไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทางนัก ฉีกยิ้มพูดว่า “ฮี่ๆๆ ศิษย์น้อย8 ชี9หวา”
ศิษย์น้อย...ชีหวา?!
หวาเจ็ด?!
อ๋าวหราน “...”
อ๋าวหรานถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เ้า...ยังมีพี่น้องคนอื่นอีกใช่หรือไม่ แต่ละคนชื่อ...ต้า10หวา เอ้อ11 หวา ซาน12 หวา ซื่อ13 หว่า...”
ชีหวา “ฮี่ๆๆ ใช่แล้ว เ้าฉลาดจริงๆ”
อ๋าวหรานมีสีหน้าดำคล้ำ “...” ไม่ได้อยากฉลาดแม้แต่นิดเดียว
อ๋าวหราน “เ้า...มีพี่น้องทั้งหมดกี่คน?”
ถ้าหากเดาไม่ผิด หวาหวาจิ่วก็น่าจะหมายถึง...
ชีหวาะโดุ๊กดิ๊กไปมาอีกสองที “ฮี่ๆๆ ข้ามีพี่น้องทั้งหมดเก้าคน”
อ่าวหราน “...”
หวาหวาจิ่ว14 ที่ว่า...จริงๆ แล้วน่าจะเป็หวาหวาจิ่ว15 เด็กเก้าคนมากกว่ากระมัง
อ๋าวหรานที่หมดแรงจะค่อนแคะถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วถามอีกว่า “เหตุใดวันนี้ตอนเช้าในงานเลี้ยงถึงไม่เห็นเ้า?”
เ้าตัวเล็กที่โดดเด่นถึงเพียงนี้เขาคงไม่มีทางจำไม่ได้แน่
ชีหวา “ฮี่ๆๆ เมื่อเช้าข้าไม่ได้ไป คนที่ไปคือพี่ใหญ่ข้า ต้าหวา”
อ๋าวหราน “...”
อ๋าวหราน “พี่น้อง...ทั้งหมดของเ้าก็เข้าร่วมประลองด้วยหรือ?”
ชีหวา “ฮี่ๆๆ ใช่แล้ว! เ้าฉลาดจริงๆ”
คำพูดนี้คุ้นๆ นะ
อ๋าวหรานคาดเดาว่า...หรือว่าจิ่งเหวินซานตั้งใจจะให้จิ่งฝานจับได้หนึ่งในบรรดา 'หวาหวา' พวกนี้ทุกรอบเลยหรืออย่างไร? แล้วตอนสุดท้ายจะเข้ามาพร้อมกันหมดเลยหรือไม่?
ชีหวาเห็นอ๋าวหรานเงียบไปก็ะโขึ้นลงอีกสองทีแล้วถามว่า “เ้ายังมีอะไรอยากถามอีกหรือไม่?”
อ๋าวหรานครุ่นคิดแล้วลองเลียบเคียงถามอีกว่า “ท่า...ไม้ตายของเ้าคืออะไร?”
ชีหวา “ฮี่ๆๆ ประมือกันดูก็รู้แล้วมิใช่หรือ?”
อ๋าวหราน “...”
มีหลักการดี
ชีหวาผู้นี้หน้าตาดูไม่แก่ แต่ใจร้อน ร่างกลมๆ ะโด้วยขาข้างเดียวอยู่สองรอบแล้วพุ่งเข้าใส่อ๋าวหราน แล้วยังมีอาวุธลับประกายเย็นเยียบหนาหนึ่งนิ้วยาวหนึ่งชุ่นที่ซ่อนอยู่ตามร่างกาย มือ และในปากอีกเป็สิบ
ในตอนที่เขาพุ่งเข้าใส่ตัวเองนั้น อ๋าวหรานรู้สึกเหมือนมีหนามเย็นๆ จ่ออยู่ที่หลังจึงรีบชักกระบี่อย่างรวดเร็วแล้วป้องกันอาวุธเ่าั้เอาไว้
ถูกกันไว้ได้ ชีหวาก็หาได้ใส่ใจไม่ ยังคงพุ่งเข้าหาในท่าขนานกับพื้นเช่นเดิม ท่าทางเหมือนอยากจะพุ่งชนตัวอ๋าวหรานให้ได้ ทำให้อ๋าวหรานเริ่มสงสัยว่านอกจากเขาจะมีอาวุธลับแล้วอาจจะมีวิชาวรยุทธ์พิเศษที่ใช้หัวด้วย
ไม่รู้ว่าอาวุธลับของคนผู้นี้ซ่อนไว้ตรงที่ใดบนร่าง? ผ่านไปสองสามกระบวนท่า อ๋าวหรานก็ป้องกันไปไม่ต่ำกว่าร้อยอันแล้ว แถมยังต้องเผชิญหน้ากับอาวุธแหลมคมราวกับห่าฝนที่พุ่งเข้าใส่ ทุกครั้งที่กระบี่ใกล้จนแทบจะแทงโดนแล้วนั้นก็ถูกขัดขวางโดยอาวุธลับห่าใหญ่ เพื่อป้องกันมีดเล็กแหลมคมที่พุ่งมาให้ได้ทุกทิศทางจึงพลาดโอกาสไป ผ่านไปประมาณสองสามนาทีแล้ว อ๋าวหรานก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้ร่างของคนผู้นี้ได้
แน่นอนอีกฝั่งก็เช่นกัน อาวุธลับทั้งหมดล้วนถูกอ๋าวหรานป้องกันไว้ได้ พากันส่งเสียงดังเคร้งคร้างร่วงลงบนพื้น
สวีหรงฉี่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยว่า “คุณชายอ๋าวท่านนี้วรยุทธ์ไม่เลว ถึงแม้เพลงกระบี่จะธรรมดา แต่เขาก็ใช้ได้อย่างพลิกแพลงคล่องแคล่ว”
หลางฉาพยักหน้า “มีพร์มากเลยทีเดียว”
อ๋าวหรานตีลังกากลางอากาศ หลบอาวุธแหลมคมนับสิบแล้วพลิกไปอยู่ด้านหลังของชีหวาในครั้งเดียว อีกทั้งกระบี่ก็หมุนคว้างกลางอากาศแล้วพุ่งตรงไปยังศีรษะของอีกฝ่าย ชีหวาััได้ถึงปราณกระบี่ เมื่อหันกลับหลังไม่ทันจึงค้อมเอวหลบแทน อ๋าวหรานยกเท้าเตะเข้าไปที่ก้นเขาทีหนึ่งจนเขาโซเซ
คนผู้นี้ทั้งร่างเต็มไปด้วยของมีคม ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนเต็มไปด้วยอาวุธลับ จนถึงตอนนี้อ๋าวหรานก็เห็นเขาล้วงอาวุธลับจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากหลายที่ปะทะกับเขาตรงๆ ต่อให้จะเข้าใกล้ได้หรือแทงโดนเขา เกรงว่าคงถอยหลังออกมาไม่ทัน อาจถูกอาวุธลับที่ไล่หลังมาของเขาทำให้าเ็ได้ เรียกได้ว่าฆ่าศัตรูไปพันคน แต่ตัวเองกลับเสียหายไปแปดร้อย
คาดว่าคนผู้นี้เองก็เข้าใจหลักการนี้ดี เพราะเหตุนี้ทุกการโจมตีล้วนเป็การพุ่งชนขนานไปกับพื้น ไม่มีแผนมีหลักอะไร พุ่งชนเข้าใส่เพียงอย่างเดียว คิดว่าแผ่นหลังน่าจะเป็จุดอ่อนของเขาที่ไม่ทันได้ระวังหรือป้องกันอะไร
ชีหวาในที่สุดก็ยืนได้มั่นคงอย่างยากลำบาก คิดจะหมุนกายหันไปอย่างรีบร้อน อ๋าวหรานโจมตีสำเร็จไปหนึ่งครั้งแล้วก็ไม่ได้หย่อนยาน รีบบินขึ้น้า ตั้งใจจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อเตะคนผู้นี้ลงจากเวทีให้ได้ แต่ว่ารอบนี้ยากนักจะสำเร็จอีก ชีหวาตีลังกาตะแคงข้างไปอีกทาง หลบกระบี่นี้ของอ๋าวหรานไปอย่างยากลำบากแล้วรีบกระถดถอยห่างจากอ๋าวหรานอย่างรวดเร็ว
เมื่อพลาดไป อ๋าวหรานก็ไม่ได้โจมตีอีก กลับหันตัวไปมองใบหน้าราวกับเด็กน้อยที่อยู่ห่างออกไปไกล
ชีหวาหอบหายใจสองสามที “ฮี่ๆๆ ไม่เลวๆ เ้าร้ายกาจทีเดียว”
แต่อ๋าวหรานกลับขมวดคิ้ว คนที่สามารถสู้เสมอกับตนได้เช่นนี้ หากต้องเผชิญหน้ากับจิ่งฝานเกรงว่าคงถูกจัดการในชั่วพริบตาเลยกระมัง จิ่งเหวินซานกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
ไม่ว่าจิ่งเหวินซานจะคิดอย่างไร การประลองนี้ก็ยังต้องดำเนินต่อไป คนทั้งสองเข้าพัวพันกันอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
จิ่งจื่อยกมือขึ้น กระบี่สั้นในมือปัดอาวุธลับที่กระเด็นมาถึงด้านล่างดัง 'เคร้ง…' มองกระบี่ที่ฉวัดเฉวียนไปมาบนเวทีแล้วอดพูดไม่ได้ว่า “พวกหวาหวาจิ่วอะไรนี่ก็ไม่เห็นจะเก่งเท่าไร อาวุธลับก็ใช้ได้อย่างธรรมดามาก”
“แต่ที่อ๋าวหรานให้สืบเื่ของเขาต้องมีเหตุผลแน่” จิ่งเซียงครุ่นคิดแล้วตบเวทีประลองด้วยท่าทางเข้าใจในทันใด “หรือชีหวาเป็แค่ตัวหลอก ในร่างของเขายังซ่อนต้าหวา เอ้อหวา ซานหวา...เป็ต้นเอาไว้”
จิ่งจื่อทำสีหน้ารังเกียจ “เ้าคิดว่าตัวเองกำลังอ่านนิทานอยู่หรืออย่างไร? ร่างเตี้ยสั้นเช่นนั้นของเขาจะไปซ่อนอะไรไว้ได้? นอกเสียจากพวกพี่น้องของเขาจะมีขนาดแค่ไม่กี่ชุ่น!”
จิ่งเซียงปากยื่น “ข้าก็แค่เดาเอาไม่ได้หรือ?”
อิ่นซีเิอดหัวเราะออกเสียงออกมาไม่ได้ หลังจากนั้นก็ถามต่ออย่างกังวลว่า “เด็กคนที่กำลังประลองกับคุณชายอ๋าวสามารถทำร้ายคุณชายอ๋าวได้หรือ”
จิ่งเซียงกำลังคิดจะส่ายหน้า วรยุทธ์ของคนผู้นี้น่าจะยังทำร้ายอ๋าวหรานไม่ได้ กลับถูกเสียง 'เคร้ง' บนเวทีเรียกให้หันสายตาไปมอง
เห็นเพียงกระบี่ในมืออ๋าวหรานร่วงลงบนพื้น คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนเวที มือทั้งคู่ขยุ้มเสื้อบริเวณหน้าอกจนเห็นกระดูกข้อต่อบนมือชัดเจน ทั้งยังซีดขาวเพราะออกแรง ส่วนใบหน้ายิ่งไม่มีสีเืแม้สักนิด ท่าทางเ็ปยากจะทานทนได้
เด็ก1 (娃娃)อ่านว่าหวาหวา ภาษาจีนแปลว่าเด็กหรือตุ๊กตา
แสงจันทร์นวล2 (白月光)หมายถึงหญิงสาวที่บริสุทธิ์สดใสสไตล์รักแรกที่จะทำให้คนคิดถึงอยู่ในใจไม่ลืมเลือน
กุหลาบแดง3 (红玫瑰)หมายถึงคนรักที่เปล่งประกายร้อนแรง กระตือรือร้น
จางอ้ายหลิง4 (张爱玲)คือนักเขียนนิยายและบทภาพยนตร์ชาวจีน
นิยายเลื่อนระดับ5 หมายถึงนิยายที่ตัวเอกเริ่มต้นมาแบบธรรมดาๆ แล้วตอนหลังก็ค่อยๆ เลื่อนระดับเก่งขึ้นเรื่อยๆ
เศษข้าวขาว6 (饭粘子)ในนิยายของจางอ้ายหลิงเขียนไว้ว่าผู้ชายเมื่อได้แต่งงานกับหญิงที่เป็ดั่งแสงจันทร์นวล พอนานไปก็เห็นเป็เพียงแค่เศษข้าวที่ติดเสื้อผ้า ก็คือเบื่อนั่นเอง แล้วกลับไปชอบกุหลาบแดงแทน (แต่ในนิยายเลื่อนระดับจะไม่เป็เช่นนี้ พระเอกจะได้ทั้งแสงจันทร์นวลและกุหลาบแดงทั้งคู่เลย ไม่ต้องเลือก ไม่ต้องทิ้งใคร จึงเป็ที่มาของคำว่าสะใจ)
ยุงดูดเื7 (蚊子血)ในนิยายของจางอ้ายหลิงเขียนไว้ว่าผู้ชายเมื่อได้แต่งงานกับหญิงที่เป็ดั่งกุหลาบแดง พอนานไปก็เห็นว่าเป็แค่ยุงดูดเืบนกำแพง ก็คือเบื่อนั่นเอง แล้วกลับไปชอบผู้หญิงแบบแสงจันทร์นวลแทน (แต่ในนิยายเลื่อนระดับจะไม่เป็เช่นนี้ พระเอกจะได้ทั้งแสงจันทร์นวลและกุหลาบแดงทั้งคู่เลย ไม่ต้องเลือก ไม่ต้องทิ้งใคร จึงเป็ที่มาของคำว่าสะใจ)
ศิษย์น้อย8 (小生)แปลว่าหนุ่มน้อยผู้มีการศึกษา
ชี9 (七)ภาษาจีนหมายถึงเจ็ด
ต้า10 (大) แปลว่าใหญ่ หมายถึงพี่ใหญ่
เอ้อ11 (二)แปลว่าสอง หมายถึงพี่คนรอง
ซาน12 (三)แปลว่าสาม หมายถึงพี่คนที่สาม
ซื่อ13 (四)แปลว่าสี่ หมายถึงคนที่สี่
จิ่ว14,15 (酒)(九)จิ่วในภาษาจีนหมายถึงสุราและเก้า เป็คำพ้องเสียง
