18
“เราจะกลับบ้านต่างจังหวัดสามวันสองคืน นายอยากไปด้วยกันหรือเปล่า?”
“เราไปได้เหรอ”
“ได้สิ”
“...”
“แต่ในฐานะพอร์ตนะ” เจแปนบอกพร้อมสังเกตท่าทีของพัตเตอร์ไปด้วย ซึ่งพออีกฝ่ายได้ยินอย่างนั้น พัตเตอร์ก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วค่อยตอบบางอย่างกลับมา
“แปนก็รู้ว่าเราไม่อยากรับบทเป็พอร์ต เพราะเราไม่ใช่มัน”
“งั้นนายก็ไม่ต้องไปหรอก ไม่เห็นจะยุ่งยากเลย” เขาว่าและอธิบายต่อ “แม่เรารู้จักพอร์ตแต่ไม่รู้จักนาย และถ้านายไปบ้านเราในฐานะพัตเตอร์ เื่ราวมันคงวุ่นวายกว่านี้แน่”
“...”
“เพราะงั้นนายไม่ต้องไปั้แ่แรกเลยน่าจะดีกว่า มันจะได้ไม่เกิดปัญหาทีหลัง” เจแปนเปลี่ยนใจกะทันหัน จากที่ตอนแรกเขาคิดจะเอาพัตเตอร์ไปด้วย เพื่อที่เวลาเขาขับรถกลับบ้าน เจแปนจะได้ไม่ต้องเหงาอย่างน้อยก็พอได้มีเพื่อนคุยแก้ง่วง แต่พออีกฝ่ายบอกกันแบบนั้น ้าจะเป็ตัวเองไม่ใช่สวมรอยเป็ใคร เจแปนจึงคิดว่าเขาควรให้อีกฝ่ายอยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า
“ใจร้ายชะมัด มาให้ความหวังอยากให้เราไปด้วย แต่สุดท้ายก็มาเปลี่ยนใจทีหลัง” พัตเตอร์ทำทีตัดพ้อ ทำเหมือนเจแปนเป็คนใจร้าย
“เราบอกแล้วไงว่านายไปได้”
“...”
“แต่นายต้องไปในฐานะพอร์ตแฟนของเรา ถ้าไม่ตกลงตามนี้นายก็คงไปด้วยไม่ได้” เจแปนยังคงยืนกรานคำเดิม ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ
“แล้วเื่ข้อตกลงระหว่างเราล่ะ” พัตเตอร์ถามต่อ
“ก็ค่อยนับต่อ หลังจากที่เรากลับมากรุงเทพไง”
“...”
“ตกลงจะเอายังไง เอาตามนี้เลยไหม?” เขาถามต่อ โดยเขาก็ปล่อยให้พัตเตอร์ใช้เวลาคิดนานเกือบนาที อีกฝ่ายถึงค่อยตอบกลับมา
“ก็ได้ เราจะกลับบ้านพร้อมแปนในฐานะพอร์ต”
“แค่นี้ก็สิ้นเื่” เจแปนว่า จากนั้นเขาก็เดินหนีพัตเตอร์ไปทำนั่นทำนี่ของตัวเอง ปล่อยให้อีกฝ่ายคอยวนเวียนอยู่ในห้องแบบไม่คิดจะสนใจอะไร
ต่อมาพอถึงคราวที่ทั้งสองต้องเข้านอนกันแล้ว ขณะที่เจแปนกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง บรรจงทาครีมนั่นนี่อย่างไม่รีบร้อน เขาก็ต้องย่นคิ้วเข้าหากันเป็ครั้งที่ร้อย เมื่อเจแปนเห็นพัตเตอร์กำลังนั่งคอยกันอยู่บนเตียงผ่านการมองกระจกเงา
“นายก็นอนไปสิ จะมารออะไร” เจแปนหันไปบอกอีกฝ่าย
“ไม่เป็ไร พอดีเราอยากนอนพร้อมแปน”
“อ๋อ งั้นก็ตามใจแล้วกันนะ ถ้านายคิดว่ารอได้ก็รอ” เจแปนเอ่ยอย่างไร้เยื่อใย จากนั้นเขาก็หันกลับไปให้ความสนใจกับครีมบำรุงต่อ โดยเจแปนก็เสียเวลาอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งต่ออีกประมาณสิบห้านาทีเห็นจะได้ ซึ่งพอทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาถึงได้ฤกษ์เดินไปยังเตียงนอนของตัวเองเสียทีและพัตเตอร์ก็ยังนั่งคอยกันอยู่ท่าเดิม
“เฮ้อ นายนี่มันจริง ๆ เลยนะ” เจแปนที่เห็นอย่างนั้นพูดกับร่างดอพเพลแกงเกอร์ พลางส่ายหน้าให้อีกฝ่ายด้วยความเหนื่อยใจ
“ก็บอกแล้วไงว่าเราอยากนอนพร้อมแปน”
“แล้วก็มานั่งคอยกันแบบนี้เลยเนี่ยนะ”
“...”
“เอาล่ะ... นายนอนเถอะ เราว่าเราไม่้าคำตอบของนายหรอก” เจแปนพูดตัดบทพร้อมทิ้งร่างลงบนเตียงและเอื้อมมือไปปิดโคมไฟด้วย แล้วพอพัตเตอร์เห็นอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ทิ้งร่างลงบนเตียงตามบ้าง
โดยความมืดมิดและความเงียบ ต่างฝ่ายก็ยังไม่มีใครหลับทั้งนั้น ทั้งสองมองเพดานห้องที่ประดับไปด้วยดาวเรืองแสงอย่างเงียบ ๆ มันเป็อย่างนั้นเกือบสิบนาที ก่อนที่เจแปนจะตัดสินใจระบายบางอย่างให้พัตเตอร์ฟัง เมื่อมันยังรบกวนจิตใจเขาอยู่และเจแปนก็คงนอนไม่หลับแน่ หากเขาไม่ได้พูดเื่นี้ออกมา
“วันนี้เราทะเลาะกับพอร์ตด้วยแหละ” ท่ามกลางความเงียบที่เข้าปกคลุมทั้งสอง เจแปนก็ตัดสินใจบอกสิ่งที่เขาพบเจอมาวันนี้ให้พัตเตอร์ฟัง ซึ่งเจแปนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขาเล่าเื่นี้ให้อีกฝ่ายฟัง ทั้งที่พัตเตอร์เป็คนที่ไม่สมควรรู้เื่นี้มากที่สุดแล้ว
“แล้วทะเลาะกันเื่อะไรเหรอ” พัตเตอร์ที่ยังคงมองเพดานห้องอย่างใช้ความคิดถามกลับมา
“ขอไม่บอกนะว่าเป็เื่ไหน”
“...”
“แต่เอาเป็ว่าวันนี้เรากับพอร์ตทะเลาะกันมาก็พอ”
“แล้วเพราะเื่นี้หรือเปล่า ตอนที่กลับมาห้องแปนเลยดูไม่สบอารมณ์” พัตเตอร์ถามต่อ
“ใช่ เพราะเขานั่นแหละ” เจแปนยอมรับกลับไป จากนั้นเขาก็เป็ฝ่ายพลิกตัวนอนหันหน้าไปทางพัตเตอร์แล้วออกคำสั่งกับอีกฝ่าย “หันหน้ามาหาเราสิ”
“จะทำอะไร” อีกฝ่ายถามกลับมา
“บอกให้หันก็หันมาเถอะน่า”
เมื่อเจแปนเริ่มแสดงท่าทีหงุดหงิดใส่พัตเตอร์แล้ว อีกฝ่ายถึงค่อยเชื่อฟังกันอีกครั้ง ด้วยการพลิกตัวหันหน้ามาทางเจแปน ทั้งสองสบตากันผ่านความมืด ก่อนที่มือเจแปนจะยื่นไปััที่ข้างแก้มพัตเตอร์ ทำเอาร่างดอพเพลแกงเกอร์ที่คอยเป็ฝ่ายเข้าหากันตลอดถึงกับขมวดคิ้ว
“เครียดมากเลยเหรอ เลยกลายเป็แบบนี้” พัตเตอร์ถามเสียงประหลาดใจ ทว่าคำพูดของอีกฝ่ายกลับทำให้เจแปนต้องหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เปล่าสักหน่อย ทะเลาะกับพอร์ตน่ะไม่เครียดหรอก เพราะทะเลาะกันจนชินแล้ว”
“แล้วมาทำแบบนี้กับเราทำไม” อีกฝ่ายยิงคำถามมาอีก
“...”
“แปนก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเราคิดยังไงกับแปน ยังมาให้ความหวังอีก”
“คือนายรู้สึกดีกับเราเหรอ ถามจริง ๆ เถอะ...นายเอาเวลาไหนมารู้สึกแบบนั้นกัน ในเมื่อเราสองคนเพิ่งรู้จักกันเองและเราเองก็เพิ่งมารู้จักพวกดอพเพลแกงเกอร์เมื่อตอนสองเดือนก่อนด้วยซ้ำ” เจแปนถามอย่างข้องใจ เมื่อ่เวลามันไม่ได้มากพอที่จะทำให้ความรู้สึกก่อตัวขึ้นด้วยซ้ำ
“เรารู้จักแปนพร้อม ๆ กับพอร์ตนั่นแหละ”
“...”
“ั้แ่วันที่มันถือกระเป๋าขึ้นไปส่งแปนที่ห้องเรียนไง” พัตเตอร์บอก และนั่นก็ทำให้เจแปนเงียบไปเนื่องจากเหตุการณ์ตอนนั้น มันเป็เหตุการณ์แรกที่ทำให้เขากับพอร์ตได้รู้จักกัน
“ถ้านายรู้สึกดีั้แ่ตอนนั้น แล้วทำไมถึงเพิ่งมาปรากฏตัวเอาตอนนี้ล่ะ” เจแปนถามต่อ
“ก็เหมือนที่เราเคยบอกเมื่อวันก่อนไง ถ้าความคิดของดอพเพลแกงเกอร์ขัดแย้งกับเ้าของร่างอยู่บ่อย ๆ มันก็จะแยกออกมาใช้ชีวิตของมันเอง”
“แบบที่นายกำลังทำอยู่นี่น่ะเหรอ”
“ใช่” พัตเตอร์พยักหน้ารับ
“แล้วนายคิดจะทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็เหมือนเดิมหรือเปล่า เราหมายถึงกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับพอร์ตเหมือนเงาตามตัวน่ะ” เจแปนถาม ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคำถามของเขามันยากเกินไป จนทำให้พัตเตอร์ต้องใช้เวลาคิดนาน
“พอดอพเพลแกงเกอร์มันได้เป็อิสระแล้ว มันไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับเ้าของร่างหรอก”
“...”
“รวมถึงเราด้วย” สิ้นเสียงของพัตเตอร์ มันก็เป็คราวของอีกฝ่ายบ้างที่จะเริ่มลูบไล้ตามใบหน้าของเจแปนเหมือนอย่างที่เขาเคยทำให้ โดยััจากพัตเตอร์ก็ทำเอาคนที่รับััเกิดอาการหายใจติดขัด รู้สึกหน้าเห่อร้อนเหมือนตอนที่เขาถูกพอร์ตััเนื้อตัวกันเป็ครั้งแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ตอนนี้แปนกำลังใจเต้นแรงเพราะเราเหรอ”
“...”
“ดีใจจังที่เรามีผลต่อความรู้สึกแปนด้วย”
“เปล่าสักหน่อย”
“เสียงหัวใจเต้นดังขนาดนี้ยังคิดจะปฏิเสธอยู่เหรอ”
“เราก็แค่ใน่ะ” เจแปนยังคงปฏิเสธเช่นเดิม
“ปากแข็ง” พัตเตอร์สวนกลับมา จากนั้นถึงค่อยถามบางอย่างต่อ “เราขอถามหน่อยสิ ทำไมถึงชื่อเจแปน”
“พ่อแม่มีเราตอนไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่น เราก็เลยชื่อเจแปน” เจแปนตอบที่มาของชื่อไปตามตรง เมื่อแม่ของเขาให้เหตุผลมาอย่างนั้นจริง ๆ เนื่องจาก่ที่ยังเด็ก เจแปนก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมแม่เขาถึงตั้งชื่อนี้ให้
“แบบนี้นี่เอง” พัตเตอร์พึมพำ ซึ่งต่อมาเจแปนก็เป็ฝ่ายถามกลับไปบ้าง
“แล้วนายล่ะ ทำไมถึงชื่อพัตเตอร์ อันนี้นายตั้งเองเหรอ”
“ใช่ เราตั้งเอง”
“...”
“ปกติพวกดอพเพลแกงเกอร์มักจะตั้งอะไรที่คล้องจองกับชื่อของเ้าของร่างอยู่แล้ว” อีกฝ่ายอธิบายต่อ โดยสิ่งที่พัตเตอร์พูดมา มันก็เป็เื่ที่เจแปนเพิ่งรู้เหมือนกัน
“มิน่าล่ะ ตอนนั้นที่เรายังไม่รู้ว่าโลกนี้มีดอพเพลแกงเกอร์แฝงตัวอยู่ด้วย เราถึงเข้าใจผิดคิดไปว่าพอร์ตมีแฝด” เจแปนบอกกลับไป พลางหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เขามีอาการสับสนคิดไปเองว่าแฟนหนุ่มมีฝาแฝดที่ไม่ยอมเปิดเผย โดยตอนนั้นเจแปนก็สับสนมาก จนเขาต้องเอ่ยปากถามพอร์ตและแม่ของพอร์ตว่าที่บ้านมีสมาชิกกี่คนกันแน่
“แปนมีอะไรที่อยากถามอีกหรือเปล่า” พัตเตอร์ที่ยังคงนอนตะแคงข้างหันหน้ามาหากันแล้วถามต่อ
“หืม?”
“อะไรที่แปนสงสัยเกี่ยวกับโลกของดอพเพลแกงเกอร์น่ะ” อีกฝ่ายขยายความ แต่นั่นก็ยังทำให้เจแปนประหลาดใจอยู่ดี เนื่องจากตอนที่เขาขอข้อมูลจากอีกฝ่าย พัตเตอร์ดูไม่ค่อยอยากตอบเื่นี้นัก แต่จู่ ๆ วันนี้มาอีกฝ่ายกลับมีท่าทีกระตือรือร้นอยากตอบเสียอย่างนั้น
“ตอนนั้นที่เราถามไป นายก็ดูไม่ค่อยอยากตอบกันเลย แล้วถ้าเราถามอีกนายจะยอมตอบหรือไง”
“แปนก็ลองถามมาก่อนสิ เดี๋ยวเราพิจารณาเองว่าควรตอบดีไหม”
“...”
“เฉพาะเื่ที่เกี่ยวกับดอพเพลแกงเกอร์นะ ส่วนเื่อื่นเราไม่ขอตอบ”
“แน่ะ ดักทางกันอีกนะ” เจแปนว่า จากนั้นเขาก็เงียบไปครู่หนึ่งเพื่อคิดคำถาม เพราะไหน ๆ พัตเตอร์ก็อุตส่าห์เปิดโอกาสให้ถามแล้ว
“จนถึงตอนนี้เราก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าวิธีกำจัดร่างดอพเพลแกงเกอร์ มันคือวิธีไหน”
“...”
“เราไม่ได้จะเอาวิธีนั้นมาใช้กับนายนะ แต่มันก็แค่เป็ความสงสัยส่วนตัวน่ะ” เจแปนยังคงยืนกรานคำเดิมที่เขาเคยบอกอีกฝ่ายไว้เมื่อวันก่อน
“เมื่อมันถึงคราวที่แปนจะต้องเลือกจริง ๆ วันนั้นเราจะเป็คนบอกวิธีเอง”
“พูดแบบนี้แสดงว่านายรู้ใช่ไหม?” เจแปนยิงคำถามกลับไปทั้งคิ้วขมวด หลังคำพูดของพัตเตอร์ทำให้เขางงอีกแล้ว “ว่าแต่เลือกอะไร? เราไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“เดี๋ยวเวลามันจะทำให้แปนเข้าใจสิ่งที่เราพูดในคืนนี้เองแหละ” พัตเตอร์บอกแค่เท่านั้น
หลายวันต่อมา...
“พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวมันจะถึงบ้านค่ำ”
“แล้วบ้านที่ต่างจังหวัดของแปนอยู่ไกลจากที่นี่หรือเปล่า?”
“ก็ขับรถประมาณห้าชั่วโมงได้” ่เช้าของวัน หลังเจแปนขนเสื้อผ้าและโน้ตบุ๊กขึ้นใส่รถเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปบอกพัตเตอร์ให้อีกฝ่ายรีบขึ้นไปนั่งข้างคนขับเสียที เพราะเจแปนอยากเดินทางออกจากกรุงเทพั้แ่ตอนที่ยังไม่สายมากนัก
“แล้วเราต้องเปลี่ยนมือขับหรือเปล่า?” พัตเตอร์ถามต่อ ทำเอาคนได้ยินต้องเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ
“นายขับรถเป็ด้วยเหรอ”
“อือ ก็ถ้าพอร์ตสามารถทำอะไรได้ เราก็จะสามารถทำแบบนั้นได้เหมือนกัน รวมไปถึงการอุดฟันให้คนไข้ด้วย” อีกฝ่ายอธิบายกลับมา โดยในนาทีนั้นเจแปนก็ไม่สงสัยแล้วว่าถ้าหากพวกดอพเพลแกงเกอร์คิดจะสวมรอยเป็เ้าของร่างจริง ๆ ทำไมถึงไม่มีใครสงสัยในตัวพวกนี้เลย
“ตกลงว่ายังไง อยากเปลี่ยนมือหรือเปล่า” พัตเตอร์ถามย้ำ
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะ แต่ว่าเราขับรถกลับบ้านแบบนี้บ่อยแล้วล่ะ” เนื่องจากไม่พร้อมเสี่ยงชีวิต เจแปนจึงปฏิเสธความหวังดีนั้น พร้อมเดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อนั่งประจำตำแหน่งคนขับ
การเดินทางออกต่างจังหวัดพร้อมกับดอพเพลแกงเกอร์ในครั้งนี้ มันก็ไม่ได้ต่างจากการเดินทางร่วมกับมนุษย์ปกติเลย พัตเตอร์สามารถทำตัวเป็เพื่อนร่วมเดินทางได้ดี อีกฝ่ายชวนเจแปนคุยตลอดทั้งการเดินทาง เพียงแต่ว่าหัวข้อที่พัตเตอร์มักจะหยิบยกมาสนทนากับเขา มันมีแต่เื่เครียด ๆ ก็เท่านั้น
“แล้วแปนพาเราไปบ้านแบบนี้ แปนไม่กลัวว่าพอร์ตจะสงสัยเอาเหรอ?”
“ยังไง”
“ก็ถ้าวันไหนที่แม่แปนกับพอร์ตได้เจอกันอีก แปนไม่กลัวว่าพวกเขาจะคุยกันแล้วอาจพูดถึงเื่ไปที่บ้านครั้งนี้หรือไง” พัตเตอร์ถาม และนั่นก็ทำให้เจแปนต้องนิ่งไปพักหนึ่ง เพราะสถานการณ์ที่พัตเตอร์หยิบยกมานั้น มันสามารถเกิดขึ้นได้จริง
“ไม่หรอก แม่เราไม่ค่อยชอบเข้ากรุงเทพ อีกอย่าง... ั้แ่เราคบกับพอร์ตมา พอร์ตเคยเจอแม่เราแค่สองครั้งเอง ถ้าเจอกันอีกหนก็คงเป็ตอนที่เราเรียนจบนั่นแหละ” เจแปนให้คำตอบกลับไป ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะมี่เวลานั้นหรือเปล่า เนื่องจากอะไร ๆ มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
“แปนเป็คนใช้ชีวิตประมาทอยู่นะเนี่ย” พัตเตอร์ว่าทั้งหน้ายิ้ม
“เราไม่ได้ประมาทหรอก แต่เราประเมินแล้วความเสี่ยงมันต่ำมากต่างหาก”
“แบบนี้นี่เอง” พัตเตอร์เอ่ยเสียงแ่แล้วเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนคิดอะไรบางอย่างแล้วค่อยพูดมันออกมา “ไอ้เราก็อุตส่าห์ดีใจ นึกว่าแปนไม่แคร์พอร์ตและไม่กลัวว่าตัวเองจะถูกจับได้ซะอีก”
“พูดจาแปลก ๆ อีกแล้วนะ ทำเหมือนว่าพวกเราเป็ชู้กันอย่างนั้นแหละ” เจแปนพูดพร้อมส่ายหน้าให้คนข้างกายไปหนึ่งหน
“แล้วตอนนี้เราไม่ใช่ชู้แปนเหรอ?”
“แล้วมันจะใช่ได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ได้เล่นกับนาย”
“...”
“ตอนนี้การกระทำของพวกเราเหมือนเพื่อนกันเลยนะ เพื่อนที่บังเอิญหน้าคล้ายกับแฟนเราน่ะ” เจแปนพูดเสียงจริงจัง
มันอาจมีบ้างที่เขารู้สึกเผลอไผลยามที่พัตเตอร์ปฏิบัติตัวดี ๆ กับเขาและใส่ใจเขาแบบที่เจแปนไม่เคยได้รับจากพอร์ต แต่มันก็ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ใบหน้าของพอร์ตจะเลือนหายไปจากความคิดของเจแปน ระหว่างที่เขากำลังอยู่กับพัตเตอร์
“พอได้ยินแบบนี้แล้วเจ็บชะมัด” พัตเตอร์แสร้งพูดเสียงเศร้า ทั้งที่เ้าตัวไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
เพราะทุกครั้งที่เจแปนกลับบ้าน เขาก็มักจะเดินทางกลับเพียงลำพังมาโดยตลอด นั่นจึงทำให้การเดินทางครั้งนี้มันไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลย ต่อให้เจแปนจะขับรถยาวนานถึงห้าชั่วโมงก็ตาม
“พวกเราเข้าบ้านกันเถอะ” ่เย็นของวัน เมื่อการเดินทางอันยาวนานได้สิ้นสุดลงแล้ว เจแปนก็หันไปพูดกับพัตเตอร์เสียงเรียบพร้อมปลดสายรัดนิรภัยออก เตรียมจะลงจากรถ
“แล้วนี่แม่แปนรู้หรือเปล่าว่าเรามาด้วย” พัตเตอร์ถาม
“เราลืมบอกไปเลยแฮะ แต่ช่างเถอะ... มันไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรหรอก เพราะบ้านเรามันมีห้องนอนว่างเหลืออยู่” เจแปนตอบกลับไป เนื่องจากเขาเองก็ลืมไปเสียสนิทว่าไม่ได้โทรบอกแม่เื่ที่เขาจะเอาพัตเตอร์มาด้วย
ต่อมาเมื่อเขาเดินลงมาจากรถพร้อมกับพัตเตอร์แล้ว มันก็เป็จังหวะเดียวกันกับที่แม่ของเจแปนได้เดินออกมาข้างหน้าร้านพอดี นั่นจึงทำให้พัตเตอร์และเธอต้องเจอกันแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งในนาทีนั้นเจแปนก็แอบกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะมันคือครั้งแรกที่แม่ของเขาได้เจอกับร่างดอพเพลแกงเกอร์ของพอร์ต
“อ้าว พอร์ตสวัสดีจ้ะ” แม่ของเจแปนเป็ฝ่ายทักพัตเตอร์ก่อน โดยเธอก็มักจะยิ้มแย้มให้พอร์ตทุกครั้งยามที่เจอหน้ากัน
“สวัสดีครับ” พัตเตอร์ไม่พูดเปล่า แต่อีกฝ่ายังยกมือไหว้และระบายยิ้มให้เธอด้วยท่าทีเป็มิตรไม่แพ้กัน จากนั้นแม่ของเจแปนถึงค่อยหันมาพูดกับเขา
“นี่เราจะเอาแฟนมาด้วย ทำไมถึงไม่โทรมาบอกแม่ก่อนล่ะ เย็นนี้แม่จะได้ลงมือทำอาหารไว้รอ”
“แปนก็ลืมโทรอ่ะแม่ เพิ่งมานึกได้ก็ตอนที่มาจอดรถหน้าบ้านเรานี่แหละ” เจแปนตอบพลางหันไปพยักหน้าให้พัตเตอร์ เพื่อบอกให้อีกฝ่ายถือกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในบ้านเลย และปล่อยให้เขาอยู่กับแม่เพียงลำพัง
“แล้วทำไมหนนี้ถึงได้เอาแฟนมาด้วยล่ะ” เธอถามต่อ
“ก็พอร์ตว่างพอดี แปนก็เลยลองชวนมาที่บ้านเราซะเลย เวลาที่แปนขับรถแปนจะได้มีเพื่อนคุยเล่นไงแม่” เจแปนตอบกลับไปด้วยท่าทีธรรมชาติพร้อมตวัดแขนโอบเอวแม่ของตัวเองให้เดินเข้าไปในร้านด้วยกัน
“แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ถ้ารู้แบบนี้แม่จะได้เตรียมของมาทำอาหารเย็นไว้รอพวกเราไง”
“ทีแปนกลับบ้านทั้งที ทำไมแม่ถึงไม่ลงมือทำอาหารให้กินบ้างเลย” เจแปนทำทีพูดด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ
“อ้าว ก็แกหากินเองได้”
“พอร์ตมันก็ไม่ใช่เด็กอมมือไหมล่ะแม่” เจแปนยอกย้อน
“ก็แฟนแกเขาเป็แขกของบ้านไง ไอ้ลูกคนนี้นี่” เธอว่าพลางถลึงตาใส่กันหนึ่งยก ทำเอาเจแปนเห็นแล้วก็กลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วในจังหวะเดียวกันเขากับแม่ก็เดินมาถึงตัวพัตเตอร์พอดี
“แล้วห้องนอนที่มันว่าง ๆ ยังใช้ได้หรือเปล่า แปนจะได้ให้พัต... แปนจะได้ให้พอร์ตเข้าไปนอนที่นั่น” เจแปนถามแม่ต่อ โดยเขาก็มีอาการชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเจแปนเผลอตัวเรียกชื่อที่แท้จริงของดอพเพลแกงเกอร์ออกมา
แต่ก็เป็โชคดีที่แม่เขาไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินั้น...
“โห ห้องนั้นแม่ทำเป็ห้องเก็บของแล้วนะแปน แถมฝุ่นก็เยอะมากด้วยไม่ได้เข้าไปทำความสะอาด” แม่บอกกลับมา
“อ้าว ทีนี้จะให้พอร์ตไปนอนไหนล่ะแม่” เขาถามต่อทั้งคิ้วขมวด
“ก็นอนห้องเดียวกับแกไง คนเป็แฟนกันแท้ ๆ นอนห้องเดียวกันมันจะเป็อะไรไป” แม่ของเจแปนบอกกลับมา คล้ายกับเื่ที่เจแปนถามมันไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่นิด ซึ่งหลังจากที่เธอบอกอย่างนั้น พัตเตอร์ที่ยืนฟังบทสนทนาระหว่างแม่ลูกมาสักพักก็แอบยกยิ้มจาง ๆ เพราะได้รับคำตอบที่ถูกใจ
ตลอดทั้งการนั่งกินมื้อเย็นข้างนอกบ้านด้วยกัน แม่ของเจแปนก็ไม่มีท่าทีเอะใจด้วยซ้ำว่านี่ไม่ใช่แฟนของเขาจริง ๆ
อาจเพราะเธอมีโอกาสเจอกับพอร์ตตัวจริงนับครั้งได้ แถมไม่ได้สนิทสนมกับพอร์ตขนาดนั้น นั่นจึงทำให้เธอไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไรเลย แม้ว่าสิ่งที่พัตเตอร์กำลังปฏิบัติกับเธออยู่ในเวลานี้ มันไม่ใช่พฤติกรรมที่พอร์ตมักจะทำกับคนรอบข้าง
“ผมพูดจริง ๆ นะครับ คุณแม่ลองไปหาซื้อมาใช้ดูนะ เพราะเพื่อนที่คณะผมใช้กันเยอะมาก”
“โอเค แล้วพอร์ตสั่งมาจากไหนเหรอ”
“ผมสั่งจากในแอปมาครับ เอาแบบนี้ดีกว่า... งั้นเดี๋ยวผมจะสั่งให้ก็แล้วกันนะครับ คุณแม่จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย” หลังทานมื้อเย็นเสร็จ ระหว่างที่ทั้งหมดกำลังนั่งกินของหวานด้วยกันต่อ เสียงสนทนาของพัตเตอร์กับแม่ของเจแปนก็คอยดังขึ้นอยู่เป็ระยะ เมื่อทั้งสองกำลังพูดถึงยาดมสมุนไพรกันอยู่
“แล้วมันจะลำบากเราไหมล่ะ แม่ว่าเดี๋ยวพอร์ตบอกแค่ชื่อยี่ห้อมาก็ได้นะ เดี๋ยวแม่ใช้เจแปนสั่งมาให้แม่ดีกว่า” แม่ของเจแปนถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“ไม่เป็ไรครับ ให้ผมสั่งมาให้ดีกว่า” พัตเตอร์บอก พยายามแสดงความมีน้ำใจให้แม่ของเจแปนเห็น
“ถ้ามันไม่ลำบากเรา งั้นแม่ก็รบกวนด้วยนะลูก”
“ด้วยความยินดีเลยครับ” พัตเตอร์เอ่ยทั้งรอยยิ้ม ส่วนเจแปนก็ได้แต่มองทั้งสองสลับกันไปมาและยกยิ้มมุมปากจาง ๆ เนื่องจากพัตเตอร์ดูเข้ากันกับแม่เขามากกว่าแฟนหนุ่มตัวจริงเสียอีก
“แล้วที่เพื่อนในคณะเราใช้กันเยอะแบบนี้ แสดงว่ามันเรียนหนักกันมากเลยใช่ไหมเนี่ย” เธอชวนคุยต่อ
“ใช่ครับ คณะผมไม่เคยได้หยุดแบบจริง ๆ จัง ๆ สักครั้งเลย พอมีเวลาว่างเข้าหน่อยก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ เหตุผลนี้แหละครับผมเลยไม่ได้กลับบ้านพร้อมแปนสักที ทั้งที่ผมอยากกลับมาด้วยมาก” พัตเตอร์พูดจาออเซาะ ซึ่งคำพูดของอีกฝ่ายก็ทำให้แม่ของเจแปนเกิดความเอ็นดูอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
“งั้นแม่ก็ขอให้การมาเที่ยวครั้งนี้ พอร์ตชอบมันนะลูก เราจะได้พาเจแปนกลับมาหาแม่บ่อย ๆ”
“ฮ่า ๆ แน่นอนครับ ผมต้องชอบอยู่แล้วสิ ในเมื่อที่นี่... เป็บ้านเกิดของแปน” พัตเตอร์ตอบกลับไป จงใจสร้างความประทับใจให้แม่ของเจแปนให้ได้มากที่สุด โดยจุดประสงค์ที่ทำให้อีกฝ่ายทำแบบนี้คืออะไรนั้น เจแปนก็ไม่สามารถคาดเดาได้