บทที่ 2: โลกในความฝัน
หลินเย่วชิงเหยียบคันเร่งจนมิด สภาพการจราจรที่ติดขัดของเซี่ยงไฮ้ยามเย็นที่เคยเป็เื่ปกติธรรมดา วันนี้กลับทำให้เธอรู้สึกอึดอัดแทบบ้า ในสมองยังคงฉายภาพวงแหวนจักรวาลที่หมุนวนในกระจกซ้ำไปซ้ำมา มันงดงามทว่าน่าพรั่นพรึงราวกับดวงตาของพระเ้าที่กำลังจ้องมองเธอ และเ้าแมวดำตัวนั้น... แววตาของมันดูราวกับรู้เห็นทุกอย่าง สุดท้ายคือแหวนโลหะเก่าๆ ที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าถือของเธอ มันคือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เธอไม่เข้าใจ ความคิดมากมายถาโถมเข้ามาจนปวดขมับ
"เื่บ้าอะไรกันเนี่ย" เธอสบถกับตัวเองเบาๆ พยายามบังคับมือที่สั่นเทาให้จับพวงมาลัยให้มั่นคง สัญชาตญาณของเธอ ซึ่งเป็สิ่งที่แพทย์ผู้ทำงานกับความเป็ความตายทุกวันเชื่อมั่น กำลังกรีดร้องบอกให้รีบกลับไปยังพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง... กลับไปที่ห้องเพื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่เหนือธรรมชาตินี้
คอนโดของเธอตั้งอยู่บนชั้น 6 ของตึกสูงใจกลางเมือง การแบกกระจกโบราณที่ทั้งหนักและใหญ่โตขึ้นลิฟต์เพียงลำพังเป็เื่ที่ทุลักทุเลอย่างยิ่ง น้ำหนักของมันราวกับน้ำหนักของปริศนาทั้งหมดที่เธอกำลังแบกรับ เมื่อเข้ามาในห้องได้สำเร็จ เธอก็วางมันพิงกับกำแพงใกล้หน้าต่างบานใหญ่อย่างแรงจนเกิดเสียงดังตุบ ความเหนื่อยหอบทำให้เธอต้องยืนพิงประตูเพื่อพักหายใจ
เธอยืนมองมันจากอีกฟากของห้อง แสงไฟสีวอร์มไลท์จากโคมไฟสะท้อนบนผิวกระจกที่มัวหมอง มันดูเหมือนประตูสู่โลกอื่นที่กำลังรอการเปิดออก หัวใจของเธอเต้นระรัวจนเจ็บหน้าอก มือข้างหนึ่งยกขึ้นมากุมริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว ความเป็หมอ ความเชื่อในวิทยาศาสตร์และเหตุผลที่เธอสั่งสมมาทั้งชีวิตกำลังถูกท้าทายอย่างรุนแรง เธอไม่มีความกล้าพอที่จะเดินเข้าไปพิสูจน์ปาฏิหาริย์นั้นด้วยตัวเองในตอนนี้
"ใช่... แหวน!" เธออุทานออกมาเสียงแ่ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ รีบค้นกระเป๋าถืออย่างลวกๆ จนเจอแหวนวงนั้น "อ้อ... ยังอยู่นี่เอง" เธอถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก การได้ัักับความเย็นของโลหะทำให้รู้สึกเหมือนได้สติกลับคืนมา อย่างน้อยเ้าลูกแก้วเล็กๆ นี่ก็ดูไม่อันตรายเท่ากระจกบานั์นั่น เธอกำมันไว้ในฝ่ามือแน่นราวกับเป็เครื่องรางชิ้นสุดท้าย
ด้วยความเหนื่อยล้าสะสมมาทั้งวัน ประกอบกับความสับสนวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน หลินเย่วชิง ทิ้งตัวลงบนโซฟา เธอกำแหวนไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนสายตาก็จับจ้องไปยังกระจกบานนั้นไม่วางตา สมองของเธอพยายามหาเหตุผลมาหักล้างอย่างบ้าคลั่ง "อาจจะเป็ภาพหลอน... เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาจจะเป็เชื้อราประสาทหลอนบางชนิดที่ติดมากับของเก่า" เธอพยายามวิเคราะห์ตามหลักการแพทย์ แต่ในใจลึกๆ เธอก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ความรู้สึกตอนที่ถูกดูดเข้าไปในวงแหวนนั้นมันจริงเสียยิ่งกว่าจริง
ความอ่อนเพลียเข้าครอบงำเปลือกตาของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนที่สติจะดับวูบลง เธอนั่งหลับไปบนโซฟาในท่านั้นเอง...
และในห้วงเวลาที่โลกแห่งความจริงเลือนหายไป ทันใดนั้นเอง! แสงสีเขียวเรืองรองก็สว่างวาบออกมาจากใจกลางกระจกโบราณ ลำแสงนั้นไม่ได้รุนแรง แต่กลับนุ่มนวลและลึกลับ มันพุ่งตรงมายังแหวนในมือของเธอที่กำไว้หลวมๆ เกิดเป็เส้นใยแสงที่เชื่อมต่อของวิเศษทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกัน ราวกับแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดกันอย่างรุนแรง ก่อนที่ทุกอย่างจะจมดิ่งสู่ความมืด และเื่ราวในฝันก็เริ่มต้นขึ้น...
ความทรงจำที่สาบสูญ กลิ่นดินชื้นๆ ความหนาวเย็นที่เสียดแทงเข้ากระดูก และเสียงร้องไห้จ้าของเด็กทารกคือสิ่งแรกที่ หลินเย่วชิง รับรู้ได้เธอไม่ได้อยู่ในคอนโดหรูอีกต่อไป...
ในฝัน... เธอคือหญิงสาวชาวบ้านร่างกายผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูก สวมเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่ผ่านการปะชุนมานับครั้งไม่ถ้วน ที่น่าใที่สุดคือภาพตรงหน้า... ในอ้อมแขนของเธอคือร่างเล็กๆ ของทารกแฝดสามคนที่กำลังตัวร้อนเป็ไฟ พวกเขาร้องไห้ระงมด้วยความทรมานจากพิษไข้ ผิวเนื้อที่แดงก่ำและลมหายใจที่แ่เบาของพวกเขาบีบหัวใจของเธอจนแทบแหลกสลาย ในฐานะแม่ เธอรู้สึกสิ้นหวัง ในฐานะหมอ เธอรู้สึกอับจนหนทาง
ความยากจนและความลำบากถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นั์ในวันพายุเข้า กระท่อมดินเล็กๆ หลังนี้ไม่สามารถกันลมหนาวได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้าย ข่าวร้ายที่สุดเพิ่งมาถึงเมื่อตอนเย็น ผ่านจดหมายที่ยับยู่ยี่จากทางการ... สามีของเธอ เหว่ยหลง ทหารหาญที่ไปรบแนวหน้า ได้รับาเ็สาหัสปางตายในการปะทะครั้งล่าสุด ตอนนี้ยังไม่รู้ชะตากรรม
หากเขาเป็อะไรไป... หากวีรบุรุษาอย่าง เหว่ยหลง ต้องมาตายก่อนเวลาอันควร... ประวัติศาสตร์ที่เธอเคยรู้ อนาคตที่เธอวางแผนจะใช้ความรู้ความสามารถสร้างฐานะให้ร่ำรวย... ทั้งหมดก็จะพังทลายลง กลายเป็เพียงอากาศธาตุ
"ต้องทำยังไงดี... ต้องทำยังไง" เธอพึมพำในความฝัน น้ำตาแห่งความอับจนหนทางไหลอาบแก้มที่ตอบซูบของเธอ
"เมี๊ยว... เมี๊ยว!"
เสียงร้องแหลมของแมวตัวหนึ่งดังขึ้นอย่างชัดเจน มันแหลมคมพอที่จะกระชาก หลินเย่วชิง ออกจากฝันร้ายที่สมจริงนั้น!
เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนโซฟาตัวเดิมในห้องของตัวเอง!
เธอหอบหายใจอย่างหนัก เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผากราวกับเพิ่งวิ่งหนีจากความตายมา ความรู้สึกสิ้นหวังและเ็ปในฝันยังคงเกาะกุมหัวใจเธอแน่น เมื่อหันไปมองตามเสียง ก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความใ... เ้าแมวดำตัวเดิม! มันนั่งสงบนิ่งอยู่บนขอบหน้าต่างห้องเธอที่ปิดสนิท แววตาสีอำพันของมันจ้องมองมาราวกับจะถามว่า "เป็อย่างไรบ้าง"
"เ้าเหมียว! แก... แกเข้ามาได้ยังไง" เธอพรวดพราดลุกขึ้นไปที่หน้าต่าง มันไม่มีร่องรอยการงัดแงะใดๆ เมื่อเธอเลื่อนเปิดหน้าต่างออก มันก็ะโเข้ามาในห้องทันทีแล้วเดินเข้ามาคลอเคลียที่ขาของเธออย่างคุ้นเคยราวกับเป็เ้าของบ้าน
"นี่แกแอบขึ้นรถฉันมาเหรอ? หรือแก... ปีนตึกขึ้นมาถึงชั้น 6 เนี่ยนะ?" เธออุ้มมันขึ้นมาพลางบ่นพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ มันร้องตอบเบาๆ พลางเอาหัวมาถูไถกับคางของเธอ "หิวหรือไง ฉันไม่มีอาหารแมวหรอกนะ"
เธอเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเย็นจัดมาดื่มรวดเดียวจนหมดขวดเพื่อเรียกสติ เมื่อมองนาฬิกาบนผนังก็ต้องใยิ่งกว่า "ห๊ะ! นี่เราหลับไปเกือบห้าชั่วโมงเลยเหรอ... ทำไมฝันมันถึงได้ชัดเจนขนาดนี้"
ความทรงจำในฝันยังคงแจ่มชัดราวกับเป็ภาพยนตร์ความละเอียดสูงที่ฉายในหัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มันคือฝันเดิมๆ ที่วนกลับมาหลอกหลอนเธอเป็ครั้งที่สาม! และกระจกบานนั้นก็คือตัวจุดชนวนมันขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาพของครอบครัว ‘ตระกูลเหว่ย’ แห่งหมู่บ้านหลี่เหอผุดขึ้นมาในหัว เหว่ยหลง ชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นแต่แววตาแฝงความเด็ดเดี่ยว ลูกชายคนรองของครอบครัวชาวนาที่ยากจน เขาต้องสมัครเป็ทหารเพื่อส่งเงินมาจุนเจือครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบ ส่วนตัวเธอในฝันคือนักเรียนจากเซี่ยงไฮ้ที่ถูกส่งมาใช้แรงงานในชนบท จนร่างกายทรุดโทรมจากการทำงานหนักและอดมื้อกินมื้อ
เธอจำได้... วันที่ถูกนักเลงในหมู่บ้านรุมทำร้าย และ เหว่ยหลง ที่กลับมาเยี่ยมบ้านในชุดทหารพอดีก็เข้ามาช่วยไว้ราวกับอัศวินม้าขาว นั่นคือจุดเริ่มต้นความรักที่บริสุทธิ์ของพวกเขา ทั้งสองแต่งงานกันในอีกหนึ่งปีต่อมาและแยกมาสร้างครอบครัวในบ้านดินหลังเล็กๆ ท้ายหมู่บ้าน แต่ความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เขาก็ต้องกลับไปประจำการ ทิ้งให้เธอที่เพิ่งรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ต้องเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง
"นี่มันเหมือนฉากในซีรีส์ไม่มีผิด..." เธอพึมพำพลางมองแหวนในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อ มันไม่ใช่แค่ฝัน แต่มันคือความทรงจำ... ความทรงจำของใครอีกคน
ครืด... ครืด...
เสียงโทรศัพท์สั่นบนโต๊ะทำให้เธอสะดุ้งเฮือก ความเงียบถูกทำลายลงอย่างกะทันหัน
"ฮัลโหลคะ..." เธอพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น "อ้าว หมอหวัง มีอะไรรึเปล่าคะ นี่มันจะห้าทุ่มแล้ว"
"หมอหลิน! แค่โทรมาเตือน พรุ่งนี้เรามีนัดกินข้าวกันนะ จำได้ไหม?" เสียงของเพื่อนร่วมงานที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาดังมาจากปลายสาย มันช่างตัดกับบรรยากาศในห้องของเธอเหลือเกิน
หลินเย่วชิง พยายามหัวเราะออกมาเบาๆ เพื่อกลบเกลื่อนความเครียด "จำได้สิคะ ขอบคุณที่เตือนนะ... พอดีกำลังมึนๆ กับอะไรบางอย่างอยู่น่ะค่ะ"
หลังจากวางสาย ความเงียบก็กลับเข้าปกคลุมอีกครั้ง หลินเย่วชิง ตัดสินใจแน่วแน่ แววตาที่เคยสับสนแปรเปลี่ยนเป็ความมุ่งมั่น "เอาล่ะ หลินเย่วชิง ถ้ามัวแต่กลัวอยู่แบบนี้ ก็ไม่มีทางรู้ความจริง!"
เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า คว้ากระเป๋าเงินแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อใต้คอนโดที่ยังเปิดอยู่ นอกจากอาหารแมวแบบเปียกอย่างดีหลายกระป๋องแล้ว เธอยังคว้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเบียร์มาสองกระป๋องเพื่อเรียกความกล้า
เสียงน้ำร้อนที่เทลงในถ้วยบะหมี่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้อง เ้าเหมียวสีดำกำลังกินอาหารของมันอย่างเอร็ดอร่อย หลินเย่วชิง เปิดเบียร์กระป๋องแรกแล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวเกือบครึ่ง ความขมของเบียร์ช่วยทำให้สมองที่ตึงเครียดของเธอผ่อนคลายลง
เธอนั่งลงบนพื้นพรมตรงหน้ากระจกบานนั้น สายตาจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเอง... แพทย์หญิง หลินเย่วชิง ผู้ประสบความสำเร็จในยุค 2025 สลับกับภาพของหญิงสาวผู้สิ้นหวังในกระท่อมดินยุคเก่า ที่ยังติดตาตรึงใจ
ความฝันที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า... กระจกโบราณ... และแหวนปริศนา... มันต้องเป็คำตอบของทุกอย่างแน่!
ครั้งนี้เธอจะไม่หนีอีกแล้ว ไม่ว่าปลายทางของประตูมิติในกระจกบานนี้จะพาเธอไปเจอกับอะไร... เธอก็พร้อมที่จะพิสูจน์มันด้วยตัวเอง!
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หยิบแหวนขึ้นมาสวมที่นิ้วชี้ข้างซ้าย แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปข้างหน้า... สู่พื้นผิวกระจกที่เย็นเยียบและลึกลับบานนั้น.!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้