จางกู่ซงกับเฉิงหยวนกงกลับมายังอำเภอเป่ยโม่คนอื่นที่เหลือตายทั้งหมด หนิวเจิ้นเยว่ก็หายตัวไป
แม้ว่าระดับสัตว์อสูรชั้นนอกของเทือกเขาดงอสูรจะไม่นับว่าสูงแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์สัตว์อสูรแตกตื่น ต่อให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสี่ขั้นห้าหากตกอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร เก้าคนคงรอดสักหนึ่งคน หนิวเจิ้นเยว่ไม่ได้กลับมาตระกูลหนิว เฉิง จางทั้งสามตระกูลคาดว่า เขาคงตายในเหตุสัตว์อสูรตื่นไปแล้วแปดถึงเก้าในสิบส่วน
ด้วยเหตุนี้ หนิวเจิ้นซานจึงโมโหเดือดดาลไล่ตามเด็กตระกูลหวงคนเดียว ทั้งยังมีพลังวัตรแค่ชั้นวิถียุทธ์ผลปรากฏว่าทั้งสามตระกูลเสียคนไปไม่น้อย ขนาดรองผู้นำตระกูลหนิวก็โดนเข้าไปด้วย
หนิวเจิ้นเยว่เป็น้องชายแท้ๆ ของหนิวเจิ้นซานทั้งสองคนผูกพันกันมาก หนิวเจิ้นเยว่หายตัวไปในฝูงสัตว์อสูรแตกตื่นในสิบส่วนมีโอกาสถึงแปดหรือเก้าส่วนที่จะตายไปแล้วจะไม่ให้หนิวเจิ้นซานเดือดดาลได้อย่างไร!
แต่ฝ่ายหนิวเจิ้นเยว่ยังมีโชคอยู่บ้างเมื่อร่วงลงมาในเหวลึก ล้มกลิ้งจนทั่วร่างมีแต่าแ แต่ระหว่างที่ร่วงหล่นลงมามีกิ่งไม้มีเถาวัลย์กั้นไว้รอดพ้นความตายมาได้
นอกจากจะไม่ตายแล้วยังพบกับสมุนไพรทิพย์หายากกลายพันธุ์สองต้นในถ้ำแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ๆ...บุปผาหยกโลหิต
บุปผาหยกโลหิตเป็สมุนไพรจำพวกกลายพันธุ์ธรรมดาควรเรียกว่าบุปผาหยกขาว สีขาวพิสุทธิ์ราวกับหยก แต่บุปผาหยกโลหิตกลับมีสีแดงสดราวกับเื
แค่บุปผาหยกขาวก็มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภามหาศาลแล้วฤทธิ์ของบุปผาหยกโลหิตยิ่งแรงกว่าอยู่มาก ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นต่ำกว่าชั้นเบิกนภาขั้นสี่เลื่อนขั้นได้หนึ่งขั้น
บุปผาหยกโลหิตสองต้นนี้แต่เดิมมีสัตว์อสูรขั้นสามระดับาาที่ร้ายกาจอย่างยิ่งพิทักษ์อยู่แต่เพราะใกลัวสัตว์อสูรไม่ทราบระดับตัวนั้นาาสัตว์อสูรขั้นสามที่เฝ้ารักษาบุปผาหยกโลหิตวิ่งกระเจิงไปกับฝูงสัตว์อสูรหนีไปไกลจากที่แห่งนี้แล้ว ปล่อยให้หนิวเจิ้นซานฉกฉวยไปง่ายๆ
ผ่านไปสองวันอาการาเ็ของหนิวเจิ้นเยว่ก็หายดีเขานำบุปผาหยกโลหิตทั้งสองกลับมาที่ตระกูลหนิวในอำเภอเมืองแห่งเป่ยโม่
หนิวเจิ้นเยว่ไม่ตายมีชีวิตรอดจากฝูงสัตว์อสูรกลับมาได้ หนิวเจิ้นซานดีใจมากแทบจะเรียกให้ตระกูลจางกับตระกูลเฉิงสองตระกูลมาฉลองใหญ่เสียรอบหนึ่ง
แต่หนิวเจิ้นเยว่ห้ามหนิวเจิ้นซานไว้ทำตัวลึกลับพาหนิวเจิ้นซานเข้าไปในห้องลับของตระกูลหนิว “พี่ใหญ่ครั้งนี้ฟ้าเข้าข้างตระกูลหนิวของเราแล้ว ข้าพบโชคในเทือกเขาดงอสูรได้สมุนไพรทิพย์กลายพันธุ์บุปผาหยกโลหิตมาสองต้น”
พอเข้ามาในห้องลับ หนิวเจิ้นเยว่ก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“สมุนไพรทิพย์กลายพันธุ์...บุปผาหยกโลหิต?”หลังหนิวเจิ้นซานได้ยิน สีหน้าพลันตื่นตะลึง จากนั้นก็ดีอกดีใจถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “เจิ้นเยว่ เ้าพูดจริงหรือ?บุปผาหยกโลหิตทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าชั้นเบิกนภาขั้นสี่เลื่อนชั้นพลังได้หนึ่งขั้นทำให้พลังวัตรของข้าทะลุชั้นเบิกนภาขั้นสี่ได้ ถ้าหากมีสองต้นเ้าก็เลื่อนขั้นชั้นเบิกนภาขั้นสามได้”
หนิวเจิ้นเยว่พยักหน้ารับอย่างตื่นเต้นนำบุปผาหยกโลหิตทั้งสองต้นออกมา บอกว่า “พี่ใหญ่ ท่านดู มีบุปผาหยกโลหิตสองต้นนี้รอให้พลังวัตรของพวกเราเลื่อนชั้นขึ้นหนึ่งระดับจะกำจัดตระกูลหวงก็ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ถึงตอนนั้นตระกูลจางกับตระกูลเฉิงก็เทียบไม่ติดตระกูลหนิวของพวกเราก็จะกลายเป็เ้าครองอำเภอเป่ยโม่แต่ผู้เดียว”
“ฮ่าๆๆๆ...ดี! ดี!”
หนิวเจิ้นซานหัวเราะร่า ตื่นเต้นยินดี เอ่ยว่า “พวกเราพี่น้อง ตอนนี้เก็บตัวฝึกฝนอย่างมากครึ่งเดือนก็คงหลอมแปรบุปผาหยกโลหิตสำเร็จ พลังวัตรเลื่อนชั้นทั้งคู่ถึงตอนนั้นไปหาตระกูลจางกับตระกูลเฉิงแล้วร่วมมือกัน กำจัดตระกูลหวงในคราเดียวหลังจากนั้น ฮึๆ...ให้ตระกูลจางกับตระกูลเฉิงมาเป็ลูกน้องของพวกเราขึ้นกับตระกูลหนิวของข้า ยึดทรัพย์สินกับที่ดินเก้าส่วนของตระกูลพวกเขามาวันที่ตระกูลหนิวของข้าจะได้ชื่อว่าเ้าแห่งอำเภอเป่ยโม่ ไม่ไกลเกินรอแล้ว”
......
ในตอนที่หนิวเจิ้นซานกับหนิวเจิ้นเยว่กำลังยิ้มยินดีอยู่ในห้องลับเวลาเดียวกันที่เทือกเขาดงอสูร เสวียนเทียนผู้หลอมแปรเมล็ดพันธุ์เบิกนภาอยู่ในห้องศิลาก็มาถึงจุดสำคัญ
หลังผ่านการหลอมแปรซึมซับพลังมาสองวันปราณแท้ชั้นเบิกนภาในร่างของเสวียนเทียนก็เพิ่มทะลักขึ้นมามาก
อีกทั้งกระบวนการเปลี่ยนลมปราณในร่างไปเป็ปราณแท้ก็ดำเนินมาจนถึง่สุดท้ายแล้ว
หากเป็ผู้อื่น ต่อให้มีเมล็ดพันธุ์เบิกนภาจากพลังวัตรชั้นวิถียุทธ์ขั้นสิบเลื่อนขึ้นสู่ชั้นเบิกนภาก็ไม่อาจรวดเร็วเพียงนี้ได้แต่เสวียนเทียนดื่มเืพญาอสรพิษลายดำเข้าไป ยกระดับความแข็งแกร่งร่างกายเพิ่มความแข็งแกร่งให้ปราณในร่างมาแล้วความทนทานของร่างกายเกินกว่าผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาจะเทียบได้
ร่างกายของเสวียนเทียนบรรลุถึงระดับชั้นเบิกนภาแล้วจะขึ้นชั้นเบิกนภาไม่จำเป็ต้องฝึกฝนร่างกายอีก เพียงเปลี่ยนปราณเป็ปราณแท้ก็พอ
ด้วยเหตุนี้เสวียนเทียนจึงสามารถดูดกลืนปราณแท้ชั้นเบิกนภาเข้ามาในร่างให้ปราณในร่างเปลี่ยนเป็ปราณแท้ชั้นเบิกนภาเร็วขึ้น
‘ปราณเบิกนภา’ ที่เสวียนเทียนฝึกฝนจนถึงขั้นสำเร็จวิชา ตัวมันเองก็เป็วิถีปราณที่สามารถทำให้ปราณภายในร่างแปรเปลี่ยนเป็ปราณแท้ชั้นเบิกนภาได้เร็วขึ้นอยู่แล้วดังนั้นเมื่อดูดซับเมล็ดพันธุ์เบิกนภาเข้าไปความเร็วในการเลื่อนขึ้นชั้นเบิกนภาของเสวียนเทียนจึงเร็วกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปอยู่หลายเท่าหรืออาจถึงสิบเท่า
พร้อมกับที่ปราณแท้ชั้นเบิกนภาในร่างเพิ่มทะลักมากขึ้นทุกทีเสวียนเทียนััได้ชัดเจนว่าพละกำลังของร่างกายเพิ่มขึ้นไม่หยุดการยกระดับคุณสมบัติปราณ แปรเปลี่ยนปราณภายในร่างเป็ปราณแท้ชั้นเบิกนภาใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว
ในที่สุด ปราณในร่างสายสุดท้ายก็กลายเป็ปราณแท้ชั้นเบิกนภาพลังวัตรของเสวียนเทียนในเวลานี้พริบตาก็เพิ่มสูงจนคุณสมบัติผันแปรจากชั้นวิถียุทธ์ก้าวขึ้นสู่ชั้นเบิกนภา
พละกำลังโถมซัดไหลไปยังร้อยเส้นเืทั่วร่างของเสวียนเทียนร่างกายของเสวียนเทียนราวกับปราการอันแข็งแกร่ง ปราณแท้ชั้นเบิกนภาจะเคลื่อนซัดสาดเพียงไรก็ทนรับได้ร่างกายที่วิวัฒน์จนแข็งแกร่งเป็เวทีให้ปราณแท้ชั้นเบิกนภาอวดพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
ข้อดีที่การเลื่อนขึ้นชั้นเบิกนภานำมาให้เสวียนเทียนไม่เพียงพลังที่เพิ่มทะยานขึ้นเท่านั้น ปัญญาของเขาก็สูงขึ้นราวกับเรือลอยตามน้ำไปด้วย
ตอนชั้นวิถียุทธ์ในการฝึกวิทยายุทธ์ยังมีบางส่วนที่ไม่เข้าใจ รู้สึกสับสนแต่พริบตาที่ก้าวขึ้นชั้นเบิกนภาฉับพลันก็กระจ่าง
โดยเฉพาะความเข้าใจกระบี่ยิ่งน่าตกตะลึง
วิ้ง...
วิ้ง...
เมื่อเสวียนเทียนก้าวขึ้นชั้นเบิกนภากระบี่หิมะเหมันต์กับกระบี่ขุนเขาหนักก็ราวกับจะตอบรับ สั่นสะท้านพร้อมกันส่งเสียงร้อง ‘วิ้ง’ ออกมา
เสวียนเทียนจับกระบี่หิมะเหมันต์ความรู้สึกสบายอย่างที่สุดไหลวนอยู่ที่มือของเสวียนเทียนกระบี่หิมะเหมันต์ราวกับกลายเป็ส่วนหนึ่งของร่างกายกระบี่ในมือทำให้ในใจของเสวียนเทียนรู้สึก ‘สมบูรณ์’
ถึงแม้จะไม่มีกระบี่ เสวียนเทียนก็รู้สึกสบายหาใดเปรียบแต่อย่างไรก็รู้สึกขาดบางอย่างไป เมื่อมีกระบี่ก็ไม่มีความรู้สึกขาดหายอีกรู้สึกสมบูรณ์ขึ้นมา
เมื่อถือกระบี่อยู่ในมือเสวียนเทียนรู้สึกถึงพลังไร้ที่มาสายหนึ่งขยายออกมาจากหว่างคิ้วไปทั่วร่างของเขาทำให้รูขุมขนทั่วร่างเขาสบายจนสั่นขึ้นมา
ยังไม่ได้ใช้ปราณแท้ชั้นเบิกนภาเสวียนเทียนก็ยกกระบี่หิมะเหมันต์ขึ้น ตวัดฟันไปทางกำแพงด้านขวาที่สลักถ้อยคำไว้
ยังไม่ทันได้ใช้พลังภายในย่อมไม่มีปราณกระบี่และไม่มีรัศมีกระบี่ เสวียนเทียนเพียงแค่กวัดไกวกระบี่ตามมือไปเบาๆ เท่านั้น
แต่เสียงเสียดหูกลับดังขึ้นบนกำแพงด้านขวาที่สลักอักษรไว้ พริบตาก็ปรากฏรอยกรีดยาวราวหนึ่งเมตรลึกราวครึ่งนิ้วเส้นหนึ่ง เป็รอยกระบี่!
เสวียนเทียนยืนอยู่กลางห้องศิลาห่างจากกำแพงด้านขวาเป็ระยะถึงสองสามเมตร ต่อให้ในมือถือกระบี่หิมะเหมันต์ ปลายกระบี่ก็ยังห่างอย่างน้อยหนึ่งหรือสองเมตรไม่ได้ใช้กำลังภายในย่อมไม่มีปราณกระบี่และรัศมีกระบี่ปลายกระบี่ก็กั้นกลางด้วยอากาศเมตรสองเมตร แต่กำแพงแกร่งกลับมีรอยกระบี่เส้นหนึ่ง!
“จิตกระบี่! จิตกระบี่ของจริง!” ใจเสวียนเทียนลิงโลด
จิตกระบี่เป็ความฝันที่ในใจมือกระบี่ทุกคนปรารถนา
จิตกระบี่ก็คือรูปลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อมือกระบี่บรรลุเจตคติแห่งกระบี่จนถึงระดับหนึ่งแล้ว
เจตคติแห่งกระบี่ของมือกระบี่เป็เพียงเจตคติแบบหนึ่งเป็สิ่งนามธรรม แต่เมื่อเจตคติแห่งกระบี่ของมือกระบี่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจนถึงขั้นกลั่นสิ่งนามธรรมให้กลายเป็รูปธรรมเจตคติก็จะสามารถกลายเป็พลังโจมตีอันน่ากลัว นั่นคือ ‘จิตกระบี่’ ที่แท้จริง
การบรรลุเจตคติแห่งกระบี่กับร่างกายของมือกระบี่และธาตุทองมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก เสวียนเทียนมีพลังธาตุทองถึงระดับยอดเยี่ยมอีกทั้งกลางหว่างคิ้วยังมีกระบี่หยกขาวเล่มน้อยไม่รู้ที่มาเล่มนั้นด้วย ความเข้าใจกระบี่ของเขาล้ำหน้าเกินกว่ามือกระบี่ทั่วไปการบรรลุเจตคติแห่งกระบี่ก็เป็ดุจเรือลอยตามน้ำ
มือกระบี่ทั่วไปต้องถึง่ปลายของชั้นเบิกนภาหลังขั้นเจ็ดถึงจะบรรลุจิตกระบี่ได้ง่ายๆคนที่บรรลุจิตกระบี่ก่อนชั้นเบิกนภาขั้นเจ็ดล้วนแต่เป็อัจฉริยะแห่งวิถีกระบี่
ฉู่เฟิงบรรลุจิตกระบี่ตอนที่อยู่ชั้นเบิกนภาขั้นสามนั่นก็นับเป็อัจฉริยะที่สุดยอดแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับเสวียนเทียน ระดับอย่างฉู่เฟิงนั้นแค่เด็กถือรองเท้าก็ยังไม่คู่ควร
ยิ่งพลังวัตรต่ำความยากของการบรรลุจิตกระบี่ก็ยิ่งยากลำบากก่อนชั้นเบิกนภาขั้นสามยิ่งยากเป็พิเศษมือกระบี่ที่บรรลุจิตกระบี่ก่อนชั้นเบิกนภาขั้นสามไม่มีคนไหนไม่ใช่มือกระบี่ลือชื่อแห่งแผ่นดินเสินโจว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเช่นเสวียนเทียนเพิ่งก้าวขึ้นชั้นเบิกนภาก็บรรลุจิตกระบี่แล้วทั่วทั้งแผ่นดินเสินโจวมีจนนับนิ้วได้ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีมือกระบี่คนใดบรรลุจิตกระบี่ได้ตอนพลังวัตรชั้นวิถียุทธ์
ก้าวขึ้นชั้นเบิกนภาก็บรรลุจิตกระบี่ เป็มือกระบี่ที่บรรลุจิตกระบี่ที่เร็วที่สุดนับั้แ่าคนหนึ่งแล้ว
เมื่อครั้งพลังวัตรชั้นวิถียุทธ์ขั้นสิบเสวียนเทียนสังหารอู๋เหวินเสียงชั้นเบิกนภาขั้นสองมาแล้ว
ต่อมาเสวียนเทียนวิวัฒน์ร่างจนแข็งแกร่งขึ้นความสามารถเพิ่มขึ้นมาก ต่อให้เป็ขั้นปลายชั้นเบิกนภาขั้นสองอย่างหนิวเจิ้วเยว่จางกู่ซง และเฉิงหยวนกงเป็ต้นเมื่อพบเสวียนเทียนก็คงต้องมีจุดจบเดียวกับกับอู๋เหวินเสียง
ตอนนี้พลังวัตรของเสวียนเทียนทะลุสู่ชั้นเบิกนภาพลังเปลี่ยนไปจนถึงระดับคุณสมบัติ ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสาม เสวียนเทียนก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
อีกทั้งเสวียนเทียนยังบรรลุจิตกระบี่ความเข้าใจกระบี่ก็พัฒนาขึ้นไปมาก จากลวงกลายเป็จริงความสามารถเพิ่มพูนไม่ใช่แค่นิดๆ หน่อยๆ ความสามารถของเสวียนเทียนตอนนี้ในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสามนับว่าเป็คนระดับสุดยอด จะสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามธรรมดาไม่ใช่จะเป็ไปไม่ได้
มุมปากของเสวียนเทียนกระตุกยิ้ม เขายังต้องฝึกฝน ‘ปราณเก้าหลอม’ ร่างกายยังแข็งแกร่งขึ้นได้อีกตอนนี้แขนข้างหนึ่งของเสวียนเทียนมีแรงมากกว่าสองพันชั่ง หากพละกำลังยังแข็งแกร่งขึ้นไปอีกจะไปได้ถึงระดับไหนกันนะ?
เมื่อฝึก ‘ปราณเก้าหลอม’ ถึงขั้นสี่พลังย่อมเพิ่มพูนขั้นอย่างแน่นอน รอดูว่าจะเพิ่มมากน้อยเพียงไรตอนนี้เสวียนเทียนมีพลังต่อกรกับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสามระดับสูงสุดแล้วหากพลังยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกจะก้าวเกินผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสามย่อมเป็เื่แน่นอน
เมล็ดพันธุ์เบิกนภาที่ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาผนึกสร้างขึ้นทำได้เพียงให้ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นวิถียุทธ์ขั้นสิบก้าวขึ้นชั้นเบิกนภาในการฝึกฝนหลังจากนั้นมีประโยชน์น้อยเพียงเล็กน้อย
แต่เมล็ดพันธุ์เบิกนภาของจอมยุทธ์ชั้นปฐีย่อมไม่ใช่สิ่งที่เมล็ดพันธุ์เบิกนภาที่ผนึกสร้างโดยผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาจะเทียบได้
เสวียนเทียนก้าวสู่ชั้นนภาโดยเพิ่งดูดซับพลังของเมล็ดพันธุ์เบิกนภาไปได้เพียงหนึ่งส่วนสามเท่านั้นดูแล้วพลังไม่ลดน้อยลงไปสักเท่าใด
เสวียนเทียนเก็บเมล็ดพันธุ์เบิกนภาเข้าไปในกล่องไม้วางกลับไปในแหวนมิติ หยิบคัมภีร์ ‘ปราณเก้าหลอม’ ออกมา
เมล็ดพันธุ์เบิกนภาวันหลังค่อยดูดซับพลังได้ตอนนี้สิ่งที่สำคัญก็คือการฝึก ‘ปราณเก้าหลอม’ รีบออกจากที่นี่ในเร็ววัน แล้วกลับไปยังอำเภอเป่ยโม่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้