ชุ่ยฮัวตกตะลึงเพียงครู่เดียวและรีบะโ “พาลูกมาให้ข้าดูที!”
หมอตำแยอุ้มลูกมาให้นาง ชุ่ยฮัวใช้มืออันสั่นเทาอังใต้จมูกของทารก ผ่านไปชั่วครู่ก็ร้องไห้ออกมา
“ลูก... ลูกข้า!” ไม่หายใจ?
เสิ่นม่านรับรู้ได้ทันที นี่เป็เพราะถูกตาเฒ่าคังถีบแน่
นางโยนกะละมังในมือทิ้งโดยไม่สนใจน้ำร้อนที่หกราดตัว จากนั้นแย่งตัวเด็กไปจากมือของชุ่ยฮัว เด็กไม่หายใจและอ้าปากค้างไว้เล็กน้อย ใบหน้าย่นเริ่มเป็สีม่วง
หมอตำแยถูมืออยู่ข้างๆ อย่างหวั่นวิตก
“ข้าช่วยทำคลอดให้สตรีในหมู่บ้านมามากมาย ไม่เคยเจอทารกเช่นนี้มาก่อน เกิดมาก็ไม่ร้องไห้และไม่มีลมหายใจ เดาว่าคงเพราะถูกตาเฒ่าคังถีบเมื่อครู่ จนทำให้เด็กมีอันเป็ไป...”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ชุ่ยฮัวก็ร้องไห้หนักขึ้น
เสิ่นม่านเริ่มปวดศีรษะ สภาพแวดล้อมที่วุ่นวายทำให้นางเริ่มหวั่นวิตกเช่นกัน นางเรียกระบบออกมาอีกครั้ง เพื่อตรวจร่างกายเด็กทารก
ระบบแสดงให้เห็นว่าเด็กสูดน้ำคร่ำเข้าไปจนทำให้ขาดอากาศหายใจ แต่โอกาสช่วยให้รอดชีวิตก็ยังสูงมาก
ตราบใดที่มีโอกาสรอด เสิ่นม่านยินดีที่จะลองทุกทาง นางทำตามวิธีของระบบโดยวางทารกไว้บนเตียง เนื่องจากไม่มีอุปกรณ์เครื่องมือ นางจึงได้แต่ช่วยเด็กดูดน้ำคร่ำออกมาด้วยตนเอง
การกระทำของนางทำให้สตรีอีกสองคนในห้องถึงกับสงสัย หมอตำแยเอ่ยเตือน
“ม่านเหนียง เ้ากำลังทำอะไร? เด็กไม่มีลมหายใจแล้ว เ้าทำเช่นนี้จะมีประโยชน์หรือ?”
เสิ่นม่านไม่สนใจคำพูดหมอตำแย นางดูดน้ำคร่ำออกมาแล้วคายทิ้ง ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากดูดไปราวยี่สิบกว่าครั้ง จู่ๆ หน้าอกของเด็กก็กระเพื่อมอย่างรุนแรงหนึ่งครั้ง ไม่นานนักก็มีเสียงร้องดังขึ้นมาเบาๆ
ชุ่ยฮัวน้ำตาไหลพราก เสียงร้องไห้นี้นำพามาซึ่งความปีติอีกนับครั้งไม่ถ้วน
“รอดแล้ว! ลูกแม่รอดแล้ว!”
ประจวบเหมาะกับคังต้าลี่เดินเข้าบ้านมาพอดี เมื่อได้ยินเสียงปลื้มปริ่มดีใจของภรรยาเขาก็พุ่งเข้าห้องของเสิ่นม่านโดยไม่สนใจสิ่งใด
ชายผู้น่าสงสารคนนี้ทำงานหนักอยู่ข้างนอก ระหว่างทางกลับมาได้ยินเื่ชุ่ยฮัวถูกบิดาทำร้ายจนต้องคลอดก่อนกำหนด เขาแทบอยากจะโผบินกลับหมู่บ้านให้ได้ พอตอนนี้เห็นสองแม่ลูกปลอดภัยไม่มีอันตราย เขาถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น
เสิ่นม่านดึงเขาขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและตบไหล่เขา “ตื่นเต้นอะไรกัน? ลูกเมียเ้าปลอดภัยหายห่วง รีบไปดูพวกนางเร็วเข้า”
หลังจากนั้นนางกับหมอตำแยก็ไล่คนอื่นออกไปหมด และให้เวลากับสองสามีภรรยา
ทั้งสองอยู่ในห้องนานพักใหญ่ จนคังต้าลี่ออกมาและเรียกเสิ่นม่านเข้าห้อง เขามีบางอย่าง้าคุยกับนาง
เสิ่นม่านไม่รู้ว่าสองคนนี้จะมาไม้ไหน หลังจากตามเขาเข้าห้องไป ก็พบว่าชุ่ยฮัวลุกขึ้นจากเตียงแล้ว สองสามีภรรยาคุกเข่าต่อหน้านาง
ภาพนี้ ใครเล่าจะรับไหว?
นางรีบห้ามชุ่ยฮัว “พวกเ้าสองคนทำอะไร? ก็แค่คลอดลูก ถึงกับต้องคุกเข่าให้ข้าเลยหรือ? ใต้เข่ามีค่าดั่งทองคำ พวกเ้าไม่รู้หรือ?”
คังต้าลี่ยืนกรานจะคุกเข่าและบอกนางอย่างจริงใจ
“น้องม่านเหนียง เ้าช่วยลูกของข้ากับชุ่ยฮัว เราไม่มีสิ่งใดตอบแทน จึงได้แต่คุกเข่าขอบคุณ!”
ชายร่างใหญ่ที่เกือบต้องเผชิญกับการสูญเสียภรรยาและลูก ตอนนี้กำลังขอบตาแดงก่ำ
“ในอดีตตระกูลคังทำผิดต่อเ้า ข้าขอโทษด้วย แต่พ่อข้ากับพี่ชายมีการตกลงกับเฉียนซานเจียงที่อยู่ในตำบล บอกว่าจะให้ครอบครัวเราขโมยสูตรลับของโรงทำเต้าหู้… ส่วนจะใช้วิธีใดนั้นข้าไม่ทราบ เราสองผัวเมียไม่มีสิทธิ์เสียงและอำนาจการตัดสินใจอะไรในครอบครัว สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงมาเตือนเ้า ต้องระวังพวกเขาให้มาก”
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา เสิ่นม่านนิ่งเงียบไปนาน นางรู้สึกมาตลอดว่าครอบครัวคังผิดปกติ ที่แท้ก็ถูกเฉียนซานเจียงซื้อด้วยเงินนี่เอง
เมื่อทราบเช่นนี้ การกระทำที่ผิดแปลกต่างๆ ก่อนหน้าก็ได้รับการเชื่อมโยงแล้ว ดูเหมือนว่าโรงทำเต้าหู้ของนางจะนำพามาซึ่งความอิจฉาริษยาของคนไม่น้อย
แม้ว่าเสิ่นม่านจะไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน แต่นางก็มาจากอนาคตและเข้าใจสัจธรรมที่ว่า ‘ของหายากมักมีราคาแพง’
ยิ่งไปกว่านั้น เต้าหู้ต้นทุนต่ำแต่กำไรสูงมาก การคิดค้นเช่นนี้ในยุคสมัยนี้ จึงตกเป็เป้าของคนมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย
โชคดีที่ในตอนนี้นางมีที่พึ่งอันแข็งแกร่ง ดังนั้นคนบางกลุ่มจึงไม่กล้าทำอะไรเปิดเผย ได้แต่ทำเื่สกปรกลับหลัง
“น้องเสิ่น เราสองผัวเมียไม่มีอะไรตอบแทนให้เ้า แต่ต่อไปหากเ้ามีอะไรที่พวกข้าสองคนสามารถช่วยได้ เราจะทุ่มเทช่วยเ้าเต็มที่แน่!”
ผู้ที่พูดคือชุ่ยฮัว
พูดตามตรง เสิ่นม่านมีภาพจำที่ไม่เลวเกี่ยวกับสองสามีภรรยาคังต้าลี่ อย่างน้อยตอนที่ครอบครัวคังมาก่อเื่ พวกเขาสองคนก็ไม่ได้เข้าร่วม
คนเรานั้น หากเ้าดีต่อข้า ข้าย่อมต้องทำดีต่อเ้า
นางไตร่ตรองและเอ่ยถามอีกเื่หนึ่ง “ชีวิตในภายภาคหน้าพวกเ้าสองคนคิดจะทำอย่างไรต่อไป? กลับไปอยู่กับครอบครัวคังหรือ? ข้าได้ยินมาว่าเงินที่พวกเ้าสองผัวเมียหามาได้ ต้องเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่ นับจากวันนี้ พวกเ้ามีลูกสาว จะสามารถเลี้ยงดูคนมากมายได้หรือ?”
“เื่นี้...”
คังต้าลี่เผยสีหน้าลำบากใจ ผ่านไปเนิ่นนาน เขาได้แต่ถอนหายใจอย่างหนัก
“ข้าเองก็จนปัญญา อันที่จริงข้ามีความคิดอยากแยกบ้านนานแล้ว เพียงแต่ทะเบียนราษฎร์ของเราสองคนอยู่ในมือท่านพ่อ หากพวกข้าไม่เชื่อฟัง เขาสามารถขายพวกข้าได้ตลอดเวลา สองปีมานี้หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าข้ากับชุ่ยฮัวทำงานได้ พวกเขาคงขายเราไปนานแล้ว”
ชั่วช้าเหลือเกิน ทำกับลูกชายแท้ๆ เช่นนี้ได้
เสิ่นม่านไม่คุ้นเคยกับวิถีเช่นนี้ จึงตัดสินใจเด็ดขาด
“ข้ามีวิธีพาพวกเ้าสามคนหลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์นั้น แต่ก่อนอื่นพวกเ้าต้องขายตัวมาทำงานบ้านข้า เงินเดือนข้าจะให้ทุกเดือน แต่ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ ซึ่งก็คือไม่ว่าพวกเ้าจะใช้วิธีใด แต่ต้องร่างหนังสือพิสูจน์ว่าพวกเ้าตัดขาดกับสกุลคังอย่างสิ้นเชิง มิเช่นนั้น…”
นางเหลือบมองคังต้าลี่อย่างแฝงความนัย “ข้าเองก็ไม่สบายใจ”
“เื่นี้…” คังต้าลี่กับชุ่ยฮัวมองหน้ากัน
เสิ่นม่านเสริมอีก “ไม่ยินยอมก็เป็เื่ปกติ ข้าจะให้เวลาพวกเ้ากลับไปไตร่ตรองหนึ่งวันว่า อยากหาเงินไปพร้อมกับข้า หรือกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวคังต่อ พวกเ้าตัดสินใจกันเอง”
คราวนี้ชุ่ยฮัวชิงตอบก่อน “เรายินยอม! แม้จะขายตัวให้แก่ครอบครัวเ้า เราก็ยินดี! ขอเพียงไม่ต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวคังเป็พอ! แต่หากพวกข้ากลับไปบอกกับพวกเขาเอง พวกเขาคงต้องไม่ยินยอมแน่ ดังนั้นเื่นี้คงต้องรบกวนเ้าให้เวลาพวกข้าหนึ่งวัน เราจะคิดหาทาง!”
เสิ่นม่านพยักหน้า “ตกลง พวกเ้าลองหาวิธีมา เ้าเพิ่งคลอดลูก ร่างกายอ่อนแอ ข้าจะไปต้มน้ำตาลแดงกับไข่ต้มที่ด้านหลังมาให้เ้ากินก่อน”
ทันทีที่ชุ่ยฮัวได้ยินว่านางกำลังจะทำอาหารให้ตัวเองกิน ชุ่ยฮัวกับคังต้าลี่ก็ตกตะลึง ฉับพลันนั้นน้ำตาก็ซึมออกมา
จวบจนใกล้พลบค่ำ หนิงโม่กับเยี่ยนชีเพิ่งกลับมา ทั้งสองดูสภาพร่อแร่ โดยเฉพาะหนิงโม่ เสิ่นม่านที่สายตาแหลมคม มองปราดเดียวก็เห็นรอยแป้งชาดสีแดงที่ประทับตรงลำคอของเขา
นางเลิกคิ้วขึ้นและกระชากคอเสื้อของหนิงโม่ จากนั้นเอ่ยถามอย่างเยาะเย้ย
“เกิดอะไรขึ้น? เ้าสองคนไม่ตั้งใจทำงานเวลาข้าไม่อยู่ แต่กลับวิ่งโร่ไปหาความอบอุ่นจากคุณหนูบ้านใดมา?”
-----
