ตอนนี้ในห้องตำราที่ปิดสนิท
จั๋วฟู่ไห่เดินไปเดินมาหน้าโต๊ะเหมือนกำลังลังเลใจ
ส่วนจั๋วอวิ๋นเซียนยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง เขาให้เวลาบิดาทำความเข้าใจความลับที่เขาเพิ่งเล่าออกไป
ข้อมูลมหาศาลเช่นนี้ จั๋วฟู่ไห่ยากจะรับไหวจริงๆ ...เขาเข้าใจดีว่าบุตรชายของตนได้รับโชคครั้งใหญ่ อีกทั้งการตื่นของมิติมายาสุญญตาล้วนเกี่ยวข้องกับบุตรชายของเขา แต่ยิ่งเป็เช่นนี้จั๋วฟู่ไห่ยิ่งใ เพราะหากข่าวนี้หลุดออกไป ไม่เพียงจั๋วอวิ๋นเซียนจะตกอยู่ในอันตราย แต่ทั้งตระกูลจั๋วอาจต้องเผชิญหน้ากับหายนะ
กฎวิถีเซียนสามารถผูกมัดผู้บำเพ็ญเซียนได้มากมาย แต่มิอาจผูกมัดยอดฝีมือที่แท้จริง อย่างเช่นพันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็ผู้คุมกฎเอง และพวกชั่วร้ายจากสถานที่อันตรายต่างๆ ทั้งยังมีพวกผู้เฒ่าที่อายุขัยใกล้จะหมดจนทำให้กลายเป็บ้าอีก
ไม่ได้การ! ห้ามให้ข่าวนี้หลุดออกไปเด็ดขาด ต้องคิดหาวิธีปิดบังให้จั๋วอวิ๋นเซียนด้วย มิเช่นนั้นความผิดที่สมบัติ อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดได้!
……
“อวิ๋นเซียนเื่นี้อย่าเพิ่งบอกพี่สาวเ้า”
เมื่อได้ยินคำสั่งที่หนักแน่นของจั๋วฟู่ไห่ จั๋วอวิ๋นเซียนก็อดมึนงงไม่ได้
จั๋วอวิ๋นเซียนเข้าใจหลักการเื่ความผิดที่สมบัติดี แต่เขาเชื่อว่าจั๋วอวี้หวั่นไม่มีทางทำร้ายเขาแน่ หากต้องปิดบังแม้แต่ครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุด เช่นนั้นก็บ่งบอกถึงปัญหาอย่างหนึ่ง...นั้นคือสถานการณ์ของตระกูลจั๋วย่ำแย่มาก
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จั๋วอวิ๋นเซียนจึงเงยหน้าถาม “ท่านพ่อ ท่านมีเื่กังวลอะไรหรือ? หรือว่าท่านกำลังคิดหาทางรอดให้พวกเรา?”
“โอ้ เ้ามองออกด้วยหรือ?”
จั๋วฟู่ไห่นั่งลงด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย เขารู้ว่าจั๋วอวิ๋นเซียนเป็เด็กเฉลียวฉลาดมาั้แ่เด็ก ทั้งยังมีนิสัยสงบนิ่งและใจเย็น ทว่าเขากลับไม่เคยให้อีกฝ่ายมายุ่งเื่ในตระกูลจั๋ว เพราะเขาไม่อยากให้บุตรต้องมารับภาระ แต่ตอนนี้เกรงว่าเขาจะดูถูกบุตรของตัวเองเกินไป
“ท่านพ่อ ความจริงแล้วข้ายังมองไม่ออก เพียงแค่คาดเดามั่วซั่วเท่านั้น”
จั๋วอวิ๋นเซียนส่ายศีรษะ ทว่าใบหน้ากลับไม่ได้ผ่อนคลายลง “ท่านพ่อไม่อยากให้ท่านพี่รู้ เพราะไม่อยากให้นางเสียสมาธิใช่หรือไม่? ถึงอย่างไรตอนนี้ท่านพี่มีความกดดันไม่น้อย หากมีคนรู้เื่นี้เพิ่มขึ้นความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นด้วย...ขอเพียงข้าไม่เปิดเผยพร์ของข้า ในสายตาของคนอื่นข้าก็ยังเป็เพียงขยะไร้ค่าคนหนึ่ง ถึงแม้ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลจั๋ว ข้าก็ยังสามารถปกป้องตัวเองได้”
จั๋วฟู่ไห่ถอนหายใจ สายตาเต็มไปด้วยความสุข แต่ยังแฝงด้วยความกังวล บุตรของเขาค่อยๆ เติบโตขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“ท่านพ่อ หรือว่าตระกูลจั๋วกำลังตกอยู่ในอันตราย ถึงทำให้ท่านต้องคิดเผื่อเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด?”
จั๋วอวิ๋นเซียนเกิดความกังวลใจจนต้องขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้เขาเสียใจมากที่ไม่เคยสนใจกิจการของตระกูลจั๋วมาก่อน มิเช่นนั้นตอนนี้อาจจะสามารถช่วยคิดหาทางได้
จั๋วฟู่ไห่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ลูกสามารถนึกถึงภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้นับว่าไม่เลว แต่สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ลูกคิด ถึงแม้จะมีกลุ่มการค้าคอยกดดันเราอยู่ แต่ตระกูลจั๋วของเรายังมีรากฐานที่แ่า แค่ปิดร้านค้าบางส่วนชั่วคราวเท่านั้น”
จั๋วฟู่ไห่เว้นจังหวะครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวออกมาอย่างจริงใจ “อวิ๋นเซียน ถ้านิสัยของลูกอาจหาญและกล้าแสดงออก พ่อต้องปูทางให้ลูกมาดูแลกิจการแน่ ให้ลูกสร้างโลกที่เป็ของตัวเอง…แต่ลูกนิสัยตรงไปตรงมา เป็คนไม่เข้าสังคม ไม่เหมาะกับแผนการเล่ห์เหลี่ยม เส้นทางการบำเพ็ญเซียนนี้ อันตรายและมืดมนกว่าที่ลูกจะจินตนาการได้ หากไม่ระวังอาจได้กายสลายเหลือเพียงเถ้ากระดูก…”
จั๋วอวิ๋นเซียนก้มหน้าเงียบขรึม เขาเข้าใจความลำบากของบิดาดี
จั๋วฟู่ไห่สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะกล่าวว่า “ดังนั้นก่อนที่จะมีพลังพอจะปกป้องตัวเอง พ่อหวังว่าลูกจะปกปิดความสามารถและฝึกฝนจิตใจ ห้ามเปิดเผยพร์ของตัวเองเด็ดขาด สำหรับการทดสอบจบการศึกษาของลูก สอบแค่ข้อเขียนก็พอแล้ว ถึงอย่างไรลูกก็มีป้ายพิเศษของสำนักเซียนเทียนซูอยู่แล้ว จะเข้าไปเมื่อใดก็ได้…นอกจากนี้ความลับและร่องรอยของลูก พ่อจะคิดหาวิธีช่วยปิดบังให้เช่นกัน ผลฉุนหยางลูกนั้นลูกอย่าเพิ่งเอาออกมาใช้ เก็บเอาไว้ให้ดี”
“ทราบแล้ว ท่านพ่อ”
“วางใจเถอะ! ขอเพียงพ่อยังอยู่ ตระกูลจั๋วไม่มีทางล่มสลายแน่”
จั๋วฟู่ไห่ลุกขึ้นและเดินมาตบบ่าจั๋วอวิ๋นเซียนอย่างหนักแน่น
……
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ ท่านมีวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายหรือไม่?”
เมื่อจั๋วอวิ๋นเซียนเอ่ยถาม จั๋วฟู่ไห่ถึงนึกขึ้นได้ว่าร่างกายของบุตรชายค่อนข้างอ่อนแอ หากจะไล่ตามพลังบำเพ็ญให้ทัน ต้องทุ่มทรัพยากรจำนวนหนึ่ง
วิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายมีอยู่สองแบบ ภายนอกหลอมเส้นเอ็นกระดูกิั ภายในฝึกฝนลมปราณ
วิชาหลอมกายาในยุคโบราณมีไม่น้อย น่าเสียดายที่หลังจากภัยพิบัติมรดกสืบทอดมากมายสูญหาย มีเพียงเศษซากบางส่วนที่หลงเหลือ ทว่ายากจะฝึกฝน อีกทั้งง่ายต่อการธาตุไฟเข้าแทรก ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อการบำเพ็ญ หากร้ายแรงมากเส้นชีพจรจะขาดสะบั้นกลายเป็คนพิการได้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนของแผ่นดินเซียนฉยงจึงเปิดเส้นทางใหม่ ใช้ิญญาแห่งหมื่นสรรพสิ่งหลอมรวมกับเจ็ดจิต เพื่อกระตุ้นศักยภาพของร่างกาย ทำลายคอขวด ก้าวข้ามขีดจำกัด
เพียงแต่ตราประทับของจั๋วอวิ๋นเซียนเพิ่งหลอมิญญาได้เพียงสามรอบ พร์ิญญายังไม่ตื่นขึ้น จึงมิอาจใช้วิธีการหลอมรวมจิต คงต้องคิดหาวิธีอื่น
แน่นอนว่าเื่นี้สำหรับคนอื่นอาจจะยากลำบาก แต่สำหรับจั๋วฟู่ไห่แล้วกลับไม่มีปัญหา
“อวิ๋นเซียน ลูกรู้หรือไม่ สาเหตุที่ตระกูลจั๋วของเราสามารถกลายเป็ตระกูลวิถีเซียนได้ นอกจากตราประทับกระเรียนแล้ว ยังมีวิชาสืบทอดวิเศษอยู่อีก! เมื่อก่อนร่างกายของลูกอ่อนแอเกินไป พ่อจึงไม่บังคับให้ลูกฝึกฝน ทว่าั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ลูกต้องฝึกกระบี่กับพ่อ…ตามพ่อมา!”
จากนั้นจั๋วฟู่ไห่ถอนผนึกของห้องตำราออกไปและพาจั๋วอวิ๋นเซียนเดินไปทางสวนเห้อหย้วนของตระกูลจั๋ว
……
สวนเห้อหย้วนของตระกูลจั๋ว รกร้างและเงียบเหงา
สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ฝึกฝนของจั๋วฟู่ไห่ จึงไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวน!
ถึงแม้สวนเห้อหย้วนจะชื่อว่า ‘เห้อ[1]’ แต่ในสวนแห่งนี้ไม่ได้มีกระเรียนจริงๆ มีเพียงรูปปั้นกระเรียนตั้งอยู่ด้านข้างสวนเท่านั้น
เมื่อก่อนจั๋วอวิ๋นเซียนเคยมาที่นี่สองครั้ง แต่ไม่เคยสังเกตรูปปั้นกระเรียนหินด้านข้าง ทว่าตอนนี้เขาควบรวมตราประทับกระเรียนสีชาดออกมาได้แล้ว จึงอ่อนไหวต่อรูปร่างของนกกระเรียนมาก…รูปปั้นกระเรียนเหล่านี้ดูเหมือนวางไว้ไม่เป็ระเบียบ แต่ให้ความรู้สึกสบายตา ทั้งงดงามและดูลึกลับ
จั๋วฟู่ไห่ไม่ได้อธิบายยาวนัก เพียงกล่าวว่า “อวิ๋นเซียน ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปลูกคือผู้สืบทอดตระกูลจั๋ว จำเอาไว้ว่าวิชาสืบทอดของตระกูลจั๋ว มีนามว่า ‘กระเรียนกู่ร้องเก้าชั้นฟ้า’...จงมองดูให้ดี!”
เพียงพูดจบ จั๋วฟู่ไห่ชักกระบี่ฟาดฟันใส่อากาศ!
……
ควบคุมกระบี่ลอยสู่ท้องนภา ราวกับกระเรียนเริงระบำเก้าชั้นฟ้า
ฟังเสียงดนตรีไพเราะ เสพสุขอยู่ในโลกมนุษย์
……
กระเรียนเมฆากู่ร้องก้องดัง ฝูงนกโผบิน ปราณกระบี่ราวกับเหมันต์!
จั๋วอวิ๋นเซียนจิตใจสั่นสะท้าน จมจ่อมอยู่ในวิถีกระบี่ของบิดา
นี่คือวิชากระบี่อะไรกัน? เหตุใดถึงสง่างามเพียงนี้ สูงส่งราวกับเทพเซียน เหมือนดั่งภาพวาดที่ค่อยๆ คลี่ออก ไม่มีรอยหมึกสีดำ กลับเป็เพียงจินตนาการอันไร้สิ้นสุด!
หรือว่านี่คือ…เซียน? เซียนกระบี่หรือ?
“วิ๊ด!”
มีเสียงกู่ร้องก้องดัง กระแสลมพัดโหมกระหน่ำ
เห็นเพียงขนนกสีขาวที่ล่องลอยในอากาศกับเงาร่างที่ร่อนลงมาราวกับสายลมและแสงสว่าง คล้ายดั่งเซียนเหมือนดั่งกระเรียน…
เมื่อจั๋วอวิ๋นเซียนได้สติปลายกระบี่ก็จ่อที่หน้าผากแล้ว รู้สึกถึงความหนาวเย็นแทรกซึมเข้าถึงส่วนลึกของิญญา
------------------------
[1] เห้อ (鹤) หมายถึง กระเรียนในภาษาจีน
