เืนี่มาจากไหน?
ขันทีที่หมอบอยู่กับพื้นตัวสั่นงันงก ก่อนที่เขาจะเข้ามา ได้ชำระคราบโลหิตที่มุมปากเรียบร้อยแล้ว คิดจะปิดบังอำพรางความผิด หากฮองเฮาทรงทราบว่าโลหิตที่กระเซ็นอยู่บนภาพวาดหลานสาวคนโปรดของฮองเฮาเป็โลหิตของตน เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็คงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าหลอกลวงพระนาง ดูจากท่าทีของพระองค์เห็นได้ชัดว่า้าไปเอาเื่กับเซวียนอ๋อง เขาถูกองครักษ์ซัดฝ่ามือใส่จนกระอักโลหิตพ่นไปบนรูปภาพ ผู้เห็นไม่ได้มีเพียงคนเดียว หากฮองเฮาทรงพบความจริงภายหลัง ตัวเขาจะมีทางรอดได้อีกหรือ
“มีอะไรยากจะบอกได้งั้นหรือ?” ฮองเฮาถลึงตาใส่ สีหน้าเผยความดุดันร้ายกาจออกมาอย่างชัดเจน
“มะ... มะ... ไม่ใช่ คะ... คือบ่าว... บ่าวถูกซัดด้วยฝ่ามือ จึงพ่นโลหิตลงไป... โดยไม่ได้ตั้งใจพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีสะดุ้งโหยงกล่าวเสียงสั่น แต่กลับไม่กล้าบอกว่าเป็เพราะตนเองจ้องเซวียนอ๋องจนตาค้าง จึงถูกองครักษ์ซัดจนกระอักโลหิต
กล่าวกันว่าเคยมีบุรุษมองเซวียนอ๋องจนตาค้างแบบนี้ ถึงกับถูกเหยียบจนตายภายใต้เกือกเท้าอาชา เซวียนอ๋องทรงรังเกียจการถูกบุรุษด้วยกันเพ่งพิศรูปโฉมเป็ที่สุด ยามนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตนเองจึงกล้ามองใบหน้าหล่อเหลา และทรงเสน่ห์อย่างไม่มีผู้ใดเปรียบปานนั้นได้ ถึงขั้นไม่อาจละสายตาจนเป็เหตุแห่งหายนะครานี้
เป็เืของขันที?
ฮองเฮามุ่นคิ้วขมวด เอ่ยเสียงดุดัน “เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างมาให้ละเอียด”
เดิมทีขันทียังคิดจะปิดบัง แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของฮองเฮา ไหนเลยจะขวัญกล้าเพ็ดทูลเบื้องสูง จึงเอ่ยปากเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ
“ปั้ก!” ถ้วยหยกแกะสลักลายบุปผาที่ยังเต็มไปด้วยชาร้อนลวกถูกปาออกไปกระทบศีรษะ หกรดเต็มหน้าเต็มหัวของขันทีผู้นั้น โลหิตไหลอาบ พระพักตร์ของฮองเฮาดำทะมึนบูดบึ้งดูไม่ได้ โมโหจนพูดไม่ออก ไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป ขว้างปาถ้วยชาระบายโทสะ
“ลากออกไป โบยให้ตาย!”
ผู้ที่เดินเข้ามาสองคนลากตัวขันทีผู้นั้น โดยไม่สนใจว่าเขาจะดิ้นรนขัดขืนเพียงใด
“ล้วนเป็เพราะบ่าวชั่วผู้นี้ทีเดียวที่ไปก่อเื่ไว้ ดูท่ายามนั้นเซวียนอ๋องคงยังมิได้แม้แต่เห็นใบหน้าของคุณหนูรองอย่างชัดเจนด้วยซ้ำกระมัง บ่าวคิดว่าด้วยพระนิสัยของเซวียนอ๋อง จะละเลยหญิงงามเช่นนี้ได้อย่างไร”
เห็นพระพักตร์ของฮองเฮาเขียวคล้ำด้วยโทสะ แม้ว่าหลิวกงกงจะเป็ขันทีใหญ่คนสนิทประจำพระวรกายของฮองเฮา ยามนี้ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรมาก จึงเปิดหัวข้อสนทนาใหม่อย่างระมัดระวังยิ่ง ทั้งยังเอ่ยแต่ถ้อยคำที่ทำให้ฮองเฮาเบิกบานพระทัย “คุณหนูรองเป็ผู้มีสิริโฉมงดงามเพียงนั้น หากเซวียนอ๋องทรงได้พบเห็น ย่อมไม่เป็เช่นนี้แน่”
หลิงเฟิงเยียนถูกจัดวางอยู่ลำดับสองของจวนติ้งกั๋วกง นอกเหนือจากคุณหนูใหญ่หลิงิเยี่ยน อันดับถัดมาก็คือธิดาของนายท่านรองแห่งจวนติ้งกั๋วกง ซึ่งเป็พี่น้องกันแท้ๆ กับบิดาของหลิงิเยี่ยน เนื่องจากหลิงเฟิงเยียนก็เป็บุตรีภรรยาเอกของจวนติ้งกั๋วกงเช่นกัน จึงได้รับการยกย่องให้มีฐานะสูงศักดิ์ ทั้งยังอ่อนโยนและใจกว้างกว่าหลิงิเยี่ยน แม้ว่าน้อยนักที่จะมีโอกาสปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น แต่ชื่อเสียงด้านความอ่อนโยนใจกว้างของนางเป็ที่เลื่องลือ และเป็ดั่งไพ่าาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่อยู่ในมือของฮองเฮา
“ฮึ! เมื่อเขาไม่พึงใจ ข้าก็ไม่จำเป็ต้องทูนถวายให้ถึงที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก” โทสะยังคงระอุร้อนอยู่ในพระอุระของฮองเฮา หลานสาวผู้งดงามปานหยาดฟ้าของพระนางหาใช่สินค้าค้างปีที่ถูกดองเอาไว้ จะส่งไปซ้ำอีกให้ดูด้อยค่าได้อย่างไร เฟิงเจวี๋ยหร่านมิได้เห็น ก็ถือเสียว่าเขาไม่มีโชคเอง สตรีที่งดงามเฉิดฉันเช่นนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
“ฮองเฮาทรงมีพระดำริเช่นนี้ก็เพราะ...” หลิวกงกงเป็ขันทีคนสนิทข้างพระวรกาย ย่อมเข้าใจความหมายของพระนาง
“ย่อมเป็เช่นนั้น เฟิงเยียนเป็เด็กดี ไม่ใช่ว่าใครคิดจะแต่งกับนางก็สามารถแต่งได้ คงต้องดูความสามารถกันหน่อยกระมัง” ฮองเฮาเอนกายพิงไปด้านหลัง สีหน้าสงบเยือกเย็นลง ตรัสด้วยน้ำเสียงเ็า
ไม่ว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านจะได้เห็นภาพม้วนนี้หรือไม่ หากส่งไปอีกก็มีแต่จะต่ำต้อยด้อยค่า ส่งมาส่งไปแต่ไม่มีใคร้า เช่นนั้นก็ต้องดูความสามารถที่แท้จริงกันหน่อย ให้แย่งชิงกันเป็อย่างไร อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮา จะมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ในพระราชวัง เหล่าขุนนางมากันอย่างพรั่งพร้อม จักรพรรดิทรงเป็ผู้นำฝ่ายหน้า ฮองเฮาทรงเป็ผู้นำฝ่ายใน ค่อยให้เฟิงเยียนปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน เปิดตัวอย่างตะลึงลาน ถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่จะสะกดใจเฟิงเจวี๋ยหร่านได้ องค์ชายอีกสองพระองค์จะต้องมีใจด้วยแน่นอน... เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็นึกลำพอง พระพักตร์ก็เผยรอยยิ้มกระหยิ่มใจ
หากปล่อยข่าวออกไปเวลานั้นว่า เดิมทีเฟิงเยียนคิดจะแต่งให้เซวียนอ๋อง...
“แล้วภาพนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา” เห็นเ้านายอารมณ์ดีแล้ว หลิวกงกงก็นำรูปภาพที่ถูกทำลายจนเปรอะเปื้อนขึ้นถวาย
ฮองเฮาไม่ทอดพระเนตรแม้แต่น้อย ยกพระกรหยิบโยนไปที่กระถางไฟด้านข้าง กลายเป็เถ้าธุลีในพริบตา จากนั้นหมุนพระวรกายเดินนำเข้าไปในพระตำหนักด้านใน สายลมพัดโชยมาจากด้านนอก กระดาษเปื้อนโลหิตสองสามแผ่นปลิวว่อน ร่วงหล่นลงมาหน้าบุรุษผู้สวมอาภรณ์ตัวยาวสีกลีบบัว เขาเก็บกระดาษแผ่นนั้น เห็นดวงตากระจ่างสดใสของหลิงเฟิงเยียนที่มิได้เปรอะเปื้อนโลหิต
เขามองกระดาษแผ่นนั้นอย่างละเอียดแล้วเก็บเข้าไปในอกเสื้อ หลังจากนั้นก็ยกเท้าเข้าไปด้านใน
เมื่อขันทีผู้เฝ้าประตูชั้นในเห็นมีคนมา ก็คุกเข่าร้องกล่าวเสียงสูง “เยี่ยนอ๋องเสด็จ”
…
จวนฝู่กั๋วกง
าุโหญิงผู้ฝึกอบรมเข้มงวดเป็อย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลี่มามาที่ส่งไปให้โม่เสวี่ยถง ใบหน้าอวบกลมแม้จะดูมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่กลับไม่ยอมปล่อยโม่เสวี่ยถงให้ผ่านแต่ละขั้นตอนไปอย่างง่ายดาย หากมีตรงไหนไม่ถูกต้องก็จะชี้ให้นางแก้ไขให้ถูกต้องบัดเดี๋ยวนั้น โชคดีที่แม้ว่าจะเข้มงวดปานใด ก็มิได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งให้ลำบาก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ทำให้โม่เสวี่ยถงรู้สึกได้ว่านี่ไม่เหมือนเป็การอบรมธรรมดาทั่วไป มามาผู้นี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็ผู้มีสถานะสำคัญคนหนึ่ง
ในชีวิตชาติภพก่อน โม่เสวี่ยถงไม่เคยถูกอบรมขัดเกลาอย่างเคร่งครัดเช่นนี้ ฟางอี๋เหนียงไม่คิดจะมอบสิ่งดีๆ ให้นางอยู่แล้ว ปรกติบิดาก็ไม่เข้ามายุ่มย่ามกับเื่ในเรือนชั้นใน หลังจากที่ตนเองกลับมาจากเมืองอวิ๋นเฉิงก็ยิ่งเ็าห่างเหิน น้อยครั้งที่จะได้พบเจอ โม่เสวี่ยิ่มีาุโหญิงคอยอบรมสั่งสอน แต่นางไม่มี ต่อมาเมื่อแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วโหวของซือหม่าหลิงอวิ๋น มารดาของเขาเห็นนางแล้วก็ขัดหูขัดตา ใช้งานนางอย่างหนักไม่เว้นแต่ละวัน นางจึงไม่มีเวลาเรียนรู้ระเบียบแบบแผนเหล่านี้แม้แต่น้อย
งานที่ต้องออกหน้ามารดาของซือหม่าหลิงอวิ๋นล้วนเป็ผู้จัดการทั้งหมด นางเป็เพียงสะใภ้ที่อยู่แต่ในเรือนชั้นใน แม้แต่อำนาจภายในบ้านนางยังรักษาไว้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเื่อื่น นางถูกสั่งสอนมาให้มีหน้าที่เพียงปรนนิบัติสามีและมารดาของเขาอย่างระมัดระวัง ดังนั้นพอเข้ามาดูแลจัดการภายในจวนอย่างยากลำบากเพียงไม่กี่วัน ก็ถูกโหวฮูหยินชิงอำนาจไป
ยามนั้นนางนึกว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นรักใคร่ห่วงใยตนเอง จึงไม่ให้ดูแลจัดการเื่ต่างๆ และไม่ให้คนมาชี้แนะสั่งสอน เพราะกลัวว่านางจะลำบาก
แต่กลับไม่รู้ว่าระเบียบมารยาทเป็บรรทัดฐานสำคัญที่จะทำให้ตนเองเป็ที่ยอมรับของสะใภ้สกุลสูงศักดิ์อื่นๆ
ผู้ที่เกิดมาในตระกูลขุนนางที่มีศักดิ์ฐานะ ย่อมมีมิตรสหายที่อยู่ในแวดวงสังคมระดับเดียวกัน แต่หากไม่เป็ที่ยอมรับของคนเ่าั้ แล้วจะใช้ชีวิตเข้ากับผู้อื่นได้อย่างไร นางเคยทำผิดพลาดมาในชีวิตครั้งก่อน ดังนั้นชีวิตนี้จะพลาดไม่ได้อีก ระเบียบมารยาทที่ตนเองขาดตกบกพร่อง นางย่อมตั้งใจเรียนรู้เพื่อชดเชยสิ่งที่แล้วมา นางจึงรู้สึกขอบคุณสวี่เหล่าไท่จวินที่จัดหาผู้อบรมขัดเกลามารยาทอย่างหลี่มามาให้ และแสดงความเคารพยกย่องต่อาุโหญิงผู้นี้เป็อย่างมาก
แม้ว่าสาวใช้ประจำตัวสามสี่คนและแม่นมสวี่จะมีความจงรักภักดี แต่ด้วยสถานะและความรู้ที่มีจำกัด ย่อมต้องให้ผู้อื่นเป็ผู้ชี้แนะ หลี่มามาเป็ผู้ให้การอบรมสั่งสอนที่เคร่งครัดต่อหน้าที่ โม่เสวี่ยถงก็เปิดใจยอมรับการฝึกอบรมที่เข้มงวดอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะลำบากเพียงใดนางก็ไม่ย่อท้อ ด้วยทราบว่าหลี่มามาเป็คนมีจิตใจดีงาม และต้องฝึกอบรมให้นางออกมาดีที่สุดด้วยใจจริง
จะเป็คนเหนือคนก็ทนรับความลำบากก่อน เหตุผลนี้นางย่อมกระจ่างใจ!
โชคดีที่โม่เสวี่ยถงเป็เด็กฉลาด แม้เริ่มแรกมักจะผิดพลาดอยู่บ่อยๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเรียนรู้ ไม่นานกิริยาท่าทางก็เริ่มมีความสง่างามในแบบของตนเอง ทำให้หลี่มามาพึงพอใจอย่างยิ่ง การฝึกอบรมในเวลาต่อมาจึงง่ายขึ้นอย่างมาก
่เวลานี้เป็่ที่สุขสงบที่สุดของโม่เสวี่ยถง ไม่ว่าจะในชีวิตก่อน หรือตอนนี้ก็ไม่มีการถูกเล่นเล่ห์เพทุบาย และไม่มีใครมาสร้างความลำบากใจให้
เหล่าไท่จวินรักหลานสาวผู้นี้เป็ชีวิตจิตใจ มีของอะไรอร่อย ของเล่นอะไรดีๆ นางก็จะได้รับเช่นเดียวกับลั่วิจู บางครั้งของบางอย่างลั่วิจูยังไม่มีด้วยซ้ำ แต่นางกลับได้มาก่อนแล้ว ทำเอาลั่วิจูต้องแล่นไปออดอ้อนร้องขอกับเหล่าไท่จวิน จะเอาของแบบเดียวกับที่น้องสาวลูกผู้น้องได้รับให้ได้
โม่เสวี่ยถงก็จงใจเอาของที่ลั่วิจูไม่ได้รับออกมายั่ว ด้วยความหมั่นไส้จึงจับลูกผู้น้องมาจี้ตามจุดอ่อนไหว จนนางต้องร้องขอให้หยุด
โม่ฮว่าเหวินก็ใส่ใจต่อบุตรสาวคนนี้ไม่ยิ่งหย่อน แม้ไม่ถึงกับมาหาทุกวัน แต่ทุกสามถึงห้าวันก็ต้องมาเยี่ยมดูนางสักครั้ง ถึงจะนั่งอยู่ด้วยไม่นาน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความรักและใส่ใจที่บิดามีต่อบุตรอย่างชัดเจน โม่เสวี่ยถงรับรู้ความรู้สึกส่วนนี้ได้ เมื่อชาติก่อนความสัมพันธ์ฉันบิดาและบุตรสาวเบาบางห่างเหินยิ่ง ชาตินี้จึงเพิ่งรู้ว่าไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ บิดาก็รักนางมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าบุตรสาวคนอื่นๆ
“คุณหนู ดูสิเ้าคะ โม่อี๋เหนียงกับฉิงอี๋เหนียงส่งผ้าแพรมาให้อีกแล้ว บอกว่ากลัวคุณหนูอยู่ที่นี่จะไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน จึงนำแพรพรรณพระราชทานจากวังหลวงส่งมาให้คุณหนู ไว้สำหรับตัดอาภรณ์สักสองสามชุด ผ้าไหมสีชมพูชุดนี้ดูงดงามไม่เลวเลย ดูเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าใบหน้าของโม่หลันอีกเ้าค่ะ” โม่เหอคลี่ผ้าแพรพับหนึ่งออกมาแล้วกล่าวอย่างรู้สึกยินดี
แค่เดือนนี้เดือนเดียว จวนโม่ส่งของมาให้ห้าหกครั้งแล้ว
ในของจำนวนนั้นมีบางส่วนที่โม่เสวี่ยิ่ให้คนนำมาให้ บอกว่าแทนคำขอโทษที่ทำให้พี่น้องต้องพลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย รู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง ได้ยินแม่นมสวี่บอกว่า หลังจากป่วยหนักโม่เสวี่ยิ่ก็ยิ่งปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม ไม่ดุด่าข้าทาสบริวาร ทั้งยังดึงฟางอี๋เหนียงมากินเจด้วยกัน ทั้งสองต่างแสดงความจริงใจด้วยการถือศีลกินเจอยู่ภายในเรือนของตนเอง บางครั้งก็ไปคุกเข่าที่ห้องบูชาบรรพชน กล่าวว่า้าชำระล้างจิตใจให้สุขสงบ ทำให้โม่ฮว่าเหวินคลายโทสะและปล่อยจากการกักบริเวณ
โม่เสวี่ยถงย่อมไม่เชื่อว่าโม่เสวี่ยิ่จะ ‘ถือศีลกินเจ’ จริงๆ ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไป นางมีแต่ต้องซ่อนเร้นตัวตนให้ลึกยิ่งขึ้นเท่านั้น ทำให้รับมือยากยิ่งกว่าเดิม นางวางมือลูบไล้ไปบนเนื้ออาภรณ์ที่โม่เสวี่ยิ่มอบให้ เนื้อแพรงดงามหรูหราไม่สากมือ แต่กลับทำให้คนรู้สึกสะท้านใจได้ นางหัวเราะเยาะเย็นอยู่ในใจ นางไม่กลัวคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจดุจเทพเซียน กลัวแต่จะมีสหายและบริวารสมองหมูเท่านั้น โม่เสวี่ยิ่คงคิดจะทำให้บิดากลับมารักตนเองเหมือนเดิม แต่เกรงว่าเท่านี้คงยังไม่พอ
ก็เหมือนกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ส่งมาครานี้ ที่ยังเผยพิรุธออกมาชัดเจน
นี่จะต้องไม่ใช่เื่ที่โม่เสวี่ยิ่เป็คนลงมือทำเองแน่ ฟางอี๋เหนียง... จู่ๆ นางก็รู้สึก ‘ชื่นชม’ ฟางอี๋เหนียงขึ้นมา ช่างส่งถ่านมากลางหิมะ[1] แท้ๆ นางกำลังแค้นใจที่ตนเองอยู่จวนฝู่กั๋วกง ไม่อาจลากโม่เสวี่ยิ่ลงน้ำได้ คิดไม่ถึงว่าฟางอี๋เหนียงจะรีบยื่นเชือกส่งมาให้ตนเองเร็วขนาดนี้ ช่างสมใจนางยิ่ง
“ท่านพ่อ ถงเอ๋อร์ไม่อยากได้เสื้อผ้าเหล่านี้ของพี่หญิงใหญ่เ้าค่ะ พี่หญิงเองก็มีอาภรณ์ไม่มาก ถงเอ๋อร์จะเอาของพี่สาวมาได้อย่างไร เสื้อผ้าเหล่านี้พี่หญิงส่งมาสามรอบแล้ว ถงเอ๋อร์ส่งกลับไปก็ยังส่งกลับมาอีก ท่านพ่อช่วยไปบอกนางที ว่าเสื้อผ้าอาภรณ์เหล่านี้ให้นางเก็บไว้ใส่เองเถิด” ใบหน้าเล็กของโม่เสวี่ยถงหน้ามุ่นคิ้วขมวด
“เมื่อพี่สาวเ้าส่งมาแล้วส่งมาอีก ย่อมแสดงว่านาง้ามอบให้ด้วยความจริงใจ เ้าก็รับไว้สวมใส่เถอะ” โม่ฮว่าเหวินหยิบอาภรณ์หรูงามละเมียดละไมขึ้นมาดูอย่างปลื้มใจ แล้วลองเทียบร่างของโม่เสวี่ยถง “ถงเอ๋อร์สวมชุดนี้แล้วจะต้องสวยมากแน่ๆ อยากลองสวมให้พ่อดูหน่อยไหมเล่า”
“นี่เป็ชุดของพี่หญิง ถงเอ๋อร์จะสวมได้อย่างไร” โม่เสวี่ยถงกระเง้ากระงอด ท่าทางน่ารักของบุตรสาวเช่นนี้ทำให้โม่ฮว่าเหวินยิ่งเบิกบานใจ จึงเพียรแต่คะยั้นคะยอให้นางไปเปลี่ยนชุดมาให้ชื่นชม
เมื่อไม่มีทางเลือก โม่เสวี่ยถงจึงจำต้องให้โม่เหอเข้าไปช่วยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ หลังจากนั้นก็ถูกโม่เหอดึงให้ออกมาจากประตูห้อง
นี่เป็ชุดกระโปรงหรูฉวินสีฟ้าปักลายดอกบัว สายคาดเอวปักด้วยไหมทองห้าสีเป็ลวดลายดอกบัว การปักลายเยี่ยงนี้ทำให้รูปร่างของนางดูเพรียวระหง เอวคอดดั่งกิ่งหลิว แต่กลับเห็นข้อบกพร่องอย่างชัดเจน นางตัวเตี้ยกว่าโม่เสวี่ยิ่ครึ่งศีรษะ เมื่อมาสวมอาภรณ์ชุดนี้ ชายอาภรณ์จึงยาวเกินไป พอถูกโม่เหอลากออกมา ก็เกือบสะดุดล้มที่หน้าประตู
หากมิใช่โม่หลันตาไวเข้ามารับได้ทันท่วงที ป่านนี้นางคงล้มคะมำไปแล้ว
..........................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ส่งถ่านกลางหิมะ หมายถึง หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ในระหว่างสถานการณ์ลำบากได้ทันท่วงที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้