หลี่ลั่วยังครองสติได้ดียิ่ง แต่สีหน้าและแววตามีความสลดหดหู่อยู่บ้าง แม้ก่วงฉือไต้ซือจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าหลังจากนี้เป็เวลาหนึ่งเดือนตนจะมรณภาพ แต่ในหนึ่งเดือนนั้นก่วงฉือไต้ซือแข็งแรงปกติดี ไม่เหมือนผู้ที่กำลังจะตาย ดังนั้นเมื่อมาสิ้นลมลงอย่างกะทันหันจึงทำให้ผู้คนทำใจยอมรับไม่ได้ “ไม่เป็อันใด พี่ใหญ่กลับจวนไปก่อนเถิด พี่ใหญ่ใกล้จะแต่งงานแล้ว เกรงว่าในจนวนจะมีเื่ให้จัดการมากมาย รอให้ผ่านเจ็ดวันแรกของอาจารย์แล้วข้าค่อยกลับจวนโหว”
“ได้”
โดยทั่วไปหากเกิดเื่โศกเศร้าภายในครอบครัวนั้นไม่สามารถไปร่วมงานมงคลได้ แต่ก่วงฉือไต้ซือและหลี่ลั่วไม่มีความผูกพันทางสายเื ดังนั้นงานแต่งงานของหลี่หง หลี่ลั่วจึงไปร่วมงานได้
“เสี่ยวโหวเหฺยขอรับ” หลี่หงเพิ่งจะออกไปก็มีคนอีกคนหนึ่งมาหาหลี่ลั่ว หลี่ลั่วรู้จักคนผู้นี้ แม้จะไม่ได้ติดตามกู้จวิ้นเฉินเป็เงาตามตัวเช่นจวิ้นอี แต่เป็องครักษ์ของกู้จวิ้นเฉินเช่นกัน เมื่อเห็นคนผู้นี้ ใบหน้าหลี่ลั่วเต็มไปด้วยความยินดี “มีจดหมายของฉีอ๋องใช่หรือไม่?”
อีกฝ่ายตอบอย่างเคารพ “เป็จดหมายของท่านอ๋องขอรับ”
“เชิญด้านใน สถานการณ์ทางด้านฉีอ๋องเป็เช่นใดบ้าง?” หลี่ลั่วถาม
“ท่านอ๋องกล่าวว่า เื่ที่เสี่ยวโหวเหฺยอยากรู้ท่านอ๋องได้เขียนไว้ในจดหมายอย่างชัดเจนแล้ว และให้ข้าน้อยรอรับจดหมายจากเสี่ยวโหวเหฺยกลับไปด้วยขอรับ” องครักษ์ตอบ
“ได้ รอสักครู่” หลี่ลั่วพูดแล้วเดินเข้าไปในห้อง แกะจดหมาย
‘ลั่วเอ๋อร์ เมื่อเห็นจดหมายแสดงว่าข้ามาถึงซีเป่ยอย่างปลอดภัยแล้ว อย่าได้ทุกข์โศกไปเลย เมื่อยามที่ข้ามาถึงซีเป่ยนั้น พี่ชายก็ได้นำทหารมือดีจำนวนห้าร้อยนายไปยังหุบเขาลั่วเหอที่อยู่ระหว่างฝูชิวและชายแดนซีเป่ยแล้ว เคยมีบันทึกโบราณว่าระหว่างซีเป่ยและฝูชิวเดิมมีแม่น้ำกู่ลั่วเหอ แต่เวลานี้กู่ลั่วเหอได้หายสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์แล้ว เหลือเพียงเทือกเขาลูกหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าเทือกเขาลั่วเหอ และในเทือกเขาลั่วเหอมีหุบเขาลั่วเหออยู่ หุบเขาลั่วเหอเต็มไปด้วยอันตราย น้อยนักที่จะมีคนเหยียบย่างเข้าไป เหตุผลที่พี่ชายไปหุบเขาลั่วเหอ ไม่มีผู้ใดในค่ายทหารรู้ เวลานี้พี่ชายได้หายตัวไปเป็เวลาห้าวัน ข้าเกรงว่าอาจต้องเสียคำพูดแล้ว ปลายเดือนสิบสอง ข้าคงจะกลับมาฉลองปีใหม่กับเ้าไม่ได้
นับดูเวลาแล้ว ยามนี้ก่วงฉือไต้ซือคงจะจากไปแล้ว จงอย่าได้ทุกข์ใจ
จดจำไว้ว่าเชื่อฟังรอข้ากลับมา อย่าก่อเื่
กู้จวิ้นเฉิน’
กู้จวิ้นเฉินไปซีเป่ยเพื่อสืบเื่ของแม่ทัพน้อยอวี๋ บังเอิญเหลือเกินที่เกิดเื่กับแม่ทัพน้อยอวี๋ และทางนี้ได้จำคุกผู้ตรวจการซีเป่ย มีคนเจตนาใส่ร้ายแม่ทัพน้อยอวี๋ ยังดีที่ผู้ที่เดินทางไปครั้งนี้เป็กู้จวิ้นเฉิน ไม่เช่นนั้นแม่ทัพน้อยอวี๋ต้องแย่แน่ๆ หากสกุลอวี๋พังพินาศ อำนาจและทหารซีเป่ยจำนวนสิบหมื่นนายจะตกอยู่ในมือของผู้ใด?
กู้จวิ้นเฉินสงสัยั้แ่แรกว่าจะมีคนใส่ร้ายป้ายสีแม่ทัพน้อยอวี๋ ดังนั้นจึงจำเป็ต้องเดินทางครั้งนี้ หากเปลี่ยนเป็ผู้อื่นเดินทางไป เขาล้วนไม่ไว้ใจ
แต่เช่นเดียวกันว่าเขาเดินทางครั้งนี้ทำให้จ้าวหนิงฮ่องเต้วางใจไม่ลงอย่างยิ่ง จวนฉีอ๋องมีทหารของตนเองห้าร้อยนาย แต่ละนายล้วนเป็ทหารมือดี กู้จวิ้นเฉินออกเดินทางครั้งนี้ ได้พาเมิ่งเต๋อหลาง หลี่ต้าน จวิ้นอี องครักษ์เงาสามในห้านายและองครักษ์เงาอื่นอีกสิบสองนายไป ทั้งยังมีทหารส่วนตัวของจวนฉีอ๋องอีกจำนวนหนึ่งร้อยนาย ถึงกระนั้นจ้าวหนิงฮ่องเต้ก็ยังคงไม่วางใจ จึงส่งกองทหารรักษาพระองค์ไปอีกสองร้อยนายเพื่อเปิดทางให้เขา ขบวนใหญ่โตเช่นนี้ ต่อให้มีคนคิดจะลงมือกับกู้จวิ้นเฉินก็ไม่กล้าแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเร่งเดินทางตลอดเส้นทางมุ่งหน้าจนถึงซีเป่ย ระหว่างทางไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ ทว่ากลับไม่รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ซีเป่ย
ได้ยินกู้จวิ้นเฉินกล่าวว่าปีใหม่อาจจะกลับมาไม่ได้ หลี่ลั่วผิดหวังเล็กน้อย เขาเขียนจดหมายเสร็จแล้วส่งให้องครักษ์ผู้นั้น กล่าวว่า “เ้าเล่าเื่เกี่ยวกับความเป็อยู่ที่ซีเป่ยให้ข้าฟังทีซิ”
“การเป็อยู่ที่ซีเป่ยยากจนข้นแค้นขอรับ ในค่ายทหารล้วนกินแต่หม่านโถว เพราะพื้นที่ในซีเป่ยนั้นปลูกข้าวไม่ได้ ดังนั้นทุกคนจึงล้วนกินหม่านโถว ทุกมื้อทหารจะได้รับหม่านโถวลูกใหญ่สองลูก อาจจะมีกับข้าวเครื่องเคียงเล็กน้อยบ้างในบางครั้งก็ถือว่าดีมากแล้วขอรับ” องครักษ์ตอบ
“ข้ารู้แล้ว เ้าเดินทางไประหว่างทางให้ระมัดระวัง” หลี่ลั่วครุ่นคิด “ข้าให้คนของข้าเตรียมอาหารแห้งและซาลาเปาให้เ้า ในวัดไม่มีเนื้อสัตว์ แต่ในซาลาเปามีไส้ผัก อย่างไรก็อร่อยกว่าหม่านโถวของซีเป่ย”
“ขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺยขอรับ”
“กลับไปบอกท่านอ๋อง หากปีนี้เขากลับมาปีใหม่ไม่ได้ ข้าจะให้ทหารซีเป่ยได้ฉลองปีใหม่อย่างดีแน่นอน ได้กินอาหารดีๆ” หลี่ลั่วกล่าวอีก
“ข้าน้อยจะนำความไปบอกแน่นอนขอรับ”
เดิมทีหลี่ลั่วตั้งใจไว้ว่าจะอยู่วัดก่วงเปยเต็มสองเดือน แต่เมื่อได้รับจดหมายจากกู้จวิ้นเฉิน เขาจึงล้มเลิกความคิดนี้ หลังจากผ่านเจ็ดวันแรกการจากไปของก่วงฉือไต้ซือแล้ว เขาจึงเก็บสัมภาระกลับไป กลับไปครั้งนี้เขาได้นำเสื้อคลุมและจีวรของก่วงฉือไต้ซือกลับไปด้วย ทั้งยังสั่งให้คนสร้างห้องพระขนาดเล็กไว้ในเรือนโฉวงจี๋ คิดไว้ว่าจะนำเสื้อคลุมและจีวรไปบูชาไว้ที่นั่น
เมื่อมาถึงเมืองหลวง หลี่ลั่วเข้าวังก่อน อย่างไรก็เป็พระราชโองการของจ้าวหนิงฮ่องเต้ ให้เขาไปอยู่วัดก่วงเปยเป็เวลาสองเดือน เวลานี้กลับมาก่อนเวลา เพื่อเป็การอุดปากของผู้คน เขาจึงต้องเข้าวังสักครั้ง จากนั้นบอกกล่าวกับจ้าวหนิงฮ่องเต้ถึงความคิดของตน
“เช่นนี้ก็ดี ก่วงฉือไต้ซือมรณภาพ เ้าอยู่ที่วัดก่วงเปยเพียงผู้เดียวก็มีแต่จะโศกเศร้ามากขึ้น กลับบ้านตัวเองไหว้พระก็ดี” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเฮือกหนึ่ง “ก่อนที่อาจารย์ใหญ่จะจากไป ได้กำชับอันใดกับเ้าบ้าง?”
หลี่ลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อาจารย์ให้เสี่ยวเฉินดูแลตัวเองให้ดี บอกกับเสี่ยวเฉินว่าเหตุและผลเป็วัฏจักร อย่าคิดมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีเื่อื่นแล้วรึ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสถามอีก
หลี่ลั่วส่ายหน้า “เสี่ยวเฉินอายุยังน้อย อาจารย์พูดลึกเกินไป เสี่ยวเฉินก็ฟังไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าปีศาจน้อยตนนี้ยามนี้ยอมรับว่าตนอายุยังน้อยแล้วหรือไร?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงพระสรวล “ได้ๆๆ เ้ากลับไปเถิด”
หลี่ลั่วลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง “ฝ่าา สองวันที่แล้วเสี่ยวเฉินได้รับจดหมายของท่านพี่ฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าปีใหม่ปีนี้ เขาอาจจะกลับมาไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เื่ทางทหารของซีเป่ยสำคัญกว่า” จ้าวหนิงฮ่องเต้ย่อมได้รับจดหมายจากกู้จวิ้นเฉินเช่นกัน เื่สำคัญที่แม่ทัพน้อยอวี๋หายตัวไปนั้น หากกู้จวิ้นเฉินไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ย่อมต้องรายงานแก่จ้าวหนิงฮ่องเต้
“ผู้ที่ส่งจดหมายบอกว่า ซีเป่ยไม่มีข้าวสารสีขาว สิ่งที่กินล้วนเป็หม่านโถว แม้กระทั่งเนื้อและผักก็มีน้อยมาก” หลี่ลั่วกล่าวอีก
“ซีเป่ยยากจนยิ่งนัก...แต่ราชสำนักที่เลี้ยงทหารซีเป่ยไม่ไหวยากจนยิ่งกว่า” และด้วยเหตุที่ราชสำนักยากไร้ ดังนั้นจ้าวหนิงฮ่องเต้จึงไม่อยากทรงประทานรางวัลอันใดให้กับแคว้นเล็กๆ อีกแล้ว
“ฝ่าา ที่นาพระราชทานของครอบครัวเสี่ยวเฉินได้เก็บเกี่ยวข้าวในฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ที่นาพระราชทานนั้นเป็ฝ่าาที่พระราชทาน ได้รับมาจากกษัตริย์ ใช้ไปโดยชาวประชา เสี่ยวเฉินอยากจะนำข้าวสารจำนวนสี่แสนห้าหมื่นชั่งส่งไปที่ซีเป่ย ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ที่นาส่วนตัวของราชสำนักล้วนมีการจ่ายภาษี มีเพียงที่นาพระราชทานที่ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่ข้าวสารจำนวนสี่แสนห้าหมื่นชั่งจะส่งไปที่ซีเป่ยทั้งหมดหรือ? ครั้งนั้นเมื่อจ้าวหนิงฮ่องเต้ดำรงพระยศเป็เพียงฉีอ๋อง อยากได้ข้าวสารจำนวนหนึ่งล้านชั่งจากราชสำนัก ล้วนถูกผัดผ่อนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ในเวลานี้ เด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งกลับพูดว่า้าบริจาคข้าวสารจำนวนสี่แสนห้าหมื่นชั่ง นี่เป็บุตรชายของหลี่ซวี่
“เ้าบ้าไปแล้วหรือไร? ข้าวสารสี่แสนห้าหมื่นชั่ง ขายได้เงินจำนวนไม่น้อย” ในใจของจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นสั่นสะท้าน ซาบซึ้ง แต่ไม่แสดงออกมาทางสีหน้า
หลี่ลั่วส่ายหน้า “เงินในเรือนของเสี่ยวเฉินพอใช้พ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าเสี่ยวเฉินจะชอบเงิน แต่ยิ่งเข้าใจเหตุผลที่ว่าชาวประชาสำคัญกว่า ทหารกินไม่ดี พวกเขาจะปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองได้อย่างไร? ข้าวสารสี่แสนห้าหมื่นชั่ง สำหรับเสี่ยวเฉินเป็เงินเพียงสี่พันห้าร้อยตำลึง แต่สำหรับทหารซีเป่ยแล้ว เป็อาหารมื้อที่ดีหลายมื้อที่กินข้าวอิ่ม ข้าคิดว่าหากบิดายังอยู่แล้วละก็ เขาย่อมเห็นด้วยกับความคิดของเสี่ยวเฉินพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าวสารสี่แสนห้าหมื่นชั่ง เป็เสบียงของทหารซวีเป่ยได้ประมาณครึ่งเดือน
“อนุญาต แต่เจิ้นไม่ให้เงินเ้าหรอกนะ” จ้าวหนิงฮ่องเต้กึ่งๆ ตรัสหยอกเล่น
“เสี่ยวเฉินไม่้าเงินพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว “เสี่ยวเฉินได้รับป้ายพระราชทานลายพระหัตถ์ของฝ่าา บ้านแห่งการกุศลแล้ว ต่อไปต้องได้รับมาจากกษัตริย์ ใช้ไปโดยชาวประชา พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ได้รับมาจากกษัตริย์ ใช้ไปโดยชาวประชา”
หลี่ลั่วหัวเราะเบาๆ
หลังจากหลี่ลั่วออกไปแล้ว จ้าวหนิงฮ่องเต้ใจลอยเนิ่นนาน “ต้าไห่ บุตรชายของหลี่ซวี่ ดีกว่าบุตรชายของเจิ้น”
“เสี่ยวโหวเหฺยอายุยังน้อย เด็กคิดตามวิธีการของเด็กพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงตอบ แต่ในน้ำเสียงนั้นชัดเจนยิ่งนัก ความหมายก็คือเสี่ยวโหวเหฺยดีกว่า
พรืดๆ...จ้าวหนิงฮ่องเต้อดไม่ไหวหัวเราะออกมา นานมาแล้วที่เขาไม่ได้ยินดีปรีดาเช่นนี้ “ก่วงฉือไต้ซือเคยบอกไว้ วาสนาของลั่วเอ๋อร์และกู้จวิ้นเฉินนั้นเป็ชะตาฟ้าลิขิต ลั่วเอ๋อร์เป็ผู้อุปถัมภ์ของกู้จิว้นเฉิน เวลานี้เจิ้นดูแล้วน่าจะเป็จริง”
“นั่นเป็เพราะฝ่าาทำหน้าที่พ่อสื่อได้ดีพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีฝ่าาพระราชทานชื่อ ไฉนเลยจะมีวาสนาของฉีอ๋องและเสี่ยวโหวเหฺยในวันนี้” ไห่กงกงนั้นเป็คนฉลาดเฉลียวคนหนึ่ง พูดจาไพเราะน่าฟัง
“คำพูดนี้ของเ้าเจิ้นชอบฟัง ถูกต้องแล้ว รอให้อะไร...บ้านการกุศลนั่นเปิดกิจการ เ้ากับเจิ้นต้องไปดูเสียหน่อย วันนั้นจวิ้นเฉินมาขอป้ายกับเจิ้น เจิ้นยังรู้สึกว่าลั่วเอ๋อร์เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจนัก ความคิดประหลาดพิสดารอันใดล้วนคิดออกมาได้ คิดไม่ถึงว่าจะบริจาคข้าวสารถึงสี่แสนห้าหมื่นชั่งออกไปโดยไม่กะพริบตา เ้าพูดสิว่า ในแคว้นจีนของข้านี้ ผู้มีฐานะมั่งมีนั้นมีมากมาย ที่ในเรือนมีที่นากว่าหมื่นหมู่ก็มีจำนวนไม่น้อย นั่นเป็ข้าวสารจำนวนกี่ล้านชั่ง ไฉนจึงไม่เห็นพวกเขาจะบริจาคอันใดบ้างเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถาม
“ดังนั้นจึงมีเพียงเสี่ยวโหวเหฺยเพียงคนเดียวที่เป็บุตรชายของหลี่โหวเหฺย และเป็เสี่ยวโหวเหฺยเพียงคนเดียวที่ได้รับพระราชทานชื่อจากฝ่าา และเป็เสี่ยวโหวเหฺยเพียงคนเดียวที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าา พระราชทานสมรสให้แก่ฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” รวมไปถึงเป็ฮองเฮาในอนาคต
“คำพูดของเ้านี้...ไฉนเจิ้นจึงรู้สึกชอบฟังอีกแล้วเล่า?” จ้าวหนิงฮ่องเต้กล่าว
“เพราะบ่าวพูดแต่ความจริงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าาย่อมชมชอบฟังความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
ณ จวนจงหย่งโหว
เมื่อหลี่ลั่วกลับมาถึงจวนโหว เรือนที่สามและหลี่เหล่าไท่ไท่ต่างได้รับทราบข่าวนี้ หลี่ลั่วไปเรือนหยวนเซ่อเพื่อคารวะหลี่หยางซื่อก่อนเป็อันดับแรก กลับพบภรรยาหลี่ฮุยอยู่ที่นั่นด้วย “ท่านป้าใหญ่ก็อยู่ด้วยหรือ? ข้ามารบกวนมารดาและท่านป้าใหญ่ใช่หรือไม่?”
“พูดอันใดเช่นนี้ พวกเ้าแม่ลูกไม่ได้พบหน้ากันเดือนกว่า ข้าควรจะยกเวลานี้ให้พวกเ้าจึงจะถูก” ภรรยาหลี่ฮุยกล่าว “ดูลั่วเกอเอ๋อร์ผ่ายผอมลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว อาหารมื้อค่ำต้องบำรุงเสียหน่อยแล้ว”
“เป็เื่ของพี่ใหญ่ของเ้าและเลี่ยนไป๋ ถึงเวลานั้นจะเชิญท่านป้าใหญ่ของเ้านั่งตำแหน่งแม่สื่อ ท่านลุงใหญ่ของเ้าเป็ขุนนางกั๋วจื่อเจียนบูชาสุรา เลี่ยนไป๋เองเป็จวี่เหริน หากบอกว่าเป็ท่านป้าใหญ่เป็แม่สื่อผู้รับรอง พูดออกไปแล้วก็น่าฟัง” หลี่หยางซื่ออธิบาย
“เช่นนั้น ต้องรบกวนท่านป้าใหญ่แล้ว” หลี่ลั่วกล่าว
“ลั่วเกอเอ๋อร์เกรงใจอันใดเล่า เช่นนั้นพวกเ้าคุยกันเถิด ข้ากลับไปก่อน”
“จี้หมัวมัว เ้าไปส่งพี่สะใภ้แทนข้า”
“ได้เ้าค่ะ”
ในห้องเหลือเพียงหลี่หยางซื่อและหลี่ลั่ว หลี่หยางซื่อมองสำรวจหลี่ลั่วรอบหนึ่ง “ผอมลงไปเล็กน้อย แต่หน้าตาผ่องใสไม่เลวทีเดียว ต้องลำบากเ้าแล้ว อยู่วัดก่วงเปยยังต้องจัดการเื่การออกเรือนของพี่สาวเ้า เลี่ยนไป๋เป็ตัวเลือกที่ดียิ่งนัก มารดาต้องขอบคุณเ้าแล้ว”
“พวกเราเป็คนในครอบครัวเดียวกัน มารดาไยต้องพูดราวกับเป็คนนอกเล่า?” หลี่ลั่วกล่าว “พี่จางเป็คนมีอนาคต และเป็คนที่มีความคิดอ่านเช่นกัน พี่สาวเงียบขรึมเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะเป็เ้าบ้านฝ่ายหญิง พี่จางเป็คนมีความคิดอ่านของตนเอง และครอบครัวเรียบง่าย เหมาะสมกับนางพอดี”