เมื่อหยางหนิงเข้ามาในเรือนแล้ว ก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ขณะที่เขาผลักประตูออกไปนั้น ปรารถนาให้ตัวเองนั้นสันนิษฐานผิด เมื่อเข้ามาภายในห้อง กวาดสายตาไป ก็พบว่ากู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ในห้อง
ภายในห้องก็ไม่ได้มีขนาดที่กว้างใหญ่เท่าไหร่นัก บนเตียงนอนผ้าห่มถูกวางไว้ด้านข้าง ซึ่งมันก็สันนิษฐานได้ง่ายมากว่าไม่มีผู้ใดอยู่
กู้ชิงฮั่นถึงแม้จะไม่อยู่ แต่ว่าเสื้อผ้าของนางยังพาดอยู่ข้างๆ หยางหนิงสีหน้าเคร่งเครียด รีบเดินเข้าไป ยื่นมือเข้าไปจับ บนเตียงนั้นเย็นมาก ไม่มีความอุ่นเลยสักนิด นั่นก็หมายความว่า กู้ชิงฮั่นไม่ได้อยู่ในห้องนี้นานแล้ว
เมื่อหันหลังกลับมา ก็เห็นสาวใช้สองคนยืนรออยู่นอกห้อง เมื่อภายในห้องไม่มีร่องรอยของกู้ชิงฮั่น สีหน้าของทั้งสองคนก็ใกลัว
“ข้าขอถามพวกเ้าหน่อย เสื้อผ้าพวกนี้คือเสื้อผ้าที่ฮูหยินสามเปลี่ยนเมื่อคืนหรือไม่?” หยางหนิงชี้ไปที่เสื้อผ้าที่พาดเอาไว้
สาวใช้นางหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “เมื่อคืนพวกข้าน้อยรับใช้ฮูหยินสามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อผ้าพวกนี้เป็เสื้อผ้าที่ฮูหยินเปลี่ยนเมื่อคืนเ้าค่ะ”
ถึงแม้เขาจะเตรียมใจกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว แต่เขาก็หวังว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันผิด เขาหวังแค่ว่ากู้ชิงฮั่นอาจจะแค่ออกไปเดินเล่น แต่ทว่าเสื้อผ้ายังอยู่ที่นี่ ความเป็ไปได้ที่จะไปเดินเล่นนั้นมันก็แทบไม่เหลือแล้ว
กู้ชิงฮั่นไม่มีทางที่จะไม่ใส่เสื้อตัวนอกแล้วออกไปจากห้องอย่างแน่นอน
“เมื่อคืนพวกเ้าเฝ้าอยู่ที่เรือนนี้หรือ ไม่มีใครได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอะไรเลยหรือ?” หยางหนิงจ้องสาวใช้สองคนนั้น แล้วพูดเสียงเคร่งขรึมว่า “นอกจากพวกเ้า เมื่อคืนมีใครมาที่นี่อีกหรือไม่?”
สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าลงไปกับพื้น พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “เรียนซื่อจื่อ เมื่อคืนฮูหยินสามเข้านอนเร็วมาก ไฟภายในห้องฮูหยินสามก็เป็คนดับเอง เราผลัดกันเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก ไม่มีคนอื่นเข้ามาเลยเ้าค่ะ” แล้วพูดอีกว่า “ภายในห้องเงียบมาก เมื่อเช้าตอนที่พวกข้าน้อยมาเรียกให้ฮูหยินสามไปรับอาหารเช้า ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากฮูหยินสามเลยเ้าค่ะ”
หยางหนิงคิดในใจว่าตอนนี้เป็่รอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง ตอนกลางคืนอากาศเย็น กู้ชิงฮั่นไม่มีทางนอนโดยไม่ห่มผ้า หากนางไปได้ไม่นาน บนเตียงนั้นก็จะต้องยังมีความอุ่นอยู่ แต่ตอนนี้ผ้าห่มมันเย็นเฉียบ นั่นหมายความว่ากู้ชิงฮั่นอาจจะหายไปนานแล้ว
เมื่อครู่เขาผลักประตูเข้ามา ประตูนั้นก็ลงกลอนไว้ กู้ชิงฮั่นไม่มีทางออกอื่นนอกจากทางด้านประตูนี้อย่างแน่นอน
เขาเดินวนไปรอบๆ หน้าต่างปิดสนิท ลงกลอนจากด้านในเช่นเดียวกัน นั่นแสดงว่าไม่ได้ออกไปทางหน้าต่าง เขาเดินไปที่ด้านหลังหน้าต่าง มันเป็หน้าต่างทรงสูง ปกติหาก้าเปิดจะต้องยกไม้ที่ใช้ล็อกขึ้น แต่ตัวไม้ลงกลอนตอนนี้มันตกอยู่ที่พื้น หยางหนิงมองอย่างละเอียด ก็พบว่าตรงร่องหน้าต่างมีคราบของผงอะไรบางอย่างตกอยู่ มันเป็เศษผลสีเหลือง เขาใช้นิ้วปาดมันขึ้นมาดม มันมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลิ่นของมันยังไม่จางหายไป แต่เมื่อดมแล้ว หยางหนิงรู้สึกว่ามึนหัว
สายตาของเขาเย็นะเื
กู้ชิงฮั่นจะต้องถูกวางยาแน่นอน ทำให้ไม่ได้สติ หลังจากนั้นก็ถูกอุ้มออกจากหน้าต่างไป
เขาปีนออกนอกหน้าต่าง นั่งยองๆ ลงตรวจดูที่พื้น ด้านหลังมีคราบดิน ซึ่งมันคือรอยเท้า ถึงแม้จะบางมาก แต่เมื่อดูดีๆ ก็ยังคงมองออกอยู่
หยางหนิงเดินตามรอยเท้านั้นไปพักหนึ่ง รอยเท้ายิ่งจางลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หายไป ทำให้ร่องรอยถูกตัดขาดไป
หยางหนิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเดินกลับมาที่ห้องอีกครั้ง เห็นสาวใช้สองคนยังอยู่ จึงออกคำสั่งออกไปว่า “พวกเ้าไปตามคนในจวนไปรวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่เดี๋ยวนี้”
สาวใช้รีบไปเรียกคนในจวนมาทั้งหมด
หยางหนิงตรวจสอบในห้องอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย เขารู้ว่าในเวลาเช่นนี้เขาจะต้องมีสติให้มาก
กู้ชิงฮั่นถูกคนจับตัวไป เป้าหมายคือสิ่งใดไม่อาจทราบได้ ความเป็ไปได้มีอยู่มากมาย แต่มีจุดหนึ่งที่แน่นอน มันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเื่ของจวนเก่านี่แน่นอน
ถึงแม้เขาจะมีความเข้าใจเื่ของตระกูลฉีอยู่บ้างแล้ว แต่ว่าในเมื่อมันคือตระกูลใหญ่ บุญคุณความแค้นของตระกูลฉี เขาเองก็ไม่รู้อะไรมาก
ตระกูลฉีมีเส้นสายความสัมพันธ์ด้านการทหาร นี่คือจุดเด่นของตระกูลฉี แต่จิ่นอีโหวทั้งสองรุ่นเป็แม่ทัพใหญ่ภาคสนาม ฆ่าคนมามากมาย ศัตรูอาฆาตก็มีนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็ในพื้นที่เจียงหลิงเอง ถึงแม้จะเป็ฐานเดิมของตระกูลฉี ก็อาจจะมีศัตรูแฝงอยู่ด้วยก็ได้
เขาหวังว่าคนที่จับตัวกู้ชิงฮั่นไปเป็แค่พวกเรียกค่าไถ่ ไม่ใช่พวกหื่นกามหลงใหลในความงามของกู้ชิงฮั่น ด้วยนิสัยของกู้ชิงฮั่น เมื่อนางถูกหยามเกียรติ ต่อให้คนอื่นไม่ฆ่านาง นางก็อาจจะเลือกที่จะไม่มีชีวิตต่อไป
ในเมื่อแค่จับตัวกู้ชิงฮั่นไป นั่นหมายถึงว่าตอนนี้กู้ชิงฮั่นก็น่าจะยังปลอดภัยอยู่ เพราะหากอีกฝ่ายอยากจะเอาชีวิต ก็ไม่ต้องเสียเวลามาจับตัวกู้ชิงฮั่นไป เพราะในเมื่อสามารถเข้ามาจับตัวนางไปจากห้องได้ จะฆ่านางมันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
เมื่อหยางหนิงเดินเข้ามายังห้องโถง คนในจวนเก่าราวสิบคนก็มารออยู่แล้ว คนที่ติดตามหยางหนิงมายังเจียงหลิงทั้งสามคนอาวุธครบมือ ยืนอยู่ด้านนอก
เมื่อเห็นหยางหนิงเข้ามา ทุกคนก็คุกเข่าลง หยางหนิงมองไป พวกเขาต่างเป็บรรดาบ่าวไพร่สาวใช้ มีเพียงจ้าวยวนของห้องบัญชีที่พิเศษหน่อย เขาพูดขึ้นว่า “ฮูหยินสามหายตัวไป วันนี้พวกเ้ามีใครเห็นนางบ้างหรือไม่?”
ทุกคนต่างใ หยางหนิงยกมือขึ้นให้พวกเขาลุกขึ้นมา หลังจากที่ทุกคนลุกขึ้นมาแล้ว ก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา หยางหนิงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ข้าถามพวกเ้าว่าวันนี้มีใครเห็นฮูหยินสามบ้างหรือไม่?”
เห็นซื่อจื่อกำลังโมโห ทุกคนต่างส่ายหน้า เหวยต้งพูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ั้แ่เช้าก็ไม่เห็นฮูหยินสามมารับอาหารเช้าเลย ทางห้องครัวก็กำลังรออยู่ ประตูหน้ากับประตูหลังก็มีคนเฝ้าตลอด ก็ไม่เห็นว่าฮูหยินสามออกไปเลยขอรับ”
หยางหนิงเงียบไป สายตาจ้องไปที่จ้าวยวน เห็นจ้าวยวนยังคงนิ่งอยู่ ไม่มีอาการตื่นตระหนกแต่อย่างไร เขาก็เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านจ้าว ท่านมาทำงานที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?”
“เรียนซื่อจื่อ ข้าน้อยมาทำงานบัญชีที่นี่ได้สามปีแล้ว” จ้าวยวนยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ตอนนั้นเป็่ฤดูใบไม้ร่วงพอดี คนดูแลบัญชีคนเก่าอายุมากแล้ว พ่อบ้านฉีจึงรับข้ามาช่วยงาน ตอนแรกก็ให้มาช่วยดูแลในส่วนของรอบๆ หมู่บ้านเพียงเท่านั้น แต่ว่าคนดูแลบัญชีเก่าอายุมากแล้ว การทำงานก็เริ่มไม่มีประสิทธิภาพ พ่อบ้านฉีจึงให้เงินเขาจำนวนหนึ่งไป แล้วให้ข้ามาดูแลงานบัญชีที่นี่แทนเขาขอรับ”
หยางหนิงขมวดคิ้ว “อ่อ” แล้วถามอีกว่า “ฉีเฉิงจ้างเ้ามาอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ” จ้าวยวนตอบอย่างนอบน้อม
หยางหนิงเดินไปยืนข้างๆ จ้าวยวน มองเขาั้แ่หัวจรดเท้า ทุกคนเห็นแสงสะท้อนของมีดสั้นเล่มนั้นที่มันจี้อยู่ที่คอของจ้าวยวน จ้าวยวนใหน้าซีดขาว แล้วพูดขึ้นว่า “ซื่อจื่อ ท่าน...!” คนอื่นก็คิดไม่ถึงเลยว่าซื่อจื่อจะลงมือเช่นนี้ ทุกคนต่างใกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
“ข้าไม่ชอบอ้อมค้อม” หยางหนิงพูดเรียบๆ ว่า “ท่านจ้าว บอกข้ามา ตอนนี้ฮูหยินสามอยู่ที่ไหน?”
“ฮูหยินสามหรือขอรับ?” จ้าวยวนใ แล้วตอบกลับไปว่า “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเป็เพียงนักบัญชี กินอยู่ก็แค่ที่ห้องบัญชีเท่านั้น บางทีสามถึงห้าวันก็ไม่ได้ออกจากห้องเลย เมื่อคืนจนถึงเมื่อครู่ ข้าน้อยก็ไม่ได้ออกไปไหน หากซื่อจื่อไม่ได้เรียก วันนี้ข้าน้อยก็อาจจะไม่ออกมาเลย ข้าน้อยก็ไม่ใช่หมอดู จะรู้ได้อย่างไรว่าฮูหยินสามอยู่ที่ไหนขอรับ?”
เหวยต้งพูดขึ้นมาว่า “ซื่อจื่อ ปกติท่านจ้าวไม่ค่อยออกไปไหนจริงๆ ขอรับ”
“ท่านจ้าวจิตใจของท่านแน่วแน่ไม่น้อยเลยนะ” หยางหนิงไม่ได้สนใจ แล้วพูดอย่างเรียบๆ ว่า “คนทั่วไปถูกมีดจ่อคอเช่นนี้ ไม่มีทางมีปฏิกิริยานิ่งเช่นนี้หรอก”
จ้าวยวนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ซื่อจื่อท่านก็ชมเกินไปแล้ว หากข้าน้อยทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ ซื่อจื่อท่านสามารถลงโทษข้าน้อยได้อย่างเต็มที่ แต่ว่าเื่นี้...!” เขาก็มองลงไปด้านล่าง แล้วพูดว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไร หรือว่าท่านคิดว่าที่ฮูหยินสามหายตัวไป เกี่ยวข้องกับห้องบัญชีเล็กๆ เช่นนี้ด้วยหรือขอรับ?”
จ้าวยวนพูดต่ออีกว่า “หรือว่าข้าน้อยทำงานอะไรผิดพลาดไปอย่างนั้นหรือขอรับ?”
“เ้ารู้หรือไม่ คนเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ บัญชีก็ไม่มีทางสมบูรณ์แบบ” หยางหนิงพูดว่า “บัญชีที่เ้าทำมันสมบูรณ์แบบมากเกินไป แม้แต่ฮูหยินสามยังไม่พบข้อบกพร่องเลยแม้แต่น้อย ข้ากำลังสงสัยว่าภาษีที่ดินศักดินาสามพันไร่ กับที่นาอีกนับร้อยไร่ รับเข้าจ่ายออกยิบย่อยซับซ้อนนัก ถึงแม้ภายในห้องบัญชีจะมีสองคน แต่ว่าคนที่ตรวจสอบบัญชีมีเพียงเ้าคนเดียว ข้าไม่อยากจะเชื่อว่า แค่เ้าคนเดียวจะทำให้บัญชีมันสมบูรณ์แบบได้ขนาดนั้น?”
มันไม่ใช่บัญชีสองเล่มของร้านค้าทั่วไป แต่มันเป็บัญชีรับเข้าจ่ายออกจำนวนมาก เขาเป็นักธุรกิจมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นักบัญชีมืออาชีพแค่ไหน ตรวจสอบบัญชียังมีความผิดพลาด ก็เหมือนบัญชีของตระกูลฉี หากพบข้อผิดพลาดนั้นเป็เื่ปกติ แต่หากไม่พบอะไรเลย นั่นแหละที่ไม่ปกติ
เขารู้สึกว่าจวนเก่าแห่งนี้อันตรายนัก ฉีเฉิงเมื่อคืนไม่ได้กลับมา ทำให้หยางหนิงเริ่มสงสัย วันนี้กู้ชิงฮั่นก็มาหายตัวไปอีก เขาแอบรู้สึกว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับคนในจวนเก่านี้อย่างแน่นอน
ส่วนท่านจ้าวคือคนที่เขาสงสัยเป็คนแรก
ได้ยินท่านจ้าวบอกว่าเขามาทำงานที่จวนเก่าไม่เกินสามปี แถมยังเป็คนที่ฉีเฉิงจ้างมาอีก หยางหนิงรู้สึกว่าเขามีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เื้ัจะต้องมีความลับอะไรแน่นอน
ถึงแม้จะแค่สงสัย ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเื่ที่กู้ชิงฮั่นหายตัวไปจะเกี่ยวข้องกับท่านจ้าว แต่เขาก็ตัดสินใจข่มขู่ท่านจ้าวไป เผื่อจะได้เบาะแสอะไรจากปากของเขาบ้าง เพราะอีกฝ่ายก็เป็บัณฑิต หากใช้มีดขู่ หากเขามีความลับ ไม่แน่อาจจะหลุดอะไรออกมาบ้าง
“ซื่อจื่อท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ” ด้านนอกประตูมีเสียงหยาบๆ เสียงหนึ่งดังมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงองครักษ์ะโว่า “เ้าเป็ผู้ใด หยุดเดี๋ยวนี้”
หยางหนิงขมวดคิ้ว เห็นคนที่ยืนอยู่นอกประตูเป็ชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดผ้าธรรมดา ถูกองครักษ์ขวางเอาไว้นอกประตู
“เขาคือท่านเฉิง” เหวยต้งมองไป แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ เฉิง... พ่อบ้านเฉิงกลับมาแล้วขอรับ”
หยางหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าฉีเฉิงจะกลับมาตอนนี้ เขาพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉีเฉิง เ้าเข้ามานี่”
เมื่อชายวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องโถง ก็ทำความเคารพหยางหนิงพร้อมพูดว่า “ข้าน้อยฉีเฉิง คำนับท่านซื่อจื่อขอรับ”