ทันทีที่อันธพาลกลับมาถึงเรือนก็รีบตรงดิ่งเข้าครัวพร้อมกับความหิวโซ เขากระดกน้ำในกระบวยดื่มจนหมด ก่อนหยิบผักที่เพิ่งผัดเสร็จขึ้นมาใส่ปาก เคี้ยวไปได้ไม่นานก็บ้วนทิ้งลงพื้นพร้อมสบถ “บ้าเอ๊ย! นี่ผัดผักใส่เกลือ หรือผัดเกลือใส่ผักกันแน่?”
เมิ่งอู่นับวัสดุยาออกมาก่อนมอบให้อินเหิงไปจัดการ ระหว่างนั้นก็ฝังเข็มรักษานางเซี่ยกับซวี่เฉินฟางอีกครั้ง
หลังป้อนยาไปหลายชาม สีหน้าของนางเซี่ยกับซวี่เฉินฟางก็ค่อยๆ ดีขึ้น
ซวี่เฉินฟางฟื้นขึ้นมาก่อน ใน่บ่ายเขานั่งพิงประตูพลางมองออกไปด้านนอก เห็นว่าในที่สุดเมิ่งอู่ก็มีเวลาว่าง ยกชามข้าวขึ้นมากินแล้ว
เหล่าอันธพาลชวนเมิ่งอู่กับอินเหิงให้ลองชิมอาหารที่พวกเขาผัดอย่างกระตือรือร้น อินเหิงยังคงกินข้าวสวยอย่างมุ่งมั่น ส่วนเมิ่งอู่ให้เกียรติลองชิมไปคำหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ สุดท้ายก็คายทิ้งแล้วเอ่ย “ผู้ใดเป็คนผัด? เกลือบ้านข้าไม่ต้องใช้เงินหรือไร?”
ซวี่เฉินฟางมองใบหน้ายับย่นของเมิ่งอู่แล้วอดหัวเราะไม่ได้
ในที่สุดเรือนหลังนี้ก็กลับมาสงบสุข มีชีวิตชีวาอีกครั้ง
···
เมิ่งเจียนเจียกลับถึงเรือนกลางดึก ยามที่ชาวบ้านพานางกลับมา นางยังคงตื่นใ
นางเย่ซักถามอย่างละเอียด ถึงรู้ว่านางขึ้นเขาไปพร้อมกับเมิ่งอู่ จากนั้นก็เห็นเมิ่งอู่กับอินเหิงตกหน้าผาไปด้วยกัน
แต่หลังจากนั้นพวกนางก็ได้ยินเสียงตอบรับของเมิ่งอู่ยามอยู่บนหน้าผา แสดงว่าเมิ่งอู่ยังไม่ตาย
แม้เมิ่งซวี่ซวีจะไม่อยากให้ซวี่เฉินฟางเสียชีวิตไปพร้อมกับเมิ่งอู่ แต่นางก็หวังว่าเมิ่งอู่จะตกลงไปตายโดยที่ร่างกายแหลกละเอียด เพราะถ้าเป็แบบนั้นเมิ่งอู่กับมารดาของนางก็จะหายไปจากโลกนี้เสียที!
ดังนั้นตลอดทั้งคืนสองพี่น้องสกุลเมิ่งครุ่นคิดบางอย่างจนมิอาจข่มตาหลับ
คาดไม่ถึงว่าเที่ยงของวันต่อมา เมิ่งเจียนเจียกับเมิ่งซวี่ซวีจะได้ยินข่าวว่าเมิ่งอู่กับคนอื่นๆ กลับมาแล้ว ทำเอาทั้งคู่หน้าซีดเผือด
เมิ่งซวี่ซวีแสดงสีหน้าตื่นตระหนก “จะทำอย่างไรดี หากนางรู้ว่า...”
เมิ่งเจียนเจียกล่าว “รู้ว่าอันใด? พวกเราไม่รู้อันใดทั้งนั้น”
เมิ่งซวี่ซวีพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ๆ ไม่รู้อันใดทั้งนั้น”
ชาวบ้านล้วนเหลือเชื่อมาก อย่างไรเสียก็มีชาวบ้านสองคนขึ้นเขาไปด้วยกัน และรู้เื่ที่เมิ่งอู่ตกหน้าผาเพื่อช่วยเมิ่งเจียนเจีย มิหนำซ้ำคู่หมั้นของนางยังะโลงเหวพลีชีพตามนางด้วย
พวกเขายิ่งคาดไม่ถึงว่าเมิ่งอู่กับอินเหิงจะรอดชีวิตกลับมาอย่างยากลำบาก
นี่คงเป็เพราะคนทำดีย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี แม้แต่์ก็ยังคุ้มครอง
ครั้นมองดูเมิ่งเจียนเจียอีกครั้ง ถึงอย่างไรเมิ่งอู่ก็เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตนางไว้ แต่นางกลับไม่แสดงออกใดๆ แม้แต่คำขอบคุณก็ยังไม่มี
เมื่อเดินผ่านเรือนของครอบครัวเมิ่งต้า ชาวบ้านอดพูดเตือนสติไม่ได้ และบอกให้เมิ่งเจียนเจียไปขอบคุณเมิ่งอู่
ไม่รู้ว่าจะเป็เพราะรู้สึกผิดหรือกริ่งเกรง เมิ่งเจียนเจียจึงมิกล้าออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว
นางเย่แถอย่างไหลลื่นจึงแก้ตัวแทนว่า “เจียนเจียกลับมาแล้วเป็ไข้ ยามนี้ยังป่วยอยู่ นางละเมอเรียกชื่อเมิ่งอู่ บอกว่าอยากขอบคุณอยู่ตลอดเวลา”
พวกชาวบ้านถอนหายใจ “ดูท่าคราวนี้นางคงใกลัวมากจริงๆ”
กระทั่งตอนกลางคืนนางเซี่ยที่มีอาการวิกฤตหมดสติไปนานถึงสองวันหนึ่งคืนก็ฟื้นขึ้นมาในที่สุด
เมื่อเหล่าอันธพาลเห็นว่าทุกคนได้รับความช่วยเหลือแล้ว พอตกดึกหลังกินอาหารที่เมิ่งอู่ทำจนอิ่มหมีพีมัน พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับเรือนของตน การเดินทางครั้งนี้ช่างเหน็ดเหนื่อยนัก ต้องรีบกลับไปนอนหลับพักผ่อนให้สบายสักตื่น
นางเซี่ยไม่รู้เลยว่าเกิดอันใดขึ้น นางมองดูท้องฟ้าด้านนอกก่อนถาม “นี่มืดแล้วหรือ? ชาคลายร้อนต้องแช่ไว้ในน้ำเย็น ข้ายังไม่ได้ทำอาหารเย็นเลย”
พูดจบนางก็ทำท่าจะลุกขึ้น แต่พอลุกขึ้นนั่ง ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะจนต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
เมิ่งอู่ป้อนโจ๊กและยาให้นาง อาการของนางจึงค่อยๆ ดีขึ้น
เมิ่งอู่กล่าว “ท่านแม่อย่ากังวลเื่ชาคลายร้อนเลยเ้าค่ะ อาหารเย็นก็ไม่ต้องเป็ห่วง พวกเรากินกันหมดแล้ว”
นางเซี่ยถาม “ข้าป่วยเป็ลมแดดหรือ?”
เมิ่งอู่กล่าว “ท่านแม่ถูกวางยาพิษเ้าค่ะ”
นางเซี่ยตระหนกใ จู่ๆ ก็รู้สึกมีแรงขึ้นสองส่วน
หลังจากนั้นนางเซี่ยถึงรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น นางคิดว่าตนเองเพียงหลับไป่บ่าย ไม่นึกเลยว่าจะหลับไปนานถึงสองวัน เกือบต้องไปเยือนประตูผีรอบหนึ่งเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้อินเหิงสงสัยว่า ผู้ที่วางยาพิษรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อวานนางเซี่ยจะต้มชาคลายร้อน? ดังนั้นจึงเป็ไปได้ว่ายาพิษไม่ได้อยู่ในชาคลายร้อน แต่อยู่ในน้ำที่นางเซี่ยใช้ต้มชา
เมื่อครู่เมิ่งอู่จึงตักน้ำจากถังน้ำมาตรวจสอบ ปรากฏว่ามีพิษจริงๆ
เมิ่งอู่เอ่ยถามสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ท่านแม่ลองคิดดูให้ดีๆ สิเ้าคะ เมื่อวานมีผู้ใดมาที่เรือน หรือท่านแม่เคยเจอใครที่น่าจะวางยาพิษในน้ำได้?”
นางเซี่ยเล่า “หลังพวกเ้าออกจากเรือนไป ข้าก็อยู่คนเดียว ไม่มีผู้ใดมาที่เรือนเลย” พูดจบนางก็หยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “เมื่อวานยามที่ข้าไปตักน้ำที่บ่อน้ำ ข้าเจอเมิ่งซวี่ซวี นางก็ไปตักน้ำเช่นกัน”
เมิ่งอู่พึมพำเสียงเบาหวิวจนน่าขนลุก “เมิ่งซวี่ซวีหรือ”
แม้ระหว่างนั้นจะลำบากยากเข็ญ แต่โชคดีที่สุดท้ายนางเซี่ยกับซวี่เฉินฟางก็ปลอดภัย หลังจากนั้นเมิ่งอู่จึงอยู่เป็เพื่อนนางเซี่ยในห้อง พูดคุยกับนางสักพัก จนกระทั่งนางเซี่ยรู้สึกง่วงงุนและค่อยๆ ผล็อยหลับไป
แสงในห้องสลัวรางและสงบนิ่งลอดออกมาถึงลานเรือน
ซวี่เฉินฟางกับอินเหิงอยู่ในลานเรือน ยามนี้ทั้งคู่กลับไม่ได้โต้เถียงกันเหมือนเคย
อย่างแรกคือ อินเหิงเหนื่อยเหลือประมาณ อย่างที่สองคือ ขณะนี้ซวี่เฉินฟางยังไม่ฟื้นตัวดี
นางเซี่ยไม่รู้เื่ที่อินเหิงกับเมิ่งอู่ตกหน้าผา แต่ซวี่เฉินฟางตื่นขึ้นมาก่อน ย่อมปิดบังเื่นี้จากเขาไม่ได้
เมิ่งอู่เกลี้ยกล่อมนางเซี่ยให้หลับแล้วค่อยออกมา อินเหิงกับซวี่เฉินฟางกำลังหารือกัน แต่พอเห็นนางออกมา ทั้งคู่ก็หยุดพูดคุย นั่งรับลมชมดาวเงียบๆ
เมิ่งอู่เอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเ้าพูดอันใดกัน ไยถึงไม่พูดต่อเล่า?”
ซวี่เฉินฟางหันกลับมามองนางผาดหนึ่ง รอยยิ้มเกียจคร้าน และกลิ่นอายอ่อนแอสองส่วนยิ่งขับเน้นให้เขางดงามขึ้นสองส่วนเช่นกัน
ซวี่เฉินฟางกล่าว “ข้ากำลังพูดถึงคู่หมั้นของเ้า แม้ขาพิการ แต่กลับะโหน้าผาอย่างมืออาชีพเพื่อบูชาความรัก ช่างเป็ความรักที่ลึกซึ้ง ชวนให้ซาบซึ้งตรึงใจยิ่งนัก หน้าผาสูงขนาดนั้นแต่ก็ยังปกป้องชีวิตเ้าไว้ได้ นับว่าเขามีความสามารถ”
อินเหิงกล่าวอย่างเฉยชา “ส่วนญาติผู้พี่ของเ้าก็ไม่เลว เจอภัยพิบัติครั้งใหญ่แต่ไม่ตาย อนาคตจะรุ่งเรืองอย่างแน่นอน เพิ่งมาอยู่ในหมู่บ้านใน่สั้นๆ ก็ถูกโจมตีเกือบตายถึงสองครั้ง สามารถเติบใหญ่ได้เพียงนี้ แสดงว่าชีวิตเขายังไม่ถึงฆาต การมีชีวิตอยู่ไม่ง่ายเลย จงใช้ชีวิตอย่างทะนุถนอมเถิด”
เมิ่งอู่มองคนทั้งคู่เงียบๆ ก่อนถาม “พวกเ้าแน่ใจนะ... ว่าชื่นชมกันอยู่น่ะ?”
อินเหิงกล่าว “แน่นอน”
แต่เพราะอะไรนางถึงรู้สึกว่าคำพูดของทั้งคู่ฟังแล้วแปลกพิกล?
ทว่าคืนนี้เมิ่งอู่ไม่มีอารมณ์มานั่งรับลมชมดาว นางยกน้ำเข้าไปในห้องน้ำ แล้วรีบอาบน้ำ จากนั้นก็เตรียมตัวกลับห้องพักผ่อน
อินเหิงอาบน้ำเสร็จก่อนนาง เขากล่าวว่า “อาอู่ เ้าช่วยพาข้ากลับห้อง อุ้มข้าขึ้นเตียงได้หรือไม่?”
ซวี่เฉินฟางมองเขาก่อนเยาะเย้ย “ดูคล้ายว่าเ้ายังไม่พิการจนช่วยเหลือตนเองไม่ได้นี่นา ยามปกติเ้าก็สง่าผ่าเผยดี อาอู่เหนื่อยมามากแล้ว เ้ายังจะให้นางอุ้มเ้าขึ้นเตียงอีก คิดว่าตนเองตัวเบาหรืออย่างไร? ยังมีสามัญสำนึกบ้างหรือไม่?”
อินเหิงกล่าวอย่างไม่รู้สึกผิด “ข้าใช้พละกำลังมากเกินไปตอนอยู่ที่ผนังผา ยามนี้แขนไร้เรี่ยวแรง มิเช่นนั้นเ้าจะช่วยข้าหรือ?”
ทั้งคู่เพิ่งตกลงกันว่าจะไม่แข่งขันกัน แต่จู่ๆ ก็กลายเป็ปลายเข็มปะทะหางข้าวสาลี [1] อีกครา…
เมิ่งอู่รีบกล่าว “เื่เล็กน้อยแค่นี้มีอันใดต้องเถียงกันด้วย? อย่างไรข้าก็ยินดีอยู่แล้ว”
จากนั้นนางก็เข็นอินเหิงไปยังห้องของเขา ไม่ลืมหันไปบอกซวี่เฉินฟาง “เ้าอย่าออกมารับลมนานนัก รีบกลับเข้าห้องไปพักผ่อนเถิด” ก่อนหันกลับไปถามอินเหิงอย่างอบอุ่น “อาเหิง แขนของเ้าาเ็ร้ายแรงหรือไม่ วันพรุ่งข้าจะประคบให้”
อินเหิงตอบรับ “อืม ตกลง”
ซวี่เฉินฟางพิงเก้าอี้เอนพร้อมถอนหายใจอย่างอธิบายไม่ถูก “ช่างโง่งมจริงๆ” นางคิดว่าผู้ที่อยู่เคียงข้างนางคือคนบริสุทธิ์ไร้พิษภัย แต่แท้จริงแล้วอาจเป็ภูตผี สัตว์ หรือหมาป่าที่หิวโหย
แขนของอินเหิงออกแรงมากเกินไปและเป็เวลานาน จึงได้รับาเ็จริงๆ แต่เมื่อบ่ายต้องช่วยชีวิตคนเป็สำคัญ เขาจึงไม่เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว
พอตกดึกค่อยเอ่ยถึงหนึ่งหรือสองประโยค เพียงพูดคุยฆ่าเวลายามว่างหลังอาหารเท่านั้น หากทำให้ซวี่เฉินฟางรู้สึกเจ็บใจได้บ้าง แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด
ทุกคนล้วนเหนื่อยล้าสุดประมาณ หลังเมิ่งอู่พาอินเหิงไปพักผ่อนแล้ว นางค่อยกลับไปนอนที่ห้องของตนเอง
เมิ่งอู่หลับสนิทจนถึงรุ่งเช้า นางมักออกกำลังกายและทำงานหนักอยู่เป็ประจำ โดยปกติแล้วไม่รู้สึกอันใดเมื่อเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อและกระดูก แต่เมื่อวานร่างกายของนางทำงานหนักเกินไป ตอนลุกขึ้นจึงรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว
ตามเนื้อตัวยังมีรอยกระแทกและรอยฟกช้ำดำเขียวไม่มากก็น้อย
แม้แต่นางยังเป็เช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอินเหิง
พอเมิ่งอู่ตรวจดูแขนของเขา ก็พบว่าแขนทั้งสองข้างของเขาบวมและเขียวช้ำ กล้ามเนื้อฉีกขาดอย่างรุนแรง ได้รับาเ็
เมิ่งอู่เอื้อมมือไปััเบาๆ หัวใจประหวั่นนิดๆ บอกไม่ได้ว่าเป็เพราะใจสั่นนิดหน่อยหรือปวดใจอยู่บ้าง หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
เมิ่งอู่กล่าว “เมื่อวานเ้าสมควรบอกข้าให้เร็วกว่านี้”
อินเหิงเห็นว่านางไม่มีท่าทางล้อเล่นแม้แต่นิด อดหลุบตาลงและกล่าวเนิบช้าไม่ได้ “เื่เร่งด่วนต้องมาก่อน เื่เล็กน้อยเช่นนี้ไม่เห็นจะเป็อันใด”
ซวี่เฉินฟางปรากฏขึ้นตรงประตูราวกับภูตผี เขายืนพิงกรอบประตูก่อนกระเซ้า “จุ็ๆ ซาบซึ้งจริงๆ”
อินเหิงชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างเ็า ก่อนกล่าวกับเมิ่งอู่อย่างอ่อนโยนและไร้พิษภัย “เพียงบวมนิดหน่อย เจ็บเล็กน้อย แล้วก็ไม่มีแรง ไม่เป็ไรหรอก”
หัวใจเมิ่งอู่สั่นไหว ยิ่งสงสารเขา นางถาม “แบบนี้ยังเรียกว่าไม่เป็อันใดอีกหรือ?”
จากนั้นเมิ่งอู่ก็นำผ้าขนหนูมาประคบเย็นและฝังเข็มเพื่อขับเืคั่งให้อินเหิง ยามเดินเข้าออกประตูห้อง นางยังบ่นซวี่เฉินฟางว่าเกะกะขวางทาง “หลบไป”
ยามที่เมิ่งอู่ไม่อยู่ในห้อง ซวี่เฉินฟางกอดอกยืนมองอย่างเ็าพลางเอ่ยเย้ยหยัน “ใช้กลอุบายทุกข์กายได้ดี”
อินเหิงตอบอย่างเฉยชา “ชมเกินไปแล้ว”
……….
[1] หมายถึง ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ไม่มีใครยอมใคร ตรงกับสำนวนไทย ขิงก็ราข่าก็แรง