ค้อนอันน่าสะพรึงกลัวที่หนักหลายร้อยจินฟาดไปที่ศีรษะเย่เฟิง มันทั้งว่องไวและแม่นยำ เพียงพริบตาก็ไปถึงตัวเย่เฟิง แต่เย่เฟิงใช้หอกัเงินประกายเข้าต่อต้านค้อนของหยวนป้าเทียน
“เคร้ง!” เสียงโลหะกระทบดังกังวาน ค้อนฟาดเข้าที่หอกัเงินประกายเต็ม ๆ พร้อมกับมีพลังสะท้อนกลับพวยพุ่ง ทว่านั่นก็ไม่อาจสั่นคลอนเย่เฟิงได้แม้แต่นิด ส่วนหยวนป้าเทียนกลับถอยหลังไปหนึ่งก้าวและรู้สึกชาที่แขน
“ตาย!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ จากนั้นแทงหอกออกไป พลันรังสีหอกกลายเป็ลำแสงแห่งการทำลายล้าง แล้วไปถึงตัวอีกฝ่ายในพริบตา
หยวนป้าเทียนเผยสีหน้าเย็นเยียบ ก่อนจะควงค้อนเข้าต่อต้านรังสีหอก และเป็อีกหนึ่งการปะทะที่หยวนป้าเทียนต้องเซถอยหลังไปอีกครั้ง
“เขาแข็งแกร่งเพียงนี้เชียวหรือ!” เมิ่งยวี่ฉิงอุทานด้วยความใพลางกะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองเย่เฟิงขั้นรวมชี่ที่ 5 ที่เพิ่งเปิดฉากต่อสู้กับหยวนป้าเทียน
“อยากได้ผลึกิญญา แต่ดูเหมือนพลังของเ้าจะยังไม่พอ!” เย่เฟิงแสยะยิ้ม ก่อนจะแทงหอกออกไปอย่างต่อเนื่อง ทุกหอกล้วนว่องไวและร้ายกาจ บัดนี้ความรู้ที่เย่เฟิงมีต่อหอกถือได้ว่าถึงระดับเชี่ยวชาญ ในรังสีหอกล้วนผสานด้วยอำนาจหอกขั้นผันแปร พลังจึงทวีคูณเป็เท่าตัว
“ทักษะหอกแปลกพิลึกมาก อำนาจหอกของเขาถึงขั้นผันแปรแล้ว มิน่าเขาถึงกำราบปีศาจพิภพงูั์ระดับสองได้ในหอกเดียว!” เมิ่งยวี่ฉิงคิดในใจ ทักษะหอกที่เย่เฟิงสำแดงมันน่าทึ่งเป็อย่างมาก ก่อนหน้าที่จะเจอเย่เฟิง นางเคยเจอผู้ใช้หอกมาหลายคน แต่ในขั้นรวมชี่ นางยังไม่เคยเจอคนไหนที่มีความรู้ต่อหอกเท่าเย่เฟิงมาก่อน
“หากมีพวกข้าด้วยล่ะ?” เมื่อสิ้นเสียงเย่เฟิง จู่ ๆ พวกม่อหลี่ก็กล่าวเช่นนั้น หมายเข้าร่วมศึกนี้ด้วย จากนั้นพวกเขาสำแดงพลังโจมตีของตนเข้าปิดล้อมเย่เฟิง
“สี่คนรังแกข้าคนเดียว ช่างต่ำทรามยิ่งนัก!” เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ ก่อนจะใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหลีกการโจมตีที่พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างต่อเนื่อง
“หอกดุจั!” เมื่อเย่เฟิงตั้งหลักได้ก็แผดเสียงะโอย่างเกรี้ยวกราด หอกราวกับแปรเปลี่ยนเป็เทพั ทั้งยังส่งเสียงคำรามดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน
ม่อหลี่ ชิงเหยียน และชายผอมบางต่างหน้าถอดสี เพราะหอกของเย่เฟิงเล็งเป้ามาที่พวกเขา จากนั้นพวกเขาสำแดงพลังของตนเข้าต่อต้าน แต่หอกนี้ของเย่เฟิงแกร่งเกินไป จึงทำลายการป้องกันของทั้งสามคนได้ในพริบตาก่อนจะมีสายลมพัดกระโชก พัดพวกเขาทั้งสามถอยหลังสีหน้าก็ยังบูดเบี้ยว
“ตาย!” อีกด้านหนึ่ง การโจมตีของหยวนป้าเทียนก็มาถึงแล้ว ค้อนฟาดมาที่ศีรษะเย่เฟิง แต่เย่เฟิงเบี่ยงศีรษะหลบ ก่อนจะวาดฝ่ามือที่ผสานด้วยพลังหอกจู่โจมหยวนป้าเทียน เมื่อพลังฝ่ามือและพลังหอกผสมผสาน อานุภาพของมันจึงทวีคูณ ทั้งว่องไวและเฉียบคมจนยากที่จะต่อต้านได้
หยวนป้าเทียนยกมือขึ้นป้อง ก่อนพลังฝ่ามือทั้งสองจะเข้าปะทะกัน แต่หยวนป้าเทียนกระเด็นถอยหลัง อวัยวะภายในต้องสั่นคลอน
“สวะ เ้ายังไม่ตายอีกหรือ!” ม่อหลี่กล่าว จากนั้นกวัดแกว่งดาบ ตัวดาบนั้นเปล่งแสงสว่างจ้า คล้ายฟันทุกสิ่งให้ขาดเป็สองท่อนได้
“ไปให้พ้น!” เย่เฟิงแผดเสียงะโ จากนั้นควงหอกัเงินประกายประหนึ่งไม้กระบอง ก่อนจะทำลายทุกอย่างในพริบตา นาทีต่อมาได้ยินเสียงดังปัง ม่อหลี่ถูกการโจมตีของเย่เฟิงเข้าเต็มแรงจนตัวบิดงอพร้อมกระเด็นออกไป แล้วกระอักเื ในขณะเดียวกันเย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหนีออกไปด้วยความเร็วดุจสายลม
เขาอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 5 ต่อให้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่การที่เขาเจอศัตรูสี่รุมหนึ่ง อีกอย่างศัตรูยังมีขั้นพลังสูงกว่าเขา หากเป็เช่นนี้ต่อไป เขาต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงใช้พลังหยวนที่ยังไม่เคยผลาญหนีออกไปจากที่นี่
“ตาม!” หยวนป้าเทียนเผยสีหน้าไม่สู้ดี พวกเขาสี่คนร่วมมือกัน ไม่เพียงแต่จับตัวเย่เฟิงไม่ได้ แต่สองในสี่คนยังเสียเปรียบให้เย่เฟิงอีก สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็เื่ที่น่าอับอายมาก จากนั้นทั้งสี่คนสำแดงเคล็ดวิชาท่าร่างของตนไล่ตามเย่เฟิงไปด้วยความเร็วสูงสุด
เมิ่งยวี่ฉิงกะพริบตาปริบ ๆ นางรู้สึกใมาก พวกหยวนป้าเทียนร่วมมือกันและไม่คิดจะปล่อยเย่เฟิงไป แต่นางไม่รู้ว่าพลังของเย่เฟิงจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน จากนั้นนางใช้ท่าร่างไล่ตามไป นางไม่คิดจะลงมือจัดการเย่เฟิง เพียงแต่สังเกตการณ์อยู่เฉย ๆ ว่าเย่เฟิงจะรอดจากเงื้อมมือของพวกหยวนป้าเทียนไปได้หรือไม่
พวกหยวนป้าเทียนไล่ตามอย่างสุดกำลังกระทั่งพยายามสุดชีวิต แต่เงาร่างเย่เฟิงที่อยู่ข้างหน้ากลับออกห่างไกลขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำไมหมอนี่มันเร็วได้ขนาดนี้!” หยวนป้าเทียนเผยสีหน้าดูไม่ได้
ส่วนเย่เฟิงที่อยู่ข้างหน้าเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่นานพวกหยวนป้าเทียนก็ตามไม่ทัน เงาร่างเย่เฟิงหายไปจากสายตาของพวกเขา
“เขาหนีไปได้!” ม่อหลี่เผยสีหน้าไม่สู้ดี
“แดนชิงอวิ๋น อาณาจักรจ้าว ข้าก็อยากเห็นนักว่าเ้าจะรอดจากเงื้อมมือของข้าไปได้อย่างไร!” หยวนป้าเทียนกล่าวพร้อมแสงเยือกเย็นปะทุออกจากดวงตา และการที่เย่เฟิงได้ผลึกิญญาไปครองก็ยิ่งทำให้เขาอยากฆ่าเย่เฟิง ไม่ว่าอย่างไรเขาหยวนป้าเทียนจะไม่มีวันปล่อยให้เย่เฟิงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ด้วยความเร็วย่างก้าวดาวตกผีเสื้อระดับสามของเย่เฟิง แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ก็มิอาจไล่ตามเขาทัน แล้วนับประสาอะไรกับพวกหยวนป้าเทียน
หลายชั่วยามต่อมา เย่เฟิงกลับมาที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปยังหอวิชาชั้นที่สี่ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนผ่านค่ายกลนั้น
ครึ่งชั่วยามให้หลัง พวกหยวนป้าเทียนยังไม่ลดละความพยายาม จนกระทั่งตามมาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ?” หยวนป้าเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางครุ่นคิด จากนั้นพวกเขาพยายามเปิดค่ายกลนี้ แต่ค่ายกลกลับไม่ตอบสนอง ทำได้เพียงรามือ แต่นามว่าเย่เฟิงจะสลักลึกในใจของพวกเขา เพราะเขาทำให้พวกเขาเกลียดเข้ากระดูกดำ
เมื่อกลับมาถึงหอวิชาชั้นที่สี่ ก็เป็เวลาที่เย่เฟิงออกจากภัตตาคารเฟิ่งไหลในคืนที่สอง ซึ่งเย่เฟิงไม่รีบร้อนที่จะกลั่นผลึกิญญา เพราะเวลาหนึ่งคืนยังไม่มากพอ คืนนี้เย่เฟิงเพียงฟื้นฟูพลังหยวนให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดเท่านั้น
ครั้งนี้เย่เฟิงได้ััโลกที่อยู่นอกอาณาจักรจ้าว แม้จะเป็เทือกเขาที่ไร้ผู้คน แต่ก็ทำให้สภาพจิตใจของเย่เฟิงเปลี่ยนไป
วันที่สอง เย่เฟิงออกจากการบำเพ็ญตบะ แต่เขาก็ไม่ลืมงานเลี้ยงราชวงศ์ที่องค์หญิงจ้าวซินอี๋เชิญเขาเข้าร่วม เขาจึงออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ไปยังประตูทิศเหนือของวังหลวง ประมาณหนึ่งชั่วยามผ่านไป เย่เฟิงก็มาถึงหน้าประตูทิศเหนือ
“ใช่คุณชายเย่เฟิงหรือไม่?” ขณะนั้นมีนางกำนัลในชุดกงจวง[1] เดินมาหาเย่เฟิง ก่อนจะเอ่ยถามเย่เฟิงด้วยรอยยิ้มหวาน
“ใช่” เย่เฟิงกล่าว
“องค์หญิงคอยนานแล้ว เชิญคุณชายเย่ตามข้ามา” นางกำนัลผู้นั้นกล่าวพลางยิ้ม จากนั้นเย่เฟิงก็ตามนางกำนัลเข้าวังหลวง
ภายในวังหลวงกว้างใหญ่โอ่อ่า อาคารก่อสร้างอลังการ ทั้งยังมีตำหนักมากมาย เย่เฟิงเดินเข้ามาข้างในวังหลวงก็ราวกับได้กลิ่นความน่าเกรงขามของราชวงศ์นั้น
“วังหลวงยิ่งใหญ่จริง ๆ แล้วดูเหมือนจะไม่เล็กไปกว่าเมืองโยวโจวเลย” เย่เฟิงคิดในใจขณะมองอาคารก่อสร้างรอบ ๆ เขาพบว่าภายในวังหลวงไม่เพียงแต่กว้างใหญ่โอ่อ่า แต่การรักษาความปลอดภัยยังเข้มงวดมากด้วย ทหารยามรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น และทหารยามที่ธรรมดาที่สุดก็อยู่ขั้นรวมชี่ ส่วนระดับผู้บัญชาการส่วนใหญ่เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ มู่เยี่ยนผู้นั้นใช้พลังจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ในการครองตำแหน่งผู้บังคับบัญชาองครักษ์หลวง จึงเป็ความภาคภูมิใจของตระกูลมู่
“คุณชายเย่มาวังหลวงเป็ครั้งแรกหรือ?” นางกำนัลเอ่ยถามเย่เฟิง
“ใช่ องค์หญิงรอข้าอยู่ที่ใด?” เย่เฟิงพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถามเช่นนั้น
“ตำหนักซินอี๋” นางกำนัลตอบกลับ
“ตำหนักซินอี๋?” เย่เฟิงได้ยินชื่อนี้ก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวต่อ
“เป็เรือนพักขององค์หญิงหรือ?”
“อืม” นางกำนัลพยักหน้า และกล่าวต่อว่า “คุณชายเย่เป็ผู้ชายคนแรกที่องค์หญิงอนุญาตให้เขาตำหนัก”
เมื่อกล่าวจบ นางกำนัลก็มองเย่เฟิงด้วยสายตาอบอุ่น
“เอ่อ...” เย่เฟิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อััได้ถึงสายตาของนางกำนัลคนนั้น
ระหว่างนั้นทั้งสองเดินผ่านตำหนักหลายหลัง จนในที่สุดก็ปรากฏตำหนักที่เงียบสงบและสวยงดงามขึ้นตรงหน้าเย่เฟิง
ตำหนักแห่งนี้มีเนื้อที่กว้างขวาง ภายในนั้นมีตำหนักหลัก และเรือนพักอีกสองหลัง ทั้งยังมีแผ่นป้ายลวดลายัและหงส์ที่สลักคำว่าตำหนักซินอี๋แขวนอยู่เหนือประตูใหญ่นอกตำหนัก
“คุณชายเย่ ที่นี่ก็คือตำหนักซินอี๋ขององค์หญิง องค์หญิงรออยู่ด้านใน บ่าวขอตัวลา” นางกำนัลคนนั้นโค้งตัวเล็กน้อยให้เย่เฟิงก่อนจะถอยหลังออกไปจากที่นี่ หลังจากนางกำนัลออกไป เย่เฟิงก็ผลักประตูใหญ่ของตำหนักซินอี๋เข้าไป
“หยุดนะ!” แต่จู่ ๆ มีเสียงเย็นเยือกดังมาจากด้านหลังของเย่เฟิง เย่เฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองแล้วเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย
“เ้านี่เอง”
ผู้มาก็คือมู่เยี่ยน
“เ้ามาที่นี่ได้ยังไง? เ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่คือตำหนักขององค์หญิง? องค์หญิงคือผู้สูงศักดิ์ ตำหนักซินอี๋ไม่อนุญาตให้ชายใดเข้าไป แต่เ้ากลับบุกรุกเข้ามา ข้าจะลงโทษโดยการตัดหัวเ้าเสีย!” มู่เยี่ยนกล่าวเสียงเย็น เขาไม่สนว่าเย่เฟิงมาที่วังหลวงได้อย่างไร แต่การบุกรุกตำหนักซินอี๋มีโทษต้องตายสถานเดียว
“องค์หญิงเชิญข้ามา แล้วเ้ามีสิทธิ์อะไรมาลงโทษข้า?” เย่เฟิงกล่าว
“เ้าคิดว่าเ้าเป็ใคร องค์หญิงจะเชิญเ้ามาทำไม? หากกุเื่ขึ้นละก็ ดูซิว่าจะเกิดขึ้นจริงไหม” มู่เยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม คิดว่าเย่เฟิงมีเจตนาไม่ดี
—----------------------------------
[1] ชุดกงจวง ชุดหม่าง หรือชุดฝ่ายใน ลักษณะเป็ชุดยาวลงมา ไม่แยกเสื้อกับกระโปรง คอเสื้อกลม มีกรองคอ กระโปรงทำเป็ริ้วสามชั้น
