มันคืออสูรน้ำชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายกับปลา หัวของมันมีขนาดที่ใหญ่โตยิ่งกว่าลำตัวของมันเสียอีก อีกทั้งทั่วทั้งร่างยังถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีดำสนิท และปากของมันก็ใหญ่เท่ากับใบหน้าของมนุษย์ นอกจากนี้มันยังมีพลังปราณธาตุมืดไหลเวียนอยู่ภายในร่างอีกด้วย
มันคือมัจฉาทมิฬ! เป็อสูรน้ำชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับจื่อฝู่ ทว่าพวกมันมักจะอาศัยอยู่รวมกันเป็กลุ่ม
“นั่นมันตัวอะไร!"
“มันคือมัจฉาทมิฬ! ให้ตายเถอะ คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะเลี้ยงมัจฉาทมิฬเอาไว้!”
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ ต่างก็หยุดชะงัก ไม่มีใครกล้ากระโจนลงทะเลสาบเลยสักคน พวกเขามองดูพวกมัจฉาเ่าั้ลากดึงผู้เคราะห์ร้ายลงไปใต้น้ำด้วยสีหน้าสยดสยอง
“อ๊าก…!”
ชายผู้หนึ่งถูกมัจฉาทมิฬลากลงน้ำ เขาจึงตบฝ่ามือใส่มัจฉาทมิฬที่กัดเขาจนตาย แต่ฝูงมัจฉาทมิฬจำนวนมากก็เข้ามารุมกัดร่างของเขาทันที ทำให้ร่างของอีกฝ่ายถูกฉีกกระชากจนกลายเป็เศษเนื้อ ผิวน้ำบริเวณนั้นถูกย้อมด้วยเืของเขาจนกลายเป็สีแดงฉาน
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์นับร้อยคนที่ลงทะเลสาปไป เวลานี้เหลือเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น เนื่องจากพวกเขารีบกลับเข้าฝั่งเสียก่อนจึงสามารถรอดมาได้ ส่วนคนที่เหลือล้วนถูกฝังอยู่ในท้องของเหล่ามัจฉาไปแล้ว
เมื่อกลุ่มคนที่รอดกลับมาหันกลับไปมองฝูงมัจฉาทมิฬในทะเลสาป ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลงทันที อีกทั้งยังรู้สึกว่าแข้งขาอ่อนแรงลงเล็กน้อย
“พี่หญิง…”
เมื่อเห็นฉากนี้สีหน้าของข่งเซวียนเอ๋อร์ก็ซีดเผือดลง นางกอดแขนของข่งย่วนแน่น แต่สีหน้าของข่งย่วนกลับยังคงเรียบเฉยไร้ซึ่งความหวาดกลัว
หลังจากได้เห็นความดุร้ายของมัจฉาทมิฬ ผู้ฝึกยุทธ์แต่ละคนที่เตรียมจะเคลื่อนไหวก็พลันชะงักฝีเท้า สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความกลัวและความลังเล
“คิดว่าฝูงมัจฉาพวกนี้จะขวางข้าได้หรือ”
เว่ยอี้อวิ๋นตวาดอย่างเ็า เขาถือกระบี่เล่มยาวเอาไว้ในมือ พร้อมกับกระโจนร่างไปทางทะเลสาบด้วยการะโเพียงครั้งเดียวทันที ร่างของเขาทะยานออกไปไกลหลายสิบเมตร ซึ่งเกือบจะถึงครึ่งทางของทะเลสาปที่ใช้ข้ามไปยังอีกฝั่งแล้ว ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะร่อนลงบนเสาหินต้นหนึ่ง
พรึ่บ!
มัจฉาทมิฬสามตัวกระโจนขึ้นมาจากน้ำหมายจะกัดร่างของเว่ยอี้อวิ๋นโดยพลัน ชายหนุ่มจึงรวบรวมพลังกังหยวนมาที่ฝ่ามือและปล่อยปราณดาบออกมา
ปัง! ปัง!
ปราณดาบสีครามจากพลังกังหยวนทั้งสองสายพุ่งไปโจมตีที่กลางหลังของมัจฉาทมิฬสองตัว ความคมกริบของมันสามารถเจาะทะลวงเกล็ดแข็งของพวกอสูรได้อย่างง่ายดาย ทำให้ร่างของพวกมันถูกผ่าออกเป็สองส่วน
ยังเหลือมัจฉาทมิฬอีกตัวที่กำลังจะพุ่งเข้ามากัดเท้าของเว่ยอี้อวิ๋น ชายหนุ่มจึงส่งพลังกังหยวนไปยังฝ่าเท้า ก่อนจะยกเท้ากระทืบหัวของมัจฉาทมิฬตัวนั้นอย่างแรง
ปัง!
เมื่อเขาะเิพลังฝ่าเท้าออกมา หัวของมัจฉาทมิฬตัวนั้นก็กลายเป็เศษเนื้อไปทันที หลังจากนั้นเว่ยอี้อวิ๋นก็อาศัยพละกำลังของเขาทะยานร่างออกไปอีกหลายสิบเมตร จนในที่สุดเขาก็สามารถข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาปและสามารถเดินไปยังเส้นทางอื่นต่อได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่าอุปสรรคในการข้ามทะเลสาปหนึ่งร้อยเมตรนี้เปรียบเสมือนการละเล่นเพียงเล็กน้อยสำหรับเขา
“ฮ่าๆ ข้ามาแล้ว”
โจวเหวินเฉวียนหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาทะยานร่างไปยังทะเลสาปอย่างรวดเร็ว เมื่อเหล่ามัจฉาทมิฬเห็นดังนั้นก็พุ่งกระโจนเข้าหาเขาซึ่งเป็เป้าหมายต่อไปทันที
โจวเหวินเฉวียนจึงปล่อยพลังหมัดสีทองโจมตีเหล่ามัจฉาทมิฬที่กระโจนเข้ามา และเขาก็สามารถกำจัดตัวปัญหาเ่าั้ไปได้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากร่างกายของเขามีเกราะพลังกังหยวนคอยปกป้องอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่มีความกังวลแต่อย่างใด ชายหนุ่มทะยานร่างไปยังเสาถัดไปพร้อมกับกำจัดเหล่ามัจฉาทมิฬที่น่ารำคาญไปด้วย หลังจากเขาะโข้ามเสาไปสี่ครั้ง ในที่สุดเขาก็สามารถข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นหยางฉานในชุดคลุมสีครามที่ถือกระบี่โบราณเอาไว้ในมือก็กระโจนร่างตามไปทันที แค่การะโเพียงครั้งเดียวนางก็สามารถทะยานร่างออกไปได้ไกลหลายสิบเมตร ชั่วพริบตาก่อนที่นางจะร่อนตัวลง พลังกังหยวนก็ถูกควบแน่นให้กลายเป็ปีกผีเสื้ออยู่กลางหลังของนาง และด้วยการกระพือปีกเพียงหนึ่งครั้ง ร่างที่กำลังจะร่อนลงก็ทะยานขึ้นไปบนกลางอากาศทันที โดยที่ร่างของนางยังพุ่งไปไกลกว่าหลายสิบเมตรอีกด้วย จากนั้นปีกนั่นก็สลายหายไป ส่วนร่างของนางก็ร่อนลงบนพื้นดินอีกฝั่งได้อย่างมั่นคงด้วยความว่องไวอันยอดเยี่ยม
“คิดไม่ถึงเลยว่าหยางฉานจะฝึกฝนก้าวเดินกระพือปีกจนบรรลุระดับสมบูรณ์แล้ว”
เหล่าบัณฑิตจากสำนักศึกษาเทียนอวิ่นอุทานออกมาเมื่อพวกเขาได้เห็นภาพนั้น
ก้าวเดินกระพือปีกเป็ทักษะร่างกายระดับนิลกาฬขั้นต่ำของตระกูลหยาง หากสามารถฝึกฝนจนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้ก็จะสามารถควบแน่นพลังให้กลายเป็ปีกขึ้นมาได้ ซึ่งทักษะร่างกายนี้ช่วยให้สามารถลอยอยู่อากาศได้ระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากการที่จะแสดงทักษะร่างกายนี้ออกมา จำเป็ต้องสิ้นเปลืองพลังปราณไปค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงทำให้บินอยู่ได้ไม่นานนัก
แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับหยานตานนั้นสามารถใช้พลังออกมาได้อย่างไม่มีจำกัด ดังนั้นต่อให้ต้องบินในระยะทางเป็พันเป็หมื่นลี้ก็ไม่เป็ปัญหาสำหรับพวกเขา
จากนั้นเหล่าบัณฑิตสายในคนอื่นๆ ต่างก็แสดงทักษะร่างกายของตัวเองออกมาเช่นกัน ทำให้พวกเขาสามารถข้ามทะเลสาปไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างปลอดภัย
ส่วนข่งย่วนก็ใช้มือข้างหนึ่งประคองข่งเซวียนเอ๋อร์เอาไว้ ก่อนที่คนทั้งสองจะกระโจนร่างออกไป เหล่ามัจฉาทมิฬต่างก็รีบทะยานขึ้นมาหมายจะกัดร่างของพวกนางทันที ข่งย่วนจึงส่งพลังกังหยวนสีแดงออกไปโจมตีพวกมัน ทำให้ไม่มีมัจฉาทมิฬตัวใดสามารถเข้าใกล้พวกนางได้ และสตรีทั้งสองก็สามารถข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งได้อย่างปลอดภัยในที่สุด
ในบรรดาคนหลายพันคนเหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมมียอดฝีมือระดับหนิงกังอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ละคนต่างก็แสดงความสามารถของตัวเองออกมาทำให้สามารถข้ามไปยังอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่นั้นจำเป็ต้องเพิ่มความระวังให้มากขึ้น หากว่าไม่โชคร้ายจนเกินไปก็ยังสามารถข้ามฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย
มู่เฟิงกระโจนร่างออกไกลกว่าสิบเมตร เท้าของเขาเหยียบลงบนเสาหินต้นหนึ่ง ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ปะทุออกมาจากใต้ฝ่าเท้า ทำให้เขาสามารถทะยานร่างไปได้ไกลเกือบยี่สิบเมตร
ฉึก...!
ทันใดนั้นมัจฉาทมิฬตัวหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาหมายจะกัดมู่เฟิง เด็กหนุ่มจึงชักดาบบนหลังออกมาทันใด และเพียงแค่เขาตวัดดาบออกไป ลำแสงอันเย็นะเืสายหนึ่งก็พุ่งตัดร่างของมันจนขาดออกเป็สองส่วน จากนั้นเด็กหนุ่มก็ทะยานร่างไปยังเสาถัดไปทันที หลังจากเขาลงมือสังหารมัจฉาทมิฬเพิ่มอีกสองตัว ในที่สุดเขาก็ข้ามไปถึงฝั่งตรงข้ามได้อย่างปลอดภัย เขาจึงเก็บดาบกลับเข้าฝัก
วิธีการการข้ามฝั่งของมู่เฟิงนั้นถือว่าธรรมดาเป็อย่างมาก มันจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใคร
เวลานี้ผู้คนเริ่มทยอยข้ามฝั่งมาได้แล้ว แต่ยังมีคนส่วนหนึ่งที่ไม่กล้าข้ามมา คาดว่าทะเลสาปแห่งนี้คงสามารถปิดกั้นผู้คนได้ราวหนึ่งส่วนสามของผู้คนทั้งหมด ในจำนวนคนหนึ่งพันคนมีหลายร้อยคนต้องจบชีวิตลงเพราะมัจฉาทมิฬ และตอนนี้น้ำในทะเลสาปก็ได้กลายเป็สีแดงฉานไปหมดแล้ว นอกจากนี้ยังมีอวัยวะบางส่วนรวมถึงเครื่องในของมนุษย์ลอยอยู่บนผิวน้ำอีกด้วย ดูแล้วเป็ภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
อีกฟากหนึ่งของทะเลสาปมีเส้นทางให้เลือกหลายสิบทาง โดยแต่ละเส้นทางก็มีคนเข้าไปแล้วทั้งสิ้น มู่เฟิงมองไปยังเส้นทางที่กลุ่มของข่งย่วนเดินเข้าไป เด็กหนุ่มเกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้เลือกไปยังเส้นทางเดียวกันกับอีกฝ่าย เขาเลือกเดินตามคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปยังเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งแทน
เส้นทางที่เขาเลือกนี้ไม่รู้ว่ามันจะมีระยะทางที่ไกลเพียงใดและจะเขาเข้าไปลึกแค่ไหน ในเส้นทางแห่งนี้มู่เฟิงเดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มคนเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน และทุกคนล้วนเดินไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังเป็อย่างยิ่ง
ขณะที่มู่เฟิงกำลังเดินอยู่ตรงกลางกลุ่มคน ทันใดนั้นทุกคนก็พลันหยุดชะงักและเหลือบตามองไปข้างหน้าด้วยความสยดสยอง
เบื้องหน้าคือกองกระดูกขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็คือโครงกระดูกของมนุษย์
โครงกระดูกเ่าั้มีสีขาวเทา เห็นได้ชัดว่าตายมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งยังมีอยู่เป็จำนวนมาก ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องมาตายอยู่ในทางเดินแห่งนี้
หลังจากเห็นภาพนี้แล้วก็ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้าอีก ทุกคนต่างก็หันมามองหน้ากันเอง
มู่เฟิงขมวดคิ้วมุ่น เขาเดินไปข้างหน้าและคอยสังเกตทางเดินอย่างระมัดระวัง เพียงไม่นานเขาก็เห็นว่าบนพื้นมีการสลักลายเส้นเอาไว้ องค์ประกอบของแผนภาพลายเส้นเหล่านี้ดูแปลกตามากทีเดียว
“เป็ค่ายกลกับดักอย่างนั้นหรือ?”
มู่เฟิงหรี่ตาลง พิจารณามองลายเส้นที่ถูกสลักลงบนพื้นอย่างถี่ถ้วน
ทันใดนั้นก็มีคนขว้างก้อนหินออกไปเพื่อสำรวจทางเดินข้างหน้า แต่ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอันใดเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมีคนกล้าก้าวออกไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างใจเย็น จากนั้นก็เริ่มมีหลายคนถือดาบและกระบี่ก้าวตามไปอย่างระมัดระวัง กระทั่งก้าวเข้าไปถึงค่ายกล
ส่วนมู่เฟิงยังคงสังเกตลายเส้นของค่ายกลนั้นอยู่ในตำแหน่งเดิม ไม่ได้ก้าวออกไปข้างหน้าตามพวกเขา
“ไม่มีอะไรหรอก ทุกคนตามมาเร็ว”
หลังจากเดินไปถึงกองกระดูกเ่าั้และไม่พบสิ่งผิดปกติใด ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งก็ะโขึ้น เมื่อทุกคนเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็รีบทยอยตามไปทันที
ตู้ม…!
ทันใดนั้นเอง เมื่อชายคนหนึ่งก้าวเข้าไปเหยียบลายเส้นค่ายกลในตำแหน่งหนึ่งเข้า พื้นดินในบริเวณนั้นก็ยุบตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะมีเสียงะเิดังสนั่นขึ้น
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เหนือช่องทางเดินมีใบมีดที่มีความยาวหลายเมตรพุ่งขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็ว
“อ๊าก...!”
หลังจากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับว่าไม่มีทางที่จะหยุดได้ มีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนถูกใบมีดเ่าั้แทงร่างขึ้นมาจากพื้นจนปลายมีดทะลุออกมาจากลำคอของพวกเขา และเืก็ไหลทะลักออกมาอย่างหนัก เป็สภาพการตายที่น่าสยดสยองและอเนจอนาถเป็อย่างยิ่ง
และใบมีดอันแหลมคมที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นก็ทำให้ผู้คนจำนวนหลายสิบคนต้องจบชีวิตลง พร้อมกับเสียงหวีดร้องโหยหวนที่ดังก้องไปทั่วทางเดิน