“น่ารำคาญมากกว่ายามปกติเสียอีก” เลี่ยวจือหย่วนยืนพิงขอบหน้าต่างพลางมองเกาเจวี๋ยด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทีโมโหราว “มีคนติดหนี้เขาหนึ่งหมื่นตำลึง” เมื่อนึกอีกครา คล้ายตนจะติดหนี้ค่าเหล้าเขาหนึ่งร้อยตำลึงจริง ๆ ... เลี่ยวจือหย่วนกลอกตา ก่อนมองเกาเจวี๋ยด้วยสายตาหวาดกลัวพลางคิดในใจ ‘ซวยแล้ว เขาคงไม่ได้มาคิดบัญชีกระมัง? ท่านเกา พวกเราทุกคนต่างเป็สหายที่ดีต่อกันโดยไม่ต้องสาบาน ไม่จำเป็ต้องทำบัญชีชัดเจนเพียงนั้นก็ได้กระมัง?’
เกาเจวี๋ยไม่รอให้เลี่ยวจือหย่วนวิจารณ์ต่อ ไหเหล้าเปล่าในมือของเขาพลันลอยเฉียดใบหูอีกฝ่าย ก่อนตกลงพื้นแตกเป็เสี่ยง ๆ พร้อมเสียง “เพล้ง” ดังก้องเรือน
เลี่ยวจือหย่วนลูบใบหูที่ปวดจนร้อนผ่าว พลางะโอย่างเดือดดาล “เวรเอ๊ย ลาเหยียบสมองเ้าไปแล้วหรืออย่างไร? โยนไหเหล้าแค่นี้ก็ต้องใช้กำลังภายใน ลมปราณเจินชี่ของเ้าเหลือใช้นักหรือฮะ?” แม้เขา้าทวงหนี้ค่าเหล้าหนึ่งร้อยตำลึงก็ควรนั่งเจรจากันดี ๆ เหตุใดจึงหยาบคายไร้มารยาทเพียงนี้? จะว่าไปตอนนี้เงินในมือตนก็เหลือน้อยเต็มที อย่างไรก็คงต้องขอความช่วยเหลือจากเขา...
เมื่อเลี่ยวจือหย่วนคิดได้ดังนั้นก็กระแอมไอ เอ่ยเสียงหวาน “น้องเกา เมื่อวานข้าได้รับข่าวจากเก๋อจู่ว่าเ้าทำภารกิจที่เมืองหยางโจวเสร็จสิ้นแล้ว เก๋อจู่พอใจมาก เอ่ยชมเชยเ้าเป็การใหญ่ ข้าอ่านไปยิ้มไปจนปากจะฉีกถึงรูหู อ้อ จริงสิ ในจดหมายยังมีรายชื่อคนที่เ้าต้องจัดการในเดือนหน้าอีก ตอนนี้เ้าอารมณ์ไม่ดี เช่นนั้นข้าจะอ่านให้ฟังแล้วกัน”
“พ่อค้าอัญมณีนามจินต้าฉง อายุห้าสิบสี่ปี คนเมืองเฟิงหยาง ลักษณะเฉพาะคือปลายจมูกมีไฝสีดำ มีภาพวาดเสมือนแนบมาหนึ่งแผ่น... หัวหน้าหน่วยคุ้มกันต้าเตี่ยวนามสวี่ซานเตี่ยว อายุสี่สิบเก้าปี คนเมืองไหวอัน มีภาพเหมือนแนบมาหนึ่งแผ่น... หม่าเหยาจู่...” เลี่ยวจือหย่วนอ่าน “รายชื่อคนที่ต้องจัดการ” ด้วยน้ำเสียงสูงต่ำแสนไพเราะเสมือนอ่าน “รายชื่อตัวละคร” ในนิยายก็ไม่ปาน
ในที่สุดเลี่ยวจือหย่วนก็อ่านรายชื่อเสร็จแล้ว บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ไม่นานเลี่ยวจือหย่วนก็เอ่ยถามด้วยใบหน้าเหยเก “น้องเกา ได้ยินว่าเดือนนี้เ้ามีวันหยุดยาวสิบสองวัน มีแผนการไปท่องเที่ยวที่ใด?”
“...” แผ่นหลังของผู้ที่หันหน้าเข้ากำแพงนิ่งไม่ไหวติง ราวเข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว
เลี่ยวจือหย่วนยังคงหน้าหนาเอ่ยต่อ “วันนี้อากาศช่างหนาวเสียจริง ได้ยินว่าแคว้นทางเหนือหิมะแรกตกแล้ว จุ๊ ๆ คงจะสวยน่าดู...เอ่อ ก็เหมือนสาวงาม จริงสิ หากเ้าเห็นทิวทัศน์ที่งดงามก็จะนึกถึงสตรีที่งดงามที่สุดที่เ้าเคยพบเจอ น้องเกาก็รู้ เมืองอิ้งเทียนของพวกเราอยู่ทางใต้ แม้จะเป็ฤดูหนาวทว่าหิมะก็ตกน้อยนัก ตกไม่นานก็ละลายเสียแล้ว เดินออกจากประตูเมื่อใดก็มีแต่โคลนเปรอะเปื้อนรองเท้าบูตและเสื้อคลุมยาว ช่างน่ารำคาญจริง ๆ แต่หิมะทางเหนือนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง...”
ทันใดนั้นเกาเจวี๋ยก็ลุกขึ้นนั่ง ะโด้วยความรำคาญ “เ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูด พูดจบก็ไสหัวไป”
เสียงคำรามนั้นทำให้เลี่ยวจือหย่วนแข็งทื่อไปชั่วขณะ ทว่าเขาก็ไม่สนใจท่าทีดุร้ายของอีกฝ่าย พลันพุ่งเข้ามาข้างเตียง ใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยนเป็เศร้าหมอง เอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงแ่เบา “ข้ามีเื่อยากให้เ้าช่วยจัดการ เอ่อ...เป็เื่ส่วนตัวของข้า หากมอบหมายให้คนอื่นก็ไม่วางใจนัก ฉะนั้น...น้องเกา พี่เกา ข้าขอร้อง ช่วยน้องชายคนนี้ของเ้าด้วยเถิด”
“เื่อะไร?” เกาเจวี๋ยเอ่ยถามเ็า “ข้าเบื่อจะยุ่งเื่วุ่นวายเต็มที”
เลี่ยวจือหย่วนฝืนยิ้ม พยายามไม่สนใจท่าทีไม่เป็มิตรของอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยจริงจัง “มันเกี่ยวข้องกับน้องสาวข้า ตอนนี้นางตกอยู่ในอันตราย”
“เื่สตรีอีกแล้วหรือ? ไม่ต้องพูดแล้ว” เกาเจวี๋ยปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย “เอาล่ะ เมื่อพูดจบแล้วและไม่มีเื่อื่นอีกก็รีบไสหัวไปเสีย”
เลี่ยวจือหย่วนพยายามข่มอารมณ์อยากต่อยจมูกอีกฝ่ายไว้ แม้รู้ว่าเกาเจวี๋ยมีนิสัยแข็งกระด้าง ไม่ยุ่งเื่ชาวบ้าน แต่คิดไม่ถึงว่าไอ้เด็กแก่แดดผู้นี้จะไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดแม้แต่นิด โชคดีที่พวกเขาเป็พี่น้องที่ดีต่อกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำสาบาน เป็มิตรภาพบนปลายมีด เลี่ยวจือหย่วนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสริมอย่างไม่อาย “เ้าแซ่เกา เ้าจำไม่ได้หรือ? ปีที่พวกเราไปทำภารกิจที่เมืองเฟิงหยาง ต้องต่อสู้กับคนสวมหน้ากากกลุ่มหนึ่ง ข้ายอมรับมีดแทนเ้า เ้าไม่เข้าใจหรือว่าการตอบแทนบุญคุณคืออะไร? น้องเกา เ้าคิดให้ดี นี่คือท่าทีที่ควรปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณของเ้าหรือ?”
เกาเจวี๋ยแค่นเสียงเ็า “หลายปีมานี้ข้าช่วยเ้าไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง หากช่วยน้อยกว่านี้สักครั้ง เ้าคงไม่มีชีวิตมายืนพูดอยู่ตรงนี้ หากพูดถึงการตอบแทนบุญคุณก็สามารถนับด้วยนิ้วมือได้”
เลี่ยวจือหย่วนพุ่งไปกระชากคอเสื้อเกาเจวี๋ย โน้มประชิดใบหน้าตายด้านของอีกฝ่ายพลางกัดฟันเอ่ยถาม “เ้าคนแซ่เกา บอกข้า พวกเราเป็สหายกันหรือไม่? เมื่อสหายมีปัญหาควรจะช่วยเหลือหรือไม่?”
“สตรีของสหาย อย่าได้พูดให้เคืองหู” เกาเจวี๋ยเบือนหน้าหนี
เลี่ยวจือหย่วนทำตัวแทบไม่ถูก เขาทุบอกพลางกล่าว “ได้โปรดเถอะน้องข้า นางเป็น้องสาวแท้ ๆ ไม่ใช่สตรีของข้า”
“นางก็เป็สตรีเช่นเดียวกัน”
“เ้าแซ่เกา เห็นคนจะตายต่อหน้าแต่กลับไม่ช่วยเหลือหรือ?” เลี่ยวจือหย่วนยื่นคำขาด
บรรยากาศในห้องเงียบงันเป็เวลานาน เกาเจวี๋ยล้มตัวบนเตียงอีกครั้งก่อนเริ่มกรน เห็นได้ชัดว่า้าไล่แขก “เห็นคนจะตายต่อหน้าแต่กลับไม่ช่วยเหลือ” กระนั้นหรือ? เขากล่าวเช่นนี้กับตนเพียงเพราะ้าทวงบุญคุณเท่านั้น
เปรียบเสมือนหมากัดเม่นเสียจริง เอ่ยอะไรก็ไม่ได้ เลี่ยวจือหย่วนสูดหายใจแรง ใบหน้าพลันประดับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง เขาหยิบน้ำเต้าที่หวงแหนค่อย ๆ เปิดฝาขวด “หอมจริง ๆ …” ในฐานะที่ร่วมเป็ร่วมตายกันมาหลายครั้ง เขารู้ว่าจุดอ่อนของเกาเจวี๋ยอยู่ตรงไหน
จริงดังคาด เสียงกรนในห้องเงียบไปแล้ว
เลี่ยวจือหย่วนดีใจยิ่งนัก แต่ไม่กล้าแสดงสีหน้า เพียงยกน้ำเต้าขึ้นมาดมครู่หนึ่ง ความเคลิบเคลิ้มปรากฏชัดบนใบหน้า “ช่างหอมจริง ๆ เหล้านี้ผลิตในเมืองอิ้งเทียนเท่านั้น ยากจะได้ลิ้มลอง ไม่ว่าจะดมอย่างไรก็…หอมเหลือเกิน”
เกาเจวี๋ยลุกขึ้นทันทีพลางเหลือบมองขวดน้ำเต้าครู่หนึ่ง ก่อนประมาณการด้วยสายตา ในน้ำเต้ามีเหล้าไม่ถึงครึ่งอึกแต่ช่างหอมเสียจริง นี่มันเหล้าอะไรกัน เหตุใดตนไม่รู้จัก หรือเป็เพราะระยะห่าง? เกาเจวี๋ยถลึงตามองเลี่ยวจือหย่วนอย่างไม่พอใจ ก่อนเอ่ยต่อรอง “มีเพียงเท่านี้หรือ? ต่อให้เ้าขี้เหนียวเพียงใดก็ควรมีขีดจำกัด เอาเถอะ ส่งมาให้ข้าทดสอบสินค้าก่อน”
ติดกับแล้ว! เลี่ยวจือหย่วนดีใจจนอกแทบะเิ ก่อนกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย “นี่เป็ของรักของข้า ยามไม่สบายใจก็จะหยิบมาดม ผู้ใดบอกจะให้เ้ากัน!” เขาพูดจากใจ หากไม่ใช่เพราะน้องสาวของตนมักจะก่อเื่วุ่นวาย แม้แต่ผิวน้ำเต้าก็อย่าคิดจะได้ัั
ไม่ให้หรือ? ทันใดนั้นภาพของเกาเจวี๋ยก็เลือนราง ร่างของเขาพลันปรากฏเบื้องหน้าเลี่ยวจือหย่วนโดยไม่เตือนล่วงหน้า นิ้วชี้และนิ้วกลางมือซ้ายชี้ดวงตาของเลี่ยวจือหย่วน มือขวาคว้าน้ำเต้าขวดเล็ก ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เลี่ยวจือหย่วนคาดไม่ถึงว่าเกาเจวี๋ยจะหน้าไม่อายถึงเพียงนี้ เขาหลบเข้าด้านหลังด้วยความใ ทว่ามือขวาที่แย่งน้ำเต้านั้นประหนึ่งมีแรงดึงดูด เพียงััก็แย่งไปได้เสียแล้ว เลี่ยวจือหย่วนขัดขืนพักใหญ่ แต่ด้วยกลัวเหล้าที่เขาหวงแหนจะกระฉอกจึงทำได้เพียงปล่อยมือเท่านั้น
เกาเจวี๋ยกลับไปนั่งลงบนเตียงพลางยกน้ำเต้าขึ้นสูดดมครู่หนึ่ง ก่อนดื่มจนหมดในคราวเดียว น้ำเต้าขวดเล็กสีเหลืองทองเปรียบเสมือนชีวิตของตน “พรึ่บ” น้ำเต้าถูกโยนลงไปในพุ่มดอกไม้นอกหน้าต่าง เกาเจวี๋ยหาวหวอดพลันนอนลงบนเตียงเสียงดัง “ตึง” ไม่นานก็กรนอีกครั้ง
เลี่ยวจือหย่วนมองหัวขโมยที่นอนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาตะลึงงัน ‘คิดไม่ถึง...คิดไม่ถึงว่าเ้าหน้าตายด้านผู้นั้นจะดื่มเหล้าที่ตนหวงแหนหมดในอึกเดียว ตนขโมยมันมาด้วยความยากลำบาก...เฮ้อ ใช้แรงไม่น้อยกว่าจะได้มา ถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช้ตะเกียงไร้น้ำมัน หากไม่ใช่เพราะเข้าใจเสือตัวนี้อย่างลึกซึ้ง ตนจะกล้าถลกหนังมันได้อย่างไร?
“อร่อยมากใช่หรือไม่ แม้ข้าไม่ได้ลิ้มลองสักหยด แต่กลิ่นของมันก็ทำให้ข้าเคลิบเคลิ้มยิ่งนัก” เลี่ยวจือหย่วนถอนหายใจยาวเหยียด บ่นพึมพำด้วยความเศร้าใจ “ไม่มีน้ำเต้าแล้ว ข้าควรทำอย่างไรดี? หรือข้าจะไม่มีวันได้ดมกลิ่นเหล้าเช่นนี้อีกแล้ว?”
เกาเจวี๋ยนั้นยังไม่หลับ เหล้าที่เขาดื่มเมื่อครู่รสชาติดียิ่งนัก ‘เวรเอ๊ย เหตุใดจึงอร่อยเพียงนี้’ เกาเจวี๋ยคล้ายติดเชื้อเศร้าใจจากเลี่ยวจือหย่วนส่วนหนึ่ง ‘หรือนับแต่นี้ไปตนจะไม่ได้ดื่มเหล้าเช่นนี้อีก? หรือ...ตนจะไม่ได้เห็นแววตาสดใสคู่นั้นอีก?
“แต่ว่า...ช่างมันเถิด” เลี่ยวจือหย่วนเปลี่ยนน้ำเสียงกะทันหันก่อนเอ่ย “บ้านของข้ายังมีเหล้าดีซ่อนไว้อีกสองไห อืม...ชาติที่แล้วข้าคงสะสมบุญไว้เยอะเป็แน่ ชาตินี้จึงมีน้องสาวฉลาดเพียงนี้”
“สองไห?” เกาเจวี๋ยดีดตัวจับเลี่ยวจือหย่วนไว้ กำลังที่เขาใช้เกือบทำให้เลี่ยวจือหย่วนขาดอากาศหายใจ “อยู่ที่นี่หรือ?”
“ถูกต้อง” เลี่ยวจือหย่วนกะพริบตาปริบ ๆ
ครานี้เกาเจวี๋ยพลันมีท่าทีเฉลียวฉลาด เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ไหใบใหญ่เพียงใด?” หรืออีกนัยหนึ่งคือ ‘คงไม่ใช่ไหเหล้าใบเล็กกระจิริดกระมัง?’
เลี่ยวจือหย่วนทำมือเป็รูปวงกลมใหญ่กว่ามะม่วง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเป็ประกาย “ใหญ่เท่านี้”
“ข้าเอา” เกาเจวี๋ยสั่นแขนเสื้อเลี่ยวจือหย่วน ก่อนเอ่ยห้วน ๆ “เอามาให้ข้า” ยากที่คำอ้อนวอนเช่นนี้จะออกจากปากของเกาเจวี๋ย ปกติแล้วหากเกาเจวี๋ย้าสิ่งใดก็มักจะใช้กำลังยื้อแย่งเสมอ
เลี่ยวจือหย่วนผายมืออย่างจนปัญญา “เหล้านั้นไม่ได้อยู่ที่ข้า ข้ามีเพียงน้ำเต้าเล็ก ๆ แต่เ้าก็แย่งไปเสียแล้ว เหล้าทั้งหมดล้วนอยู่ในมือน้องสาวข้า เ้าไม่รู้อะไร สิ่งที่นางชอบที่สุดคือการซ่อนสิ่งของ ไม่ว่าจะซ่อนเงินทอง ซ่อนหยก ซ่อนหม้อ ซ่อนถ้วย ซ่อนเหล้า ซ่อนเนื้อ ของที่นางซ่อนไว้นั้นแม้แต่หมายังหาไม่เจอ ข้าเองก็อยากได้เหล้าเ่าั้แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ”
“เ้าแมวป่า เ้าหลอกข้าใช่หรือไม่?” เกาเจวี๋ยหรี่ตามองด้วยความสงสัย พิจารณาใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและไร้พิษภัยของเลี่ยวจือหย่วน
“อะไรกัน หรือเ้าไม่เชื่อสหายเก่าแก่เช่นข้า? ข้าพูดจริง ไม่ได้โกหก น้องข้าเป็ผู้หมักเหล้าเ่าั้ ใต้หล้านี้มีเพียงนางผู้เดียวที่หมักเหล้าเช่นนั้นได้” เลี่ยวจือหย่วนตบหน้าอกด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนเอ่ยรับรอง “ขอเพียงเ้าหาตัวน้องสาวของข้าให้พบ พานางกลับมาหาข้าโดยยังมีชีวิตและไม่มีรอยขีดข่วน ข้าจะให้นางหมักเหล้าสิบไหส่งไปขอบคุณเ้า”
“เ้าจะบอกว่าสตรีผู้นั้นหมักเหล้าได้กระนั้นหรือ?”
“ของแท้ราคาสมน้ำสมเนื้อ ไม่หลอกลวงใครทั้งนั้น เอาความน่าเชื่อถือของข้าเป็ประกันได้”
“เ้าไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย”
“เ้าหน้าตาย…” เลี่ยวจือหย่วนข่มไฟโทสะก่อนเอ่ย “แม้ครอบครัวข้าจะไม่ร่ำรวยและรุ่งโรจน์เท่าครอบครัวเ้า แต่ก็เป็จวนใหญ่ที่ทรงอิทธิพลในิจ้าวของเมืองหลวงเช่นเดียวกัน ครอบครัวของข้าอยู่ที่นั่น อยากหนีก็หนีได้แต่หลบซ่อนตัวตลอดไปไม่ได้ เ้ายังกลัวว่าข้าจะไม่ให้เหล้าแก่เ้าอีกหรือ?”
เกาเจวี๋ยเงียบงันครู่หนึ่ง พลางพิจารณาความเป็ไปได้ที่เ้าแมวป่าตัวนี้จะนำเหล้าหลบหนี ในที่สุด ก็เอ่ยปาก “พูดมาสิ สตรีโง่ผู้นั้นก่อเื่วุ่นวายอะไร? แม้แต่เ้าก็แก้ไขไม่ได้เชียวหรือ?”
ติดกับจนได้! เกาเจวี๋ยยอมยื่นมือช่วยเหลือ ตนก็วางใจได้ว่าชีวิตน้อย ๆ ของน้องสาวปลอดภัยแล้ว แม้เ้าหน้าตายเกาเจวี๋ยจะเ็า ไม่เห็นผู้ใดในสายตา น่ารังเกียจ เงียบขรึม หยิ่งยโส ไม่ชอบเข้าสังคม ทั้งยังขี้รำคาญ แต่ในใต้หล้าก็ไม่สามารถหาคนที่พึ่งพาได้เช่นเขาอีกแล้ว เลี่ยวจือหย่วนหยิบแผนที่ออกจากอก ชี้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ “น้องสาวข้าหายไปจากตรงนี้”
“หุบเขาฉางไป๋? เหตุใดเ้าไม่ไปหาเองเล่า?”
“ข้าก็อยากไป แต่เก๋อจู่เพิ่งมอบภารกิจเร่งด่วนให้ข้า แน่นอนว่าไม่มีภารกิจใดสำคัญกว่าน้องสาว ทว่าสาเหตุหลักคือตราบใดที่น้องสาวได้พบข้า นางจะวิ่งหนีทันที”
“วิ่งหนี?”
“ใช่ เพราะตอนนี้นางหนีออกจากบ้าน”
“หนีก็หนีสิ จะไปตามหานางด้วยเหตุใด”
“เฮ้อ ข้ารู้ว่าเมื่อสตรีเติบโตก็จะไม่อยู่บ้าน” เลี่ยวจือหย่วนถอนหายใจแรง ๆ อีกครั้ง “แต่นางเป็น้องสาวเพียงคนเดียวของข้า ยิ่งไปกว่านั้นหุบเขาฉางไป๋เป็สถานที่เช่นไร? น้องสาวที่เปรียบเสมือนดอกไม้ เปรียบเสมือนหยกผู้นั้น ไม่รู้ว่าจะกลายเป็อาหารของหมาป่า หมีดำ เสือและช้างวันไหน โอ๊ย ๆ น้องสาวผู้น่าสงสาร…” เมื่อเลี่ยวจือหย่วนกล่าวจบก็ปิดหน้าร้องไห้โฮ
เกาเจวี๋ยไม่เชื่อหยาดน้ำตาของเ้าแมวป่าผู้นี้ เขาเอ่ยขัดเสียงร้องไห้ดังกึกก้องอย่างจริงจัง “เหล้าสิบไห ต้องใส่ไหใบใหญ่เท่านี้” กล่าวจบก็ทำมือเป็ลูกกลม ๆ ขนาดเท่าแตงโม
“ตกลง”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้