“ศิษย์น้องเล็กของข้าอุตส่าห์เตือนพวกเ้าด้วยความหวังดี ไม่รับน้ำใจก็ไม่ว่า แต่ทำไมถึงกล้าลงมือทำร้ายกันได้ ไม่สมควรเอาเสียเลย!” หลิงเซียวยิ้มกริ่มมองไปทางเยี่ยตันที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้กังวลเพราะพวกเขามีมากกว่าแต่อย่างใด
เยี่ยตันเห็น ‘หลินเซียว’ ปรากฏตัวในที่สุด ในใจก็แอบหวั่นวิตกอยู่บ้าง
การปรากฏตัวของหลิงเซียวนอกเหนือความคาดหมายของเขา ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเงาเขาแท้ๆ แต่ก็ไม่ได้กลัวจนรีบหนีไป เพราะพวกเขามีมากกว่า
อีกทั้งเยี่ยตันมีพลังชั้นดวงดาวหนึ่งดาว ห่างจาก ‘หลินเซียว’ แค่ดาวเดียว หากปะทะกันพวกเขาคงไม่มีทางแพ้
เพียงแต่
เยี่ยตันมองไปโดยรอบอย่างหวาดระแวง แต่กลับไม่เห็นเงาใครเลย เกิดความประหลาดใจ
‘หลินเซียว’ กลับเดินทางกับนักหลอมยาตัวเล็กๆ คนเดียวในแดน์วิมาน หรือจะมีเป้าหมายบางอย่าง? ในความคิดเขา ‘หลินเซียว’ เป็ถึงศิษย์เอกแห่งสำนักเทียนซิน ก็ต้องได้รับภารกิจสำคัญเป็แน่ รอบกายต้องมีศิษย์ร่วมสำนักติดตามไม่น้อยถึงจะถูก
ดูจากที่พวกเขามีกันแค่สองคนพร้อมกับสัตว์ปีศาจหนึ่งตัว และไม่เห็นเงาศิษย์คนอื่นๆ ก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็แอบโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
“อยู่เบื้องหน้าความตายแล้วยังจะปากเก่ง ไม่รู้ว่าเมื่ออาจารย์กับศิษย์ร่วมสำนักของเ้ารู้ว่าเ้ามาตายอยู่ในนี้ แล้วจะมีท่าทีแบบไหนกัน ข้าล่ะอยากให้เื่นี้กลายเป็จริง”
เยี่ยตันคิดอาฆาตมุ่งร้าย มีแต่คนพูดว่า ‘หลินเซียว’ นั้นคือยอดคน แต่เขากลับเห็นต่าง คิดในใจมาตลอดว่าตัวเองนั้นเก่งกว่า ‘หลินเซียว’ เห็นทีตอนนี้แหละเป็โอกาสดีที่จะได้พิสูจน์กัน
“งั้นช่างน่าเสียดาย!” หลิงเซียวได้ฟังคำพูดอวดดีเช่นนี้ จึงมองเขาด้วยสายตานึกสนุก
เยี่ยตันเห็นจะไม่เข้าใจคำว่าเสียดายนี้ แต่โหยวเสี่ยวโม่กลับเข้าใจชัดแจ้ง หากว่าเยี่ยตันสามารถฆ่าเขากับหลิงเซียวที่นี่ได้จริง แล้วข่าวไปถึงหูทังฝานกับขงเหวิน ไม่แน่สองคนนั้นอาจรู้สึกขอบคุณเยี่ยตันแทน
แต่ว่านี่เป็เพียงหนึ่งในความหมาย
สิ่งที่หลิงเซียวอยากจะบอกจริงๆ ก็คือ เสียดายยอดคนที่มีฝีมือเช่นนี้ วันนี้กลับดวงไม่ดีมาเจอเขา หากตายไปก็น่าเสียดายว่าหรือไม่?
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าตัวเองยิ่งอยู่ยิ่งมีรสนิยมชั่วร้าย ทุกครั้งที่คาดเดาความคิดของหลิงเซียว ก็มักจะมีความคิดออกไปทางโรคจิตขึ้นทุกที
ขณะนั้นเองเยี่ยตันก็ะโเสียงดัง “ศิษย์น้องทุกคน ตั้งขบวน!”
แม้รอบข้างจะไม่มีวี่แววคนซุ่มโจมตีพวกเขา แต่เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาต้องรีบอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกตแล้วจัดการฆ่า ‘หลินเซียว’ กับโหยวเสี่ยวโม่ก่อน
ไม่ต้องให้เขาพูดอย่างละเอียด ศิษย์น้องคนอื่นก็มีความคิดเดียวกัน ทุกคนชักอาวุธคู่กายออกมา ล้อมหลิงเซียวกับโหยวเสี่ยวโม่ทันที
สำนักชิงเฉิงมีเคล็ดวิชาอันโด่งดังอยู่ชื่อว่า ค่ายกลกระบี่!
ขบวนท่ากระบี่ขึ้นอยู่กับพลังของลูกศิษย์ สามารถตั้งค่ายกลกระบี่ที่มีพลังต่างกัน เล่ากันว่า เมื่อคนในขบวนล้วนมีพลังชั้นิญญา เมื่อนั้นขบวนที่ตั้งออกมานั้นสามารถเทียบชั้นสู้กับผู้มีพลังชั้นราชันได้
เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่านักฝึกตนมากมายเพียงใดที่น้ำลายไหลกับสิ่งนี้ แม้กระทั่งสำนักเทียนซินเองก็แอบใจเต้น จากนั้นก็มีคนไม่กลัวตายจำนวนมากเหยียบเข้าไปยังสำนักชิงเฉิงเพื่อขโมยเคล็ดวิชาค่ายกลกระบี่ แต่ก็ต้องล้มเหลว และผลลัพธ์ก็ตามคาด
แต่ต่อมาก็มีข่าวแพร่ออกมาอีกว่า
ค่ายกลกระบี่ที่ผู้มีพลังชั้นิญญาตั้งขึ้นนั้นร้ายกาจจริง แต่ก็มีช่องโหว่หลายจุด
อย่างเช่น พลังโจมตีของค่ายกลกระบี่ที่ตั้งขึ้น ต้องดึงพลังมหาศาลจากคนที่ตั้งค่ายกล หากดึงพลังเกิดขีดจำกัด ก็จะส่งผลต่อขั้นพลังของคนที่ตั้งค่ายกลนั้นและทำให้พลังลดลง ด้วยเหตุนี้จึงเป็ค่ายกลที่มีความเสี่ยงสูงมาก นอกเสียจากคนที่ตั้งค่ายกลจะยินดีเสียสละพลังของตัวเอง
ดังนั้น การที่สำนักชิงเฉิงมีค่ายกลกระบี่นี้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางสร้างค่ายกลที่มีพลังสูงมากขึ้นได้ อีกอย่างค่ายกลนั้นต้องใช้ผู้มีพลังชั้นิญญาถึงแปดคน จอมยุทธ์มากมายเช่นนี้สำนักชิงเฉิงไม่อาจเอาออกมาได้โดยง่าย
แต่มีเพียงค่ายกลของผู้มีพลังชั้นิญญาถึงจะส่งผลข้างเคียงร้ายแรงเช่นนี้ หากพลังที่เล็กลงมาอาจไม่ส่งผลข้างเคียงอย่างชัดเจน แต่ค่ายกลกระบี่ขนาดเล็กก็ไม่ดูถูกไม่ได้
และเพราะเหตุนี้ เยี่ยตันถึงกล้าสั่งให้ศิษย์น้องตั้งค่ายกลกระบี่นี้ขึ้น ถึงอย่างไร ‘หลินเซียว’ ก็มีพลังเหนือกว่าเขาหนึ่งดาว ระยะห่างนั้นไม่น้อยทีเดียว หากไม่มีความหวังเต็มร้อยว่าจะชนะ ก็ต้องลงมือให้เร็ว
หลิงเซียวได้ยินค่ายกลกระบี่ของสำนักชิงเฉิงมานานแล้ว หลายเดือนก่อนเขาก็เห็นมากับตา นั่นก็คือคราวที่ไปบุกทะลวงเผ่าปีศาจ มีลั่วซูเหอนำทัพแสดงให้เห็นเป็ที่ประจักษ์
พูดตามความเป็จริง พลังของค่ายกลกระบี่นั้นไม่เลวทีเดียว ถึงจะเป็ปีศาจที่หนังหนาแค่ไหนก็ต้านการโจมตีของกระบี่แปดอันในวินาทีเดียวไม่ได้ หากวันนี้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เขา แต่เป็หลินเซียวตัวจริง ถึงไม่ตายก็คงเจ็บหนัก
รวมเยี่ยตันในกลุ่มศิษย์ทั้งแปดคนของสำนักชิงเฉิง ส่งกำลังภายในออกมากันอย่างบ้าคลั่ง กระบี่บินแปดอันใต้การควบคุมของพวกเขานั้นหมุนวนอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงลมพัดหวิวอยู่ข้างหู
แม้พลังของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่นี่คือพลังที่แท้จริงของค่ายกลกระบี่ มันจะไม่แสดงตำแหน่งที่พลังแข็งแกร่งหรืออ่อนแอออกมา
“โจมตี!” เยี่ยตันะโออกมาเสียงดัง
ขณะยืนอยู่ในค่ายกลสีหน้าแน่นิ่ง หลิงเซียวที่ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวต่อนาทีชีวิตแบบนี้ทำให้เขารู้สึกระส่ำระสาย ในใจยิ่งรู้สึกว่าต้องรีบจัดการให้จบอย่างเร็วที่สุด
เมื่อสิ้นเสียงเขา ศิษย์ทั้งเจ็ดก็ขับเคลื่อนกระบี่ขึ้นสูงเพื่อโจมตีหลิงเซียว
ค่ายกลกระบี่ของสำนักชิงเฉิงเป็ลักษณะของแหหว่านขนาดใหญ่ แม้จะมีเพียงกระบี่บินแปดอัน แต่กระบี่บินแปดอันนั้นราวกับอยู่ทั่วทุกมุมในค่ายกล ทุกวินาทีจะสลับกันโจมตีคนในค่ายกล หากไม่มีฝีมือและการป้องกันตัวชั้นสูง คนทั่วไปไม่มีทางรับการโจมตีนี้ได้
กระบี่บินส่งเสียงดังหวิว ขณะที่ปลายดาบเกือบโดนตัวหลิงเซียวนั้น เสียง ‘ติ้ง’ ดังขึ้น กระบี่บินนั้นหยุดชะงักกลางอากาศ ราวกับปักโดนของแข็งอะไรบางอย่าง รอบตัวหลิงเซียวราวกับมีร่องรอยบางอย่างเปิดออกเป็ระลอก ชั่วเวลาอันรวดเร็วก็กลับคืนสู่ลักษณะเดิม แต่ทุกคนสังเกตเห็นได้ชัด
เยี่ยตันสีหน้าเปลี่ยน ราวกับนึกอะไรออก สีหน้าไม่น่าดูชม รีบขานเสียงดังต่อเนื่อง “เพิ่มพลังการโจมตี”
ศิษย์น้องทั้งเจ็ดรีบส่งพลังเข้าสู่กระบี่นั้นทันทีอย่างไม่ลังเล
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เ้าก็ข้าต้องสิ้นชีพกันไปข้าง ไม่มีใครยั้งมือ!
หลิงเซียวมุมปากยกโค้งขึ้น ผลักโหยวเสี่ยวโม่ออกไปให้เ้าลูกบอลใหญ่คุ้มกัน ทันใดนั้นก็หันไปทางเยี่ยตันที่มีพลังสูงสุดแล้วส่งฝ่ามือออกไป พลังทำลายที่ส่งผ่านฝ่ามือโจมตีไปยังเยี่ยตันเข้าจังๆ
ฉับพลันเยี่ยตันกระอักเืออกมา ตัวบินลอยไปไกลสิบกว่าเมตร ไม่มีเขาที่เป็ตัวหลักอยู่ค่ายกลก็ถูกทำลายลงทันใด ศิษย์ทั้งเจ็ดต่างก็โดนฟันเฟืองด้วย สีหน้าซีดเผือด ได้รับาเ็ในระดับที่ต่างกันไป
นี่ก็คือข้อเสียของค่ายกลกระบี่ของสำนักชิงเฉิง!
แม้ค่ายกลกระบี่จะแข็งแกร่ง แต่หากดวงตาของค่ายกล ซึ่งก็คือคนที่เก่งกล้าที่สุดในนั้นถูกโจมตี ค่ายกลทั้งอันก็จะถูกทำลายจนแตก ที่สำคัญที่สุดคือ มันไม่ได้เพียงแค่แตกออกแต่ยังเป็ฟันเฟืองทำร้ายคนที่เหลือที่ตั้งค่ายกลด้วย หากพลังของคนที่ตั้งค่ายกลต่างกันมาก ฟันเฟืองนั้นก็จะยิ่งรุนแรง
แม้หลิงเซียวจะเคยเห็นค่ายกลกระบี่มาแค่หนเดียว แต่ก็จับจุดอ่อนของมันได้รวดเร็ว ดังนั้นจึงเลือกลงมือกับเยี่ยตันที่ฝีมือเก่งสุด
ตอนนี้เอง เยี่ยตันแทบคลานไม่ขึ้นทันใดก็พลิกตัวเด้งขึ้นมา เหมือนว่ากินยาเซียนตันอะไรเข้าไป จากนั้นรีบเหินขึ้นกระบี่แล้วหนีไปท่ามกลางสายตาตะลึงงันของศิษย์ร่วมสำนักที่เหลือ
บินไปได้ระยะหนึ่ง ถึงได้ยินเสียงเขาะโลงมา “ศิษย์น้องทั้งหลาย พวกเ้าจงไปดีเถอะ ข้าจะนำเื่นี้ไปบอกอาจารย์เอง ให้ท่านมาแก้แค้นให้พวกเ้า”
ทั้งเจ็ดคนนั้นเผยสีหน้ายากที่จะเชื่อและตกตะลึง ไม่เคยคิดว่าศิษย์พี่เยี่ยตันจะทอดทิ้งพวกเขาไปง่ายดายเช่นนี้
“เหอะ...” หลิงเซียวมองไปยังทิศทางที่เขาหนีไป หัวเราะอย่างครึ้มใจ แต่เขาไม่มีแผนจะปล่อยเยี่ยตันไป เพียงแต่ก่อนที่จะตามไป เขาจัดการคนทั้งเจ็ดที่ถูกทิ้งไว้เสียก่อน จากนั้นจึงตามไป
โหยวเสี่ยวโม่ยืนดูคนทั้งเจ็ดถูกฆ่าตายในพริบตาอย่างตะลึงงัน จู่ๆ ก็นึกถึงเื่ที่หลิงเซียวพึ่งพูดกับเขาไม่นาน
ไอ้หมอนี่ นี่พึ่งผ่านมาไม่เท่าไหร่ เขากลับทำตามที่พูดได้อย่างรวดเร็ว จัดการฆ่าคนไม่กี่คนต่อหน้าเขา นาทีก่อนหน้ายังเป็ๆ อยู่เลย ตอนนี้กลับเหลือแค่ร่างไร้ิญญาเจ็ดร่าง
เขาพึงระลึกได้อีกครั้งว่า ในโลกนี้ชีวิตนั้นช่างไร้ค่าสิ้นดี!
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกเวทนา แต่เขาก็เข้าใจคติข้อหนึ่ง
ข้าไม่ฆ่าเ้า เ้าก็ฆ่าข้า สมการอันเรียบง่าย หนทางสู่การเป็จอมยุทธ์ย่อมต้องมีการหลั่งเื ในทีวีก็แสดงกันอย่างนี้ไม่ใช่รึไง สำหรับคนปัจจุบันที่ถือความสันติเป็หลัก เขารู้สึกว่าตัวเองปรับตัวได้ดีมากทีเดียว
โหยวเสี่ยวโม่แหงนหน้ามองท้องฟ้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลันเลื่อนสายตาไปยังถุงเก็บของที่เอวของร่างพวกนั้น ไหนๆ แล้ว...หากเขาไม่หยิบก็โดนคนอื่นหยิบไปอยู่ดี หากจะทำทานกับคนอื่น...สู้ทำทานให้ตัวเองดีกว่า
กระนั้น เมื่อหลิงเซียวหิ้วถุงเก็บของของเยี่ยตันกลับมา ถุงเก็บของที่เป็ของทั้งเจ็ดศพก็ถูกโหยวเสี่ยวโม่เก็บกวาดเรียบ ของถูกวางเรียงรายอยู่บนพื้น ราวกับว่ากำลังแบ่งเก็บให้เป็ระเบียบเข้าที่
หลิงเซียวพลันชะงักอยู่กับที่ด้วยท่าทีประหลาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้