หรงจ้านพูดด้วยสีหน้าปกติ “ความจริงแล้วพวกเราไม่ใช่คนในเมืองหลวง ข้าเป็คนในตระกูลหยางของจวนมหาเสนาบดี เป็ขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ในที่ว่าการของเมืองเวยโจว จากเวยโจวมาเมืองหลวงใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน คนผู้นี้คือญาติแท้ๆ ของข้า แซ่ซ่างกวน ก่อนหน้านี้จวนมหาเสนาบดีกับใต้เท้าเซินพูดคุยกันถูกคอ เขาเคยพาข้ามาที่นี่ครั้งหนึ่ง วันนี้ข้าจึงพาญาติของข้ามาเปิดโลก”
มู่หรงฉือยิ้มเอ่ย “แค่มองดูก็รู้ว่าคุณชายไม่ใช่คนเมืองหลวงของพวกเรา แต่กลับเป็คนที่สายตาแหลมคมจริงๆ ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่าอะไรหรือ?”
ในใจกลับคิดว่า คุณชายประหลาดคนนี้จะต้องมองอะไรออกเป็แน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางยอมพบพวกเขาอย่างไร้สาเหตุ
คุณชายชุดทองคนนั้นพูดอย่างมีเลศนัยลึกซึ้ง "ที่แท้ก็เป็แขกของจวนมหาเสนาบดีนี่เอง เสียมารยาทแล้ว นี่ก็ยังไม่ดึกนัก ทั้งสองท่านไม่เล่นอีกสักหน่อยหรือ?”
“พวกข้าเป็แขกของจวนมหาเสนาบดี จะกลับดึกเกินไปคงไม่ดีนัก” หรงจ้านพูดด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“พักอยู่จวนของผู้อื่น ไม่สะดวกนักจริงๆ” มู่หรงฉือคลี่ยิ้มสดใส “หากกลับจวนดึก พวกบ่าวรับใช้ที่สายตาสูงส่งพวกนั้นจะเอาไปซุบซิบนินทาได้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีเื่ราววุ่นวายเพิ่มขึ้นมา พวกเราทำอะไรยังต้องดูสีหน้าของผู้อื่น เชื่อว่าคุณชายคงเข้าใจ”
“คุณชายหยางพูดถึงเวยโจว ข้ากลับนึกถึงเมื่อสามปีก่อนที่ได้ไปเที่ยวเล่นเวยโจวอยู่ครึ่งเดือน” คุณชายชุดทองทำท่าทางระลึกถึงความทรงจำในอดีตขึ้นมา ดวงตาลึกล้ำ “ถนนฉาวเทียนที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองเวยโจวมีร้านขายซาลาเปาเก่าแก่อยู่ร้านหนึ่ง คนพูดกันว่าเป็ร้านอันดับหนึ่งของเวยโจว ร้านนั้นคนในพื้นที่เรียกว่าอะไรแล้วนะ? อ้อ ใช่แล้ว เรียกว่าจางจี้ ซาลาเปาของร้านจางจี้ไม่เหมือนร้านอื่น กัดเข้าไปคำเดียวก็มีน้ำแกงเนื้อหอมๆ ทะลักออกมา ทั้งยังทิ้งกลิ่นหอมไว้ในปาก เป็ซาลาเปาที่เมื่อข้ากินเข้าไปแล้วช่างให้รสชาติพิเศษยิ่งนัก”
“ร้านเก่าแก่ที่คุณชายพูดร้านนั้น ข้ารู้จัก เมื่อสามปีก่อนยังไม่ได้ย้ายไปที่ถนนฉาวเทียน อยู่ที่ตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ได้ชื่อว่าจางจี้ แต่มีชื่อว่าเย่ซื่อ” หรงจ้านยิ้มแล้วพูด “ห่างจากบ้านเกิดมาหลายวัน ข้าเองก็คิดถึงรสชาติของน้ำแกงในซาลาเปานั้นเสียแล้ว”
“ดูความทรงจำของข้าสิ กระทั่งร้านค้ามีชื่อของคนอื่นก็จำผิดไป” คุณชายชุดทองหัวเราะเบาๆ
มู่หรงฉือถอนหายใจน้อยๆ โชคดีที่เมื่อสามปีก่อนหรงจ้านเคยอยู่ที่เวยโจว่หนึ่ง ไม่เช่นนั้นความคงจะแตกแล้ว
เพื่อการบุกถ้ำเสือคืนนี้ หรงจ้านลงแรงไปไม่น้อย
ส่วนคุณชายชุดทองที่ลึกลับคนนี้ก็ใช้ความรู้เชิงลึกของเมืองมาทดสอบพวกเขาว่าเป็คนจากเมืองนั้นจริงหรือไม่
แสงสีแดงทึบจากคบไฟส่องลงมา หน้ากากสีทองสะท้อนแสงสีแดงวิบวับ หินและไข่มุกเปล่งประกายสีทอง ดูหรูหรางดงาม
ดวงตาสวยคู่นั้นลึกลับ ทำให้คนอยากจะถลำลงไป
เขาพูดเสียงเนือยอย่างเกียจคร้าน “ในเมื่อทั้งสองต้องรีบกลับ ข้าก็คงไม่รั้งพวกเ้าเอาไว้แล้ว เชิญ”
หรงจ้านกับมู่หรงฉือประสานมือเข้าด้วยกัน “ครั้งหน้าค่อยมาเยี่ยมเยียนที่นี่อีก ขอตัว”
กระทั่งกลับมายังอีกห้องที่อึกทึกครึกโครมอีกครั้ง พวกเขาถึงได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ในห้องพนันยังคงเสียงดัง คนที่มาเสพสุขก็ยังคงจมอยู่กับการตักตวงความสุข เสียงดังโหวกเหวกถูกขังอยู่ใต้ดิน หากเกิดเื่ใหญ่โตขึ้นมา ภายนอกย่อมไม่มีทางล่วงรู้
พวกเขาเดินออกไปด้านนอกตามปกติ ครั้งนี้บ่าวรับใช้เสื้อเขียวไม่ได้ขวางพวกเขาไว้อีก
มู่หรงฉือเห็นด้านหน้ามีบุรุษชุดขาวคนหนึ่ง บุรุษคนนั้นหน้าตาธรรมดาแต่กลับจ้องมาที่นางตาไม่กระพริบ
นางรู้สึกว่าดวงตาคู่นั้นงดงามอย่างไม่มีเหตุผล ดูลึกล้ำทั้งยังให้ความรู้สึกคุ้นเคย
ทว่าทั้งๆ ที่เป็คนแปลกหน้า เหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นเคยเล่า?
ในตอนที่เดินสวนกัน นางก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
นางกับหรงจ้านเดินไปด้านหน้าช้าๆ ออกจากโลกที่ทั้งหรูหรา อึกทึกและ วุ่นวายนั้นไป
บุรุษชุดขาวคนนั้นหันกลับมาจ้องแผ่นหลังของนาง ริมฝีปากบางยกขึ้น เผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่เหมือนมีเหมือนไม่มี
บ่าวรับใช้ชุดเขียวคนหนึ่งยืนรออยู่ที่ปากทางด้านนอกแล้วนำทางพวกเขาออกไป โลกใต้ดินเป็ดังเขาวงกต เส้นทางออกไม่เหมือนกับตอนเข้ามา อ้อมไปอ้อมมาในความมืดมิด สุดท้ายก็เห็นประตูหินหนักใหญ่
ประตูหินเปิดออก มู่หรงฉือกับหรงจ้านก้าวออกไป สีของยามราตรีที่คุ้นเคยกับสรรพสิ่งบนโลกได้พุ่งเข้าสู่สายตา ทำให้ใจของพวกเขายินดี
พวกเขาออกมาในบ้านของชาวบ้านหลังหนึ่ง เป็บ้านดินที่ผุพัง เดินออกมาเป็ห้องโถง เดินออกไปด้านนอกอีกก็เป็ตรอกเล็กๆ
“ออกจากตรอกเล็กไปก็เป็ประตูของหลิงหลงเซวียนขอรับ”
หรงจ้านพูดเสียงเบา ส่งสายตาให้นาง : รีบไป!
นางเข้าใจความหมายของเขา เขาเองก็มองออกเช่นกันว่าคุณชายชุดทองสงสัยพวกเขา
เป็อย่างที่คิด พวกเขาเพิ่งจะเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็มีคนชุดดำสี่คนะโลงมาท่ามกลางความมืด ดาบใหญ่ในมือของพวกเขาส่องแสงวาววับ สะท้อนกับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา
“พี่ชายทั้งสี่มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ?” หรงจ้านคลี่ยิ้มสงบ
“มิกล้า” คนชุดดำพูดเสียงกระด้าง
พริบตาต่อมา คนชุดดำสี่ก็พุ่งเข้ามา ดาบใหญ่เย็นเยียบพุ่งเข้าห้ำหั่น
เขาะโขึ้นว่า “ถอย” ก่อนจะชักกระบี่อ่อนเล่มหนึ่งออกมารับการโจมตีด้วยจิติญญาแรงกล้า
ในเสี้ยวขณะ ดาบใหญ่กับกระบี่ก็กระทบกันอย่างรุนแรง การต่อสู้ดุเดือดยิ่งนัก เสียงดังกระทบดังก้องในความมืดยามค่ำคืนที่เงียบสงัด
มู่หรงฉือลังเลว่าจะลงมือดีหรือไม่ จากความสามารถของหรงจ้าน คนชุดดำสี่คนนี้ไม่น่าจะได้เปรียบ แต่ว่าฝีมือของพวกเขาก็ไม่นับว่าธรรมดา
เงาสีขาวราวับินผ่านแสงจันทร์ ฉวัดเฉวียนผ่านไปอย่างว่องไวเหมือนดาวตก จัดการทุกคนให้ล้มลงไปได้อย่างง่ายดาย กระบี่อ่อนเล่มนั้นเปลี่ยนร่างเป็ัเงิน สำแดงอานุภาพอันยิ่งใหญ่ประหนึ่งมีชีวิต ไหลลื่นเป็ธรรมชาติ ปราณกระบี่ลอยขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พลังอันดุดันรุนแรงร้อยรัดเข้าด้วยกันจนกลายเป็ตาข่ายแสงผืนหนึ่ง
ทันใดนั้น นางััได้ถึงจิตสังหารพุ่งมาจากด้านหลัง ในใจเย็นวาบขึ้นมาทันที : มีคนลอบสังหาร!
นางราวกับหุ่นไม้สลักไม่ขยับ ในตอนที่ความอันตรายบดขยี้เข้ามาถึงด้านหลังห่างเพียงแค่หนึ่งชุ่น นางก็ลอยตัวขึ้นทันที
หรงจ้านที่กำลังต่อสู้กับสี่คนนั้น ถึงแม้จะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนาง แต่กลับขยับตัวตามใจชอบไม่ได้ ไม่อาจพุ่งเข้ามาปกป้องนางได้
มีคนชุดดำเพิ่มขึ้นมาอีกสี่คน!
ตอนที่นางกำลังจะชักกระบี่อ่อนออกจากข้างเอว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นางจึงปล่อยให้คนชุดดำทั้งสี่คนนั้นแทงกระบี่เข้ามา
แสงสีเงาเย็นเยียบราวหิมะ!
ความเป็ความตายห่างเพียงเส้นกัน!
นางยืนหวาดหวั่นอยู่ที่มุมกำแพง ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว
พริบตาก่อนที่ร่างจะถูกดาบใหญ่สี่เล่มแทงจนต้องหลั่งโลหิต
ชั่วอึดใจอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าปราณสีขาวรุนแรงพุ่งมาจากที่ใด ก่อนที่พลังโจมตีอันแข็งแกร่งนั้นจะโจมตีไปยังดาบทั้งสี่เล่ม
ราวกับสายฟ้าฟาดตอนกลางวันแสกๆ ราวกับกระบี่เทพโบราณที่ผ่าหน้าผา ผ่าทุกสรรพสิ่งให้พังราบคาบไปหลายพันปี
คนชุดดำทั้งสี่รู้สึกถึงอันตรายประหนึ่งอยู่ตรงหน้าปากพยัคฆ์ที่พร้อมโจมตี ดาบใหญ่แตกออกเป็เป็เสี่ยงๆ ร่วงลงบนพื้นดังเคร้ง
พวกเขามองหน้ากันไปมาอย่างตื่นตระหนก เหตุใดถึงเป็เช่นนี้?
มียอดฝีมือโผล่มาจากไหนกัน?
มู่หรงฉือะโออกไป “ช่วยข้าด้วย...”
คนชุดดำสี่คนััได้ถึงจิตสังหารอันน่าพรั่นพรึงเย็นวาบทางด้านหลัง รีบหมุนตัวมาเผชิญหน้าพร้อมรับมือ กลับเห็นบุรุษสวมชุดขาวหิมะคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยหน้าตาเ็า กลิ่นอายดุดันล้อมรอบ น่าหวั่นเกรงเป็อย่างยิ่ง
พวกเขาโยนดาบที่หักทิ้ง ก่อนจะเข้าไปล้อมวงโจมตี
กำปั้นอันรุนแรงถูกส่งออกไปเกิดเป็สายลมแรงผ่านข้างแก้มคุณชายชุดขาวไป
คุณชายชุดขาวหิมะหลบหมัดเ่าั้ได้อย่างง่ายดาย ร่างกายแ่เบารวดเร็วราวกับวิหคเหิน แต่ครั้นลงมือกลับหนักแน่นประหนึ่งเหล็กไหล เสียงชิ้งๆๆ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่เกินสามสิบกระบวนท่าก็มีคนทั้งมือหัก คอหัก ขาเป๋ ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงร้องโอดครวญ สยดสยองจนไม่อาจทนมองได้
มู่หรงฉือหัวใจหนาวเหน็บ ฝีมือการต่อสู้ของเขาสูงส่งยิ่งนัก
หากต้องสู้กับเขา ถึงแม้นางจะทุ่มเทใช้พลังทั้งหมด แต่ภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่านางจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน
ทว่าจากฝีมือการต่อสู้ของเขาก็เพียงพอที่จะสังหารคนเ่าั้ แต่เขากลับแบ่งสมาธิเอาไว้เล็กน้อย เพราะเหตุใด? เขากำลังสนใจอะไร?
ทางด้านนั้น หรงจ้านกับคนชุดดำสี่คนก็ต่อสู้จนใกล้จะถึงจุดจบแล้ว
บุรุษชุดขาวหิมะเดินมาตรงหน้านาง ถามด้วยท่าทีแข็งแกร่ง “ไม่เป็อะไรใช่หรือไม่”
น้ำเสียงแหบต่ำที่คุ้นเคย เหมือนกับสุรารสชาติดีที่ถูกบ่มมาร้อยปี
“ขอบคุณคุณชายที่ยื่นมือช่วยเหลือ” นางประสานมือขอบคุณ
“เอาล่ะ ไม่จำเป็ต้องแสร้งทำตัวมากพิธี” เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าของนางออก
“เช่นกันๆ” นางยกมือขึ้นแล้วฉีกหน้ากากบนใบหน้าของเขาออกอย่างรวดเร็ว
เป็ดังคาด มู่หรงอวี้ดูนางออกตั้งนานแล้ว บางทีแค่เพียงพริบตาที่สบตากัน พวกเขาก็จำกันและกันได้ทันที
แสงจันทร์ราวกับสายธารสีเงินไหลเอื่อยๆ ในยามค่ำคืน ใบหน้าของทั้งสองเป็ใบหน้าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะในใต้หล้านี้
โชคดีที่คนชุดดำเ่าั้หากไม่ตายก็ได้รับาเ็จนหนีไปแล้ว ไม่มีใครได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกนาง
หรงจ้านรีบเข้ามา ครั้นเห็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาก็ใไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด “อย่าอยู่ที่นี่นานเลย ออกไปจากที่นี่กันก่อนเถิด”
มู่หรงฉือพูดเสียงเรียบ “ข้าไม่เป็อะไร เ้ากลับไปก่อน”
เขาเข้าใจความหมายของนาง นางคงไม่อยากให้ฐานะของเขาเปิดเผยต่อหน้าอวี้หวาง
เขาประสานมือแล้วทะยานออกไป
มู่หรงอวี้จูงมือนางเดินไปด้านหน้าไวๆ ลากนางเข้าไปในตรอกเล็กตรอกหนึ่ง ครั้งนี้นางไม่ได้พยายามสะบัดมือออกอีก
รถม้าหนึ่งคันจอดเงียบๆ อยู่ตรงนั้น เมื่อพวกเขาขึ้นรถม้า คนขับรถก็รีบขับออกไป
นางยังคงนั่งพิงตรงตำแหน่งใกล้กับหน้าต่างรถ พร้อมจะหนีออกไปได้ทุกเมื่อ
“มานี่” น้ำเสียงของเขาเ็า เหมือนไม่พอใจ
“เหตุใดท่านอ๋องถึงไปที่หลิงหลงเซวียนเช่นกันหรือ?” มู่หรงฉือเปิดบทสนทนา
“จะให้เปิ่นหวางอุ้มเ้ามาหรือ?” น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความโกรธ
นางมองเขา ในเงามืดนั้นใบหน้าหล่อเหลาราวหยกขาวเผยเสน่ห์ออกมา แววตาดำเหมือนกับน้ำหมึกให้ความรู้สึกดุดัน
มู่หรงอวี้ขยับไปด้านข้างเว้นที่ให้นาง
นางลอบถอนหายใจก่อนขยับไปนั่งข้างเขาอย่างไม่ยินยอมนัก แต่ถึงนางไม่ไป สุดท้ายก็ได้ผลเดียวกันอยู่ดี
ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วจะหาเื่ให้ตัวเองทำไม?
“ท่านอ๋องออกมาได้อย่างไร?” นางพิงเข้ากับตัวรถม้า ห่างจากเขาประมาณครึ่งแขน “เข้าไปนั้นง่าย แต่จะออกมากลับยากนัก”
“เปิ่นหวางมีวิธีของตัวเอง” ดวงตาของเขาขมุกขมัว มีหมอกดำก้อนหนึ่งปกคลุมอยู่ “เปิ่นหวางบอกแล้วไม่ใช่หรือ ไม่อนุญาตให้เ้าลงมือด้วยตัวเอง เหตุใดถึงไม่มารายงานให้เปิ่นหวางรู้ก่อน?”
“ก็มันไม่ทัน...ไม่ทัน...” มู่หรงฉือรู้สึกจนมุม เหตุใดจะต้องบอกเขา? นี่เป็สิ่งที่นางสืบหามาได้ ทำไมนางจะต้องบอกเขาด้วยเล่า?
แต่ว่าคำพูดนี้สามารถพูดได้หรือ? หากพูดออกไปย่อมเป็การหาเื่ให้ตัวเอง
มู่หรงอวี้หัวเราะเสียงเย็น “เกรงว่าเ้าคงไม่มีความคิดที่จะรายงานเปิ่นหวาง”
นางยิ้มแห้ง “ท่านเข้าใจผิดแล้ว มันไม่ทันการจริงๆ แต่เปิ่นกงจะรายงานเ้าหรือไม่ ผลลัพธ์ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ท่านอ๋องก็รู้แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?”
เขาขยับเข้าใกล้นางขึ้นเรื่อยๆ “หากเปิ่นหวางไม่รีบมา เ้าคิดว่าจะสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัยหรือ?”
นางขยับไปด้านข้างทันที ศีรษะชนเข้ากับผนังรถ “ครั้งนี้โชคดีที่มีท่านอ๋อง ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์จะเป็อย่างไรก็ไม่อยากจะคิดจริงๆ ขอบคุณท่านอ๋อง...”
ปลายเสียงของนางสั่นเล็กน้อย พูดมาถึงไม่กี่คำสุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออกอีก เพราะว่าเอวของนางตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาแล้ว
แขนยาวของเขายกขึ้นโอบเข้าที่เอวเล็กของนางแล้วมองนางด้วยความสงสัย
มู่หรงฉือจ้องเขา หนังหัวชาวาบ ในใจก็คิดอย่างร้อนรน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้