จ้านอู๋มิ่งถูกม้วนเข้าใจกลางแกนลมพายุอีกครั้ง มิมีผู้ใดมองเห็นจ้านอู๋มิ่ง ช่างจินตนาการยากยิ่งนัก ภายใต้ความเร็วสุดขีดนี้ จ้านอู๋มิ่งยังจะสามารถหนีรอดได้หรือไม่
มิใช่ทุกคนเท่านั้นที่ได้เห็นสภาพอเนจอนาถของจ้านอู๋มิ่ง ไม่ไกลนักจากห้องโถงใหญ่ของสำนักกระบี่ิญญา ชายสองคนมีสีหน้าแสดงออกถึงความกังวล เจิงฉู่ไฉหันกลับมามองทั้งสองคนอย่างยิ้มๆ แต่รอยยิ้มของเขาดำรงอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากการแสดงออกของคนทั้งสองนี้ช่างเคร่งขรึมยิ่งนัก ในเยี่ยนซานตั้งแห่งนี้ คนที่สามารถมองสถานการณ์การต่อสู้ครั้งนี้อย่างกระจ่างคือสองคนนี้เท่านั้น ทั้งคู่เป็ยอดฝีมือที่คุ้มครองพาหนานกงฉู่มาถึงเมืองหนานเจา ถึงแม้ว่าระดับขอบเขตพลังของทั้งสองจะไม่เทียบเท่าตน แต่พวกเขาทั้งสองก็เป็จักรพรรดิาระดับต้น และทราบทักษะวิทยายุทธ์ของตระกูลหนานกงอย่างลึกซึ้ง เข้าใจหนานกงฉู่เป็อย่างดี เวลานี้การแสดงออกของคนสองคนนี้เคร่งขรึมอย่างยิ่ง เจิงฉู่ไฉอดรู้สึกว่ามีเงาทะมึนเกิดขึ้นในใจมิได้
“พี่เจี้ยนเซ่อ หรือว่าหนานกงฉู่เจอปัญหาแล้ว?” เจิงฉู่ไฉลองเลียบเคียงถามขึ้น
ชายชราร่างผอมหนึ่งในสองขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้ยังมองไม่ออก แต่เมื่อครู่ไม่สมควรจะเป็เช่นนั้น เด็กผู้นั้นถึงกับสามารถทำให้พลังอานุภาพมหาวาตะฟ้าของฉู่เอ๋อร์ มีการหยุดชะงักชั่วคราว ที่แปลกกว่านั้นก็คือฉู่เอ๋อร์กลับปล่อยให้เขาพุ่งออกจากตาพายุของพลังอานุภาพมหาวาตะฟ้า สิ่งนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง”
หนานกงเจี้ยนเซ่อในฐานะที่เป็ผู้าุโของหนานกงฉู่ เข้าใจฤทธิ์เดชของวิชามหาวาตะฟ้าเป็อย่างดี ในตอนท้ายของการต่อสู้ระหว่างหนานกงฉู่กับจ้านอู๋มิ่ง ลมพายุคลั่งถึงกับหยุดชะงักลง สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากยิ่งขึ้นก็คือจ้านอู๋มิ่งสามารถทลายฝ่าแนวพายุออกมาได้ ถึงแม้จะคล้ายว่าาเ็สาหัส แต่นี่ก็นับว่าสามารถทำลายพลังอานุภาพมหาวาตะฟ้าของหนานกงฉู่ได้แล้ว เขาก็รู้สึกแปลกใจกับพลังการต่อสู้ของชายหนุ่มคนนี้เช่นกัน
“ตูมมม…” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังมาจากบนเวทีอีกครั้ง ทันใดนั้นลมพายุคลั่งที่หมุนอย่างรวดเร็วได้หยุดลงแล้ว เศษหินดินทรายค่อยๆ จางหายไป เจิงฉู่ไฉพูดเสียงเบาคำหนึ่ง “ไม่ได้การ!”
ท่ามกลางฝุ่นผง เขาเห็นหนานกงฉู่และจ้านอู๋มิ่งแล้ว หนานกงฉู่อยู่ในกำมือของจ้านอู๋มิ่ง ร่างเพรียวสูงจ้านอู๋มิ่งยืนตัวตรง สูงสง่าอยู่กลางเวที กุมลำคอของหนานกงฉู่ไว้กลางฝ่ามือ จ้านอู๋มิ่งกลับหลับตาลงแแ่ คล้ายดั่งปิดผนึกปัญหาต่างๆ ทั้งมวลในโลกนี้
สีหน้าหนานกงฉู่เทาซีดเหมือนตาย เขาคิดไม่ถึงอย่างเด็ดขาดว่าตนเองต้องพ่ายแพ้ เนื่องเพราะตนเป็ผู้แข็งแกร่งเสมอมา จึงมักคิดว่าตนเองเป็แมวกำลังหยอกล้อหนูตัวน้อยเล่นอยู่ตลอดมา
เขาฉีกกระชากเสื้อผ้าของจ้านอู๋มิ่งกระจุยเป็ริ้วยาวและทำให้ร่างกายมีาแมากมาย เขา้าให้จ้านอู๋มิ่งตายท่ามกลางความสิ้นหวัง ตอนที่จ้านอู๋มิ่งทำลายแนวลมพายุคลั่งออกมาได้ เขาคิดว่าก็เพียงแค่บังเอิญเท่านั้น ดังนั้นในไม่ช้า เขาก็ม้วนเอาจ้านอู๋มิ่งกลับเข้าไปในลมพายุคลั่งอีกครั้ง
แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกหมดสนุกก็คือจ้านอู๋มิ่งกลับหลับตาลงแล้ว หลับตาทั้งสองข้างลงท่ามกลางลมพายุบ้าคลั่งไร้สิ้นสุด ยามเผชิญหน้ากับการโจมตีของตน เขาจึงคิดว่าจ้านอู๋มิ่งท้อแท้และยอมรับชะตากรรมแล้ว
ดังนั้นเขาจึงโจมตีอย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้น แต่จ้านอู๋มิ่งกลับไม่หลบหลีกใดๆ แม้กระทั่งการตอบโต้ก็ละทิ้งไปแล้ว มุ่งโจมตีใส่ดุจพายุคลั่ง ดั่งฝนฟ้าคะนอง ราวกับชกกระสอบทรายก็มิปาน
เดิมทีหนานกงฉู่ตั้งใจจะอาศัยความเร็วของตนเอง แล่จ้านอู๋มิ่งออกทีละชิ้นๆ ด้วยอาวุธจิติญญาอันคมกริบ ไม่ว่ากายเนื้อของฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งเพียงไร มีแต่หนทางตายเพียงสถานเดียว แต่จ้านอู๋มิ่งไม่หลบหนีและไม่ตอบโต้ ทำให้ตนล้มเลิกแผนการนี้ ้าทุบตีให้สาสมใจก่อน ทำให้กระดูกทั้งตัวของจ้านอู๋มิ่งแตกหักยับเยิน เช่นเดียวกับที่จ้านอู๋มิ่งปฏิบัติต่ออิ๋นเจี้ยนจื่อและชางลู่จื่อ ทำให้กลายเป็คนพิการ แล้วจึงค่อยเหยียดหยามอย่างหนักหนาสาหัส
ความคิดของหนานกงฉู่ดียิ่ง หมัดของเขาทำให้จ้านอู๋มิ่งยากทานทน ต้องกระอักเืออกมากว่าสิบคำ รอยแผลจากกระบี่บนอกปริแตกออกอีกครั้ง โลหิตสดๆ พวยพุ่ง ถ้าหากยังคงดำเนินต่อไป แค่หลั่งโลหิตก็สามารถทำให้จ้านอู๋มิ่งเสียเืจนตาย หนานกงฉู่อดมิได้ที่จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจสายหนึ่ง เห็นว่าจ้านอู๋มิ่งก็มีเพียงเท่านี้เอง ตนเองจึงเป็อันดับหนึ่งบนป้ายทองอย่างแท้จริง ใต้หล้านอกจากตนและพี่น้องตัวประหลาดไม่กี่คนแล้ว ผู้ใดจะมาแข่งขันกับตนได้?
ขณะที่หนานกงฉู่รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยอยู่นั่นเอง จ้านอู๋มิ่งที่เหมือนกระสอบทรายพลันเคลื่อนไหวแล้ว หมัดของหนานกงฉู่เพิ่งชกใส่เอวของจ้านอู๋มิ่ง ระหว่างที่พลังหมัดกระทบเนื้อ ทำให้หนานกงฉู่หยุดชะงักเล็กน้อย การหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยแทบไม่สังเกตเห็นนั้น กลับกลายเป็ข้อบกพร่องที่ร้ายแรงถึงชีวิตของหนานกงฉู่
ยามนี้หนานกงฉู่จึงได้ััถึงความน่าสะพรึงกลัวอันแท้จริงของจ้านอู๋มิ่ง คนผู้นี้เป็คนที่ไม่เพียงจิตใจโหดร้ายต่อผู้อื่น ทั้งยังเป็คนที่โหดร้ายต่อตนเองคนหนึ่งเช่นกัน ถึงกับปล่อยให้ตนเองเป็กระสอบทราย หลอกล่อให้หนานกงฉู่จู่โจมอย่างต่อเนื่อง และค้นหาจุดบกพร่องในขั้นตอนการโจมตีทั้งรุกและถอยของหนานกงฉู่ ข้อบกพร่องนี้ก็คือการชะงักเล็กน้อยหลังจากหมัดััร่างกายนั่นเอง หลังจากประสบกับการโจมตีเหมือนพายุคลั่งรอบหนึ่ง ในที่สุดจ้านอู๋มิ่งก็ได้พบข้อบกพร่องแล้ว พอลงมือก็สามารถคว้าลำคอของหนานกงฉู่ไว้ทันที
ร่างผอมเล็กของหนานกงฉู่ในมือของจ้านอู๋มิ่ง เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งจริงๆ แต่ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าหนานกงฉู่เป็เด็กน้อยผู้หนึ่ง ด้วยประจักษ์แก่สายตาตนเองแล้วถึงความน่ากลัวของการโจมตีและความเร็วของหนานกงฉู่ พวกเขานึกภาพไม่ออกจริงๆ จ้านอู๋มิ่งสามารถทลายฝ่าแนวพายุคลั่งนั้นออกได้อย่างไร พอลงมือก็คว้าลำคอของหนานกงฉู่ได้
เสื้อผ้าหนานกงฉู่ยังเรียบร้อยเหมือนใหม่ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยปนเปื้อนผงธุลี แต่จ้านอู๋มิ่งร่างกายอาบเื เสื้อผ้าฉีกขาดเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน ปลิวว่อนไปทั่วตลอดทั้งเวที ร่างเปลือยของเขามีรอยหมัดสีเขียวม่วงมากมายนับไม่ถ้วน เห็นชัดว่า่เวลาสั้นๆ เมื่อครู่ ท่ามกลางพายุคลั่ง เขาถูกโจมตีมากมายเพียงไร แม้แต่ต้นขาทั้งสองที่ปกคลุมด้วยขนเส้นเล็กๆ ก็ยังมีรอยช้ำสีเขียวม่วง ทั่วทั้งตัวมีรอยสีดำผสมสีแดงเต็มไปหมด ช่างจินตนาการยากลำบากจริงๆ จ้านอู๋มิ่งกลับยังคงสามารถยืนอยู่บนสังเวียนได้อย่างมั่นคง ใช้มือข้างหนึ่งควบคุมตัวหนานกงฉู่ไว้
สภาพของหนานกงฉู่กับจ้านอู๋มิ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน มีคนอดที่จะคิดไม่ได้ หากตนเองเป็จ้านอู๋มิ่ง ยังสามารถรักษาสภาพร่างกายไว้ได้อีกหรือไม่? และก็มีคนสงสัย จะเป็เพราะหมัดของหนานกงฉู่หนักไม่เพียงพอ หรือเป็เพราะร่างกายของจ้านอู๋มิ่งแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าสัตว์อสูรในขอบเขตระดับสูงจริงๆ?
จริงๆ แล้วทุกคนล้วนทราบว่าหมัดของปรมาจารย์นักยุทธ์เก้าดาวผู้หนึ่ง ต่อให้อ่อนแอเพียงไร เฉพาะความแข็งแกร่งของพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็เพียงพอที่จะบดขยี้ทองคำและป่นศิลาหินแล้ว ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ อาวุธจิติญญาธรรมดากลายเป็เศษเหล็กไปทันที แต่จ้านอู๋มิ่งกลับรอดมาได้ แม้ร่างกายจะาเ็ทั่วตัว
“ได้ยินว่าเ้ายังสามารถแปลงร่างได้ แต่ว่าไม่มีโอกาสแล้ว!” จ้านอู๋มิ่งลืมตาขึ้นอย่างสบายๆ มองหนานกงฉู่ด้วยสายตาเย็นเยียบ สีหน้ายิ้มเยาะกล่าวขึ้น
หนานกงฉู่รู้สึกสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง ตนมีโอกาสสังหารจ้านอู๋มิ่งมากมายหลายครั้ง แต่เพราะ้าใช้วิธีโหดร้ายทารุณที่สุดฆ่าจ้านอู๋มิ่ง ความเย่อหยิ่งทระนงตัวของตน ทำให้ขาดูแคลนศัตรูผู้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ไม่มีเรี่ยวแรงตอบโต้ เขารู้สึกดูแคลนเกินกว่าจะใช้พลังชีพจรสายเืบรรพบุรุษด้วยซ้ำ เพราะคิดว่านี่ก็คือของเล่นชิ้นหนึ่ง ไม่คู่ควรให้ตนเองใช้พลังชีพจรสายเืแต่อย่างไร ตลอดจนอาวุธก็ยังคร้านที่จะนำออกมาใช้ ความมุ่งมั่นและปณิธานอันแน่วแน่ของจ้านอู๋มิ่งเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
นิ้วมือของเลวี่ยเหวินซิวค่อยๆ คลายออก แต่สีหน้าท่าทางของเขาเคร่งขรึมยิ่งนัก จ้านอู๋มิ่งชนะแล้ว ชนะแล้วอย่างคาดคิดไม่ถึง เขารู้ว่าหนานกงฉู่มีชีพจรสายเืบรรพบุรุษ เขาประเมินความเร็วของหนานกงฉู่ต่ำไป ภายใต้ความเร็วขนาดนี้ จ้านอู๋มิ่งแทบไม่สามารถมีโอกาสชนะ สิ่งที่ทำให้เลวี่ยเหวินซิวคาดไม่ถึงก็คือหนานกงฉู่ไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ ดูจากอาการาเ็บนร่างจ้านอู๋มิ่ง มันเป็ร่องรอยที่ถูกทำร้ายด้วยความโหดร้ายบ้าคลั่งโดยแท้ หากรอยหมัดเหล่านี้เปลี่ยนเป็าแจากคมกระบี่ จ้านอู๋มิ่งคงพรุนไปทั้งตัวและหลั่งเืไหลนองทั่วร่างไปเนิ่นนานแล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าในตอนแรกจ้านอู๋มิ่งจัดการอิ๋นเจี้ยนจื่อและชางลู่จื่อด้วยวิธีอันโหดร้ายบ้าคลั่ง ช่างเป็การตัดสินใจที่ชาญฉลาดเพียงใด ก็เพราะเขาใช้วิธีอันโหดร้ายบ้าคลั่งเช่นนั้น ทำให้สองคนต้องพิการ จึงทำให้หนานกงฉู่้าฆ่าจ้านอู๋มิ่งด้วยวิธีการอันโหดร้ายทารุณแบบเดียวกัน น่าเสียดายที่หนานกงฉู่ประเมินกำลังตนเองสูงเกินไป และประเมินพลังของจ้านอู๋มิ่งต่ำเกินไป
จ้านอู๋มิ่งใช้หมัดชกเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถทุบอิ๋นเจี้ยนจื่อจนเืเนื้อและกระดูกแตกยับเยินทั่วร่าง ชกไปร่วมร้อยหมัด ทุบตีจนคนสองคนกลายเป็กองดินเหลว แต่ว่าเมื่อครู่หนานกงฉู่ชกใส่จ้านอู๋มิ่งไปร่วมพันหมัดแล้ว
จ้านอู๋มิ่งถูกทุบจนาเ็ไม่มีชิ้นดีไปทั่วทั้งตัว แต่กลับไม่ได้ล้มลง
เลวี่ยเหวินซิวขยิบตาให้ศิษย์พี่รองและศิษย์น้องเจ็ดที่อยู่ข้างหลัง พูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่ว่าเกิดเื่ใดขึ้น พวกเราก็ต้องสนับสนุนเขาขึ้นมา!”
“ศิษย์พี่สามวางใจ ไม่ว่าผู้ใดคิดสร้างปัญหาให้อู๋มิ่ง ก็จะต้องผ่านด่านข้าก่อน” ชายร่างเตี้ยอ้วนสูดหายใจเข้าคราหนึ่งแล้วกล่าว
หนานกงฉู่ต่างจากอาหนาน อาหนานเป็เพียงศิษย์คนหนึ่งของสำนักกระบี่ิญญา ต่อให้เกิดเื่แล้วสำนักกระบี่ิญญาก็ไม่มีข้ออ้างในเปิดศึกสองสำนัก แต่หนานกงฉู่นั้นแตกต่าง เขาเป็อัจฉริยะของตระกูลหนานกง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะออกศึกในนามตัวแทนสำนักกระบี่ิญญา แต่เื้ัคือตระกูลหนานกงที่ทรงอำนาจอิทธิพล ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอกว่าสำนักนิกายหลักหลายแห่ง แต่ก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ควรมองข้าม แต่ละสำนักนิกายหลักก็ยังต้องไว้หน้าตระกูลหนานกงหลายส่วน คนของตระกูลหนานกงที่มาส่งหนานกงฉู่ถึงเยี่ยนซานตั้งคือหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่สองพี่น้อง คนทั้งสองคนนี้ล้วนบรรลุจักรพรรดิาระดับต้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีผลคุกคามต่อพวกเขา แต่ถ้าจะฆ่าจ้านอู๋มิ่งก็สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา
เลวี่ยเหวินซิวไม่คิดว่าจ้านอู๋มิ่งเป็คนประเภทยอมอดทนเมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบ เ้าเด็กนี่ไม่เพียงเย่อหยิ่งเท่านั้น ทั้งยังเป็คนที่มีแค้นต้องชำระ สำหรับศัตรูที่เป็ภัยคุกคามต่อชีวิต เขายังเป็ฝ่ายรุกลงมือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม หนานกงฉู่ทำให้ร่างกายเขาได้รับการขัดเกลาเช่นในวันนี้ หากเกิดเขาบ้าคลั่งขึ้นมา ก็คงไม่สนใจแล้วว่าหนานกงฉู่มีศักดิ์ฐานะอะไร มีความเป็ไปได้สูงมากที่จะลงมือสังหาร ถึงเวลานั้นหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ก็จะไม่สนใจข้อตกลงระหว่างสำนักกระบี่ิญญากับสำนักบริบาลเดรัจฉานอีกต่อไปแล้วลงมือสังหารจ้านอู๋มิ่งโดยตรง ดังนั้นเขาจึงเตือนศิษย์พี่รองและศิษย์น้องเจ็ดไว้ก่อน
“แม้ว่าเ้าจะโชคดีได้รับชัยชนะ แล้วเ้าสามารถทำอะไรได้ล่ะ?” สีหน้าหนานกงฉู่แสดงความดูแคลน ตนคืออัจฉริยะของตระกูลหนานกง เห็นท่านอาผู้เฒ่าทั้งสอง หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่อยู่ไม่ไกลนัก ในเยี่ยนซานตั้งแห่งนี้ ผู้ใดจะกล้าสังหารตนต่อหน้าจักรพรรดิาสองคนนี้? เขาไม่เชื่อเด็ดขาด แน่นอนว่าเขาก็ไม่เห็นชัยชนะของจ้านอู๋มิ่งอยู่ในสายตา หากต่อสู้กันใหม่อีกครั้ง เขายังคงมีโอกาสเป็พันๆ ครั้งที่จะฆ่าจ้านอู๋มิ่งเสียก่อนที่จ้านอู๋มิ่งจะคว้าลำคอของตนไว้ ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจ้านอู๋มิ่งได้รับชัยชนะแล้ว ความเย่อหยิ่งในใจยังคงไม่เคยลดน้อยถอยลงเช่นเดิม
สายตาของจ้านอู๋มิ่งฉายแววตลกขบขัน ยื่นมือข้างหนึ่งที่ถูกทุบตีช้ำเป็รอยเขียวม่วง ออกไปบีบใบหน้าของหนานกงฉู่เบาๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “น้องชายน้อย เ้านี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ เลยนะ! ที่นี่คือบนเวทีต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิตและความเป็ตาย เ้านึกว่ากำลังนั่งเล่นอยู่ที่ข้างบ้านเช่นนั้นหรือ พี่ชายไฉนจะไม่กล้าฆ่าเ้า?”
“ก็เพราะเขาเป็คนของตระกูลหนานกงของเรา หากเ้ากล้าแตะต้องเขาแม้เพียงขุมขน ข้าจะทำลายล้างเก้าชั่วโคตรของเ้า!” เสียงเย็นเยียบดังออกมาจากปากของหนานกงพั่วไฮว่
หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ทะยานร่างขึ้น แต่ว่ากลับไม่สามารถทะยานขึ้นไปอยู่บนเวที เนื่องจากเลวี่ยเหวินซิวพลันแผ่สภาวะพลังแข็งแกร่งออกมา ทำให้ท่าร่างของทั้งสองหยุดนิ่งไป ยามนี้หนานกงฉู่ยังคงอยู่ในกำมือของจ้านอู๋มิ่ง และก่อนหน้านี้จ้านอู๋มิ่งก็ยังไม่ได้ฆ่าศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญา พวกเขาก็ไม่คิดจะขัดแย้งกับสำนักบริบาลเดรัจฉานโดยตรง
“นี่เป็ข้อตกลงระหว่างสำนักบริบาลเดรัจฉานกับสำนักกระบี่ิญญา ตระกูลหนานกงคงยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นไร้เหตุผลกระมัง? พวกเ้านี่กำลังท้าทายสำนักบริบาลเดรัจฉานใช่หรือไม่?” เลวี่ยเหวินซิวแค่นเสียงเ็าคำหนึ่ง ขวางอยู่เบื้องหน้าหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ อาศัยพลังคนเดียวสะกดข่มทั้งสองคนไว้โดยสิ้นเชิง
“เ้า!” หนานกงพั่วไฮว่โกรธจัด แต่ก็ครั่นคร้ามต่อพลังของเลวี่ยเหวินซิว
“ข้าเกรงกลัวแทบตายแล้ว ที่แท้เ้าคือคนของตระกูลหนานกงหรือ?” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะพลางยื่นนิ้วก้อยเชิดคางของหนานกงฉู่ขึ้น ลักษณะท่าทางคล้ายบิดาแค่จะเย้าหยอกเ้าดูสักครั้ง หนานกงฉู่โกรธเคืองจนแทบคลุ้มคลั่งเสียสติแล้ว นี่ก็คือการเหยียดหยามดูิ่กันซึ่งๆ หน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้