ฟางเฉินเล่อรู้ว่าโหยวเสี่ยวโม่มาที่นี่ครั้งแรก จึงตั้งใจพาเขาไปเดินดูรอบๆ
ตัวโหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะห้าวันจากนี้เขาต้องอยู่ใช้เวลาอยู่ที่นี่ จึงจำเป็ทำความคุ้นเคยเสียหน่อย
แต่สิ่งที่เขาปละหลาดใจคือ เขาไม่เห็นแม้แต่เงาของฝูจื่อหลิน ฟางเฉินเล่อเห็นเขาเหลือบมองตนเอง เดาออกว่าเขาอยากถามอะไร “ศิษย์พี่รองเ้าพักผ่อนอยู่ในห้อง เขาไม่ชอบที่คนเยอะๆ น่ะ”
โหยวเสี่ยวโม่ผงกหัว ดูจากนิสัยของศิษย์พี่รองก็น่าจะดูออก
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านสนิทกับศิษย์พี่รองหรือเปล่า?”
สองคนเดินเคียงไหล่ออกไป โหยวเสี่ยวโม่ก็โพล่งคำถามขึ้นมา
“พวกข้ารู้จักกันั้แ่เด็ก ศิษย์น้องเล็กคิดว่าพวกข้าสนิทกันไหมล่ะ?” ฟางเฉินเล่อหัวเราะและถามกลับ
โหยวเสี่ยวโม่ลูบหัวแก้เก้อ รู้ว่าคำถามนี้ออกจะละลาบละล้วงไปหน่อย แต่เขาแค่อยากหาเื่พูดคุย อีกทั้งนึกถึงศิษย์พี่รองผู้เ็านั่นพอดี
ฟางเฉินเล่อกล่าว “ที่จริงเ้าเห็นจื่อหลินท่าทีเ็าแบบนั้น แต่ที่จริงเขาเป็คนเย็นนอกร้อนใน เพราะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาดูเหมือนจะอยู่ด้วยยาก แต่ถ้าอยู่ด้วยนานวันเข้าเ้าก็จะรู้เองว่าเขาไม่ได้เป็อย่างที่เห็น”
โหยวเสี่ยวโม่ลังเลชั่วครู่ “พอจะถามได้หรือไม่ เพราะเหตุผลอะไรหรือ?”
“ก็ได้ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก” ฟางเฉินเล่อถอนหายใจพร้อมกล่าวต่อ “ที่จริงความฝันของจื่อหลินน่ะไม่ใช่นักหลอมโอสถที่เก่งกาจหรอก ั้แ่เด็กเขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออยากจะเป็นักฝึกตนที่เหาะเหินอิสระอยู่บนอากาศ เพียงแต่…”
ประโยคหลังไม่ต้องพูดเขาก็พอเดาได้ว่าคืออะไร
สำหรับชายหนุ่มผู้มีปณิธานแรงกล้า เส้นทางนักหลอมโอสถนี่คงจะดับความฝันเขาเป็แน่
แม้ว่านักหลอมโอสถมีความภาคภูมิใจ แต่พวกเขาทำได้แค่หลอมยา นอกเสียจากว่าจะเป็นักหลอมโอสถระดับสูง ไม่เช่นนั้นพวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
ฟางเฉินเล่อมองไปข้างหน้า ก็หลุดยิ้มแบบปลื้มใจออกมา “แต่ว่า ถึงแม้จื่อหลินจะไม่มีพร์ในการฝึกตน แต่เขามีความอัจฉริยะด้านการหลอมยา หากไม่ใช่ว่าเขาเลือกที่จะลงเขาไปหาหญ้าเซียนบ่อยๆ ไปทีก็ไปเป็เดือน เขาคงจะก้าวข้ามข้าไปนานแล้ว”
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่รองจะเก่งถึงเพียงนี้” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยชมด้วยสายตาเปล่งประกายวิบวับ
“ใช่ จื่อหลินนั้นเก่งกาจจริง ฉะนั้นแม้แต่เ้าสำนักยังให้ความสนใจเขา ทุกครั้งที่ลงเขาก็จะส่งนักฝึกตนขั้นสูงลงไปคุ้มกัน” ฟางเฉินเล่อยิ้มร่าพร้อมผงกหัว จากที่เขาเห็น ขอแค่อาหลินสบายใจ ทำอะไรก็ถือว่าดีไปหมด
แม้ว่าจะไม่มีหนทางช่วยเขาสานฝันได้ แต่การเป็เพื่อนที่สนิทที่สุด ก็ขอยืนหยัดให้กำลังใจเขาเช่นนี้ตลอดไป
โหยวเสี่ยวโม่หันข้างมองหน้ายิ้มปริ่มของฟางเฉินเล่อพลันคิด นี่สิศิษย์พี่ใหญ่ที่แท้จริง
สองคนเดินไปพลางคุยเล่นไปพลาง คุยกันได้อรรถรส พอรู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงห้องฝั่งตะวันตก
ห้องฝั่งตะวันตกเป็ห้องพักสำหรับศิษย์ทัพพิภพ ยังมีห้องฝั่งตะวันออก ห้องฝั่งใต้ และห้องฝั่งเหนือ ห้องฝั่งตะวันออกเป็ห้องพักสำหรับศิษย์ทัพวิหค ห้องฝั่งใต้เป็ห้องพักสำหรับศิษย์ทัพ์ ส่วนห้องฝั่งเหนือไว้สำหรับต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ
ฟางเฉินเล่อเมื่อเห็นว่าเดินกลับมาถึงห้องพักแล้ว จึงไม่ได้รีบร้อน ขณะกำลังจะเดินย้อนกลับ ก็มีคนกลุ่มเดินมาพอดี
โหยวเสี่ยวโม่มองดู ก็นึกอยากหั่นขาสองข้างของตัวเองทิ้งทันใด
โลกช่างกลมอะไรเช่นนี้ คนที่ไม่อยากเจอก็ดันมาเจอเสียได้ นี่คือครั้งที่สามที่เขาเจอคุณหนูทังอวิ๋นฉีคนนี้ แค่ภายในสองเดือนด้วย ทั้งที่เขาไม่ค่อยได้ออกจากห้อง ออกมาเพียงไม่กี่ครั้งเป็อันต้องเจอจนได้ เรียกได้ว่ามีโชควาสนา สินะ
แต่ตอนนี้เขาพึ่งนึกขึ้นได้ ถ้าทั้งสามทัพส่งคนมา ก็ต้องมีชื่อทังอวิ๋นฉีมาอยู่แล้วแน่นอน ห้องฝั่งใต้กับตะวันตกก็ใกล้กันนิดเดียว มีความเป็ไปได้สูงที่จะพบเจอ
ทังอวิ๋นฉีเมื่อเจอเขาท่าทีพลันเปลี่ยนพร้อมพุ่งหา เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา ยกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะพร้อมเอ่ย “โหยวเสี่ยวโม่ นึกไม่ถึงว่าจะเห็นเ้าที่นี่ ช่างใจกล้าเสียจริง ข้าขอเตือนเ้าไว้นะ ที่นี่ไม่ใช่ทัพพิภพ ระวังตัวไว้เถอะ เผื่อวันไหนดวงจะซวยขึ้นมา”
โหยวเสี่ยวโม่ขมิบปาก รู้อยู่แล้วว่าคุณหนูเอาแต่ใจนี่ไม่ปล่อยเขาไว้แน่
ฟางเฉินเล่อฟังแล้วขมวดคิ้ว เขาเคยได้ยินข่าวคราวทังอวิ๋นฉีมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดไม่เห็นหัวผู้ใดเช่นนี้
“ศิษย์น้องทัง เ้ากับศิษย์น้องเสี่ยวโม่ไม่เคยมีเื่ราวต่อกัน ไยต้องรังแกกันถึงเพียงนี้!”
ทังอวิ๋นฉีเหลือบมองเขา ยิ้มะเืแล้วเอ่ย “ไม่เคยมีเื่งั้นรึ? ศิษย์พี่ฟางจะรู้แกล้งทำไม่รู้ก็เื่ของท่าน แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน ว่านี่เป็เื่ระหว่างข้ากับเขา ทางที่ดีศิษย์พี่ฟางอย่ามายุ่งเลย”
ฟางเฉินสายตาส่อแววไม่พอใจนัก กำลังจะเอ่ยต่อ โหยวเสี่ยวโม่ก็ดึงมือเขาไว้ก่อน
“ศิษย์พี่ใหญ่ อย่ามีเื่กับนางเพราะข้าเลย” โหยวเสี่ยวโม่เห็นฟางเฉินเล่ออารมณ์ขึ้น รู้ว่าอยู่ต่อไปไม่ได้ ขนาดคนที่ทุกคนยกย่องว่านิสัยดีที่สุดในทัพพิภพยังถูกทังอวิ๋นฉียั่วโมโหได้ เห็นได้ว่านางมีความสามารถในการยั่วโมโหคนขนาดไหน
“ศิษย์น้องเล็ก…” ฟางเฉินเล่อรู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กนี่ยอมคนเกินไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าไม่รู้ แต่โหยวเสี่ยวโม่คิดว่ามีเื่กับคนแบบนี้ไปก็ไม่ได้อะไร เพราะถ้ายิ่งใส่ใจ อีกฝ่ายก็จะยิ่งได้ใจ
ในตอนนี้เอง ไม่ไกลนักมีคนกลุ่มกำลังเดินเข้าประตูหินมา เหมือนเห็นว่าพวกเขากระจุกกันอยู่ตรงนี้ จึงเดินตรงมาหา คนนำหน้าก็คือหลิงเซียวที่โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวัน
หลิงเซียวผู้ชื่นชอบสีขาว บนตัวเขายังคงเป็ชุดขาวหรูหรามีสกุล กิริยาท่าทางงดงาม เดินถึงไหนก็เป็จุดสังเกตของผู้คน
ทังอวิ๋นฉีเมื่อเห็นเขา ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนจากเย็นะเืเป็ยิ้มร่าขึ้นมา ยกเท้าวิ่งรี่เข้าไปหาเขาพร้อมเปล่งเสียงเรียกอย่างดีใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาได้ยังไง มาหาข้าใช่หรือไม่?”
หลิงเซียวเหลือบมองนางสีหน้าเรียบเฉยครู่หนึ่ง จากนั้นเลื่อนสายตาไปหยุดที่โหยวเสี่ยวโม่ซึ่งห่างไปสามเมตร กำลังจะเอ่ยปากเรียก แต่สายตาดันเลื่อนลงไปเห็นมือเขาที่กำลังเกาะแขนฟางเฉินเล่ออยู่ จึงหรี่ตามอง
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกได้ถึงสายตาร้อนแผดเผาคู่นั้นที่มองมือเขาอยู่ สะดุ้งจนรีบเก็บมือลง