“มีอะไรน่าตื่นใกัน เ้าไม่รู้เสียแล้วว่ามีคนมากมายเพียงใด้าเลี้ยงดูข้ายามแก่เฒ่า ข้าเลือกเพียงเ้า แล้วเ้ายังมีสิ่งใดไม่พอใจอีก”
สิ่งที่หลิงชางไห่พูดคือความจริง ที่ผ่านมาเขาคือบุคคลที่เหล่าเชื้อพระวงศ์คนสำคัญล้วน้าประจบประแจงเอาใจ ตอนนี้กลับมายังบ้านเกิดเล็กจ้อยแห่งนี้ สาวชาวบ้านตัวน้อยผู้นี้กลับยังรังเกียจเขาอีก
“ข้าไม่มีความเคยชินในการนับพ่อบุญธรรมไปเรื่อย ท่านไปหาพวกคนที่อยาฟกดูแลท่านดีกว่า”
ลั่วชีเหนียงไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนประหลาดอย่างเขา โชคดีที่การขายชานมก่อนหน้านี้ส่งผลพวง ไม่นานนักก็มีคนที่แต่งกายชุดบ่าวไพร่มาสอบถาม นางจึงเริ่มต้อนรับลูกค้า
หลิงชางไห่เห็นว่าไม่อาจตีฝ่าผ่านนางได้ จึงหันไปหาลั่วจิ่งซี น่าเสียดายที่ลั่วจิ่งซีเองก็ไม่สนใจเขา ในความเข้าใจของลั่วจิ่งซี หากต้องเพิ่มคนในบ้าน ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ชายชราผู้นี้ ดูก็รู้ว่ามีนิสัยที่เอาใจยาก ภายภาคหน้าหากกลายเป็บิดาบุญธรรมของท่านแม่ ไม่รู้ว่าเงินในบ้านจะถูกถลุงอย่างไรบ้าง นั่นคือเงินที่ต้องนำไปรักษาขาของพี่ชาย เขาไม่มีทางปล่อยให้มีคนมาสร้างปัญหาให้เป็แน่
เมื่อทำอะไรไม่ได้ หลิงชางไห่ได้แต่หันความสนใจไปที่จ้าวจือชิง
“เ้าหนุ่ม หากข้ากลายเป็พ่อตาเ้า จะต้องช่วยเ้าสั่งสอนนางแน่!” หลิงชางไห่ดูออกว่าลั่วชีเหนียงเป็คนนิสัยร้ายกาจ นับั้แ่มาถึง เ้าหนุ่มนี่ก็ไม่ได้ส่งเสียงพูดจา ดวงตาคู่นั้นแทบจะเกาะติดบนตัวลั่วชีเหนียง ความในใจช่างชัดเจนนัก
“เ้าวางใจได้ น้องภรรยาเ้าคนนั้นก็ต้องไม่กล้าดูแคลนเ้าแน่” หลิงชางไห่ลูบเคราและพยักหน้า “กระทั่งพ่อแม่ของแม่นางน้อย ข้าก็สามารถช่วยเ้าจัดการได้ ขอเพียงเ้าช่วยข้า ข้าไม่มีทางลืมเ้าแน่”
ผ่านไปนานค่อนวัน หลิงชางไห่เข้าใจว่าลั่วจิ่งซีคือน้องชายของลั่วชีเหนียง ส่วนจ้าวจือชิงได้กลายเป็ผู้ชื่นชอบชีเหนียงไปเสียแล้ว
จ้าวจือชิงจ้องมองหลิงชางไห่ที่ลูบเคราขาวโพลน สมองเริ่มวิเคราะห์วนเวียนกับคำพูดของชายชรา
พ่อตา? น้องภรรยา? เขาหมายถึงชีเหนียงหรือ?
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนมึนงงของจ้าวจือชิง หลิงชางไห่จึงตั้งใจงัดกลยุทธ์เด็ด
เขาใช้ไหล่กระแทกไหล่ของจ้าวจือชิงหนึ่งที “ภรรยาที่เก่งกาจเพียงนี้ เ้าไม่อยากสู่ขอกลับบ้านหรือ? เ้าไม่้า ก็ยังมีคนมากมายรออยู่นะ”
จ้าวจือชิงมองไปทางเหล่าบุรุษที่กำลังล้อมวงคุยยิ้มแย้มกับลั่วชีเหนียง ริมฝีปากบางก็เม้มไว้แน่น
เดิมทีลั่วชีเหนียงมีคุณสมบัติดีอยู่แล้ว สมัยก่อนเป็เพราะร่างเดิมขี้ขลาดอ่อนแอจึงคอยหลบๆ ซ่อนๆ ตอนนี้ลั่วชีเหนียงผ่าเผยองอาจ แววตาเปี่ยมด้วยความเป็มิตรและมั่นใจ จึงยิ่งขับให้นางดูต่างออกไป รัศมีดีงามไม่พอ รูปร่างเอวบางราวต้นหยางหลิวยิ่งทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้
คำพูดของหลิงชางไห่ดั่งคลื่นที่ก่อตัวในใจอันเงียบสงบของจ้าวจือชิง เหมือนเขาจะหาคำตอบที่ว่าเหตุใดตนเองจึงทำดีกับลั่วชีเหนียงได้แล้ว เขา้าแต่งงานกับนาง! ยืนเคียงข้างนางอย่างสง่าผ่าเผย
“ชีเหนียงต้องหาเงิน”
หลิงชางไห่ที่ยังอยากพูดอะไรมากกว่านี้ พอได้ยินคำนี้ รอยย่นบนใบหน้าก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ดูสิ การมีสายตาที่คมกริบนั้นสำคัญเพียงใด นี่ทำให้เขาได้รับข่าวสำคัญ
“ท่านอย่ารังแกชีเหนียง!” แม้เผชิญหน้ากับคำข่มขู่ของจ้าวจือชิง หลิงชางไห่หาได้เหลียวแลไม่
เขาโบกมือปัดไปมา “ข้ามีหรือจะรังแกนาง ข้าแทบอยากจะเทิดทูนบูชานางด้วยซ้ำ”
เพื่ออวัยวะภายในทั้งห้าของตน นับว่าเขาทุ่มทุนด้วยเืเนื้อ
หลังจากชีเหนียงจบงาน ในตะกร้ายังมีชานมบางส่วน ของเหล่านี้ทิ้งข้ามคืนไม่ได้ ถึงอย่างไรผลลัพธ์ของวันนี้ก็ใช้ได้ รีบเก็บแผงกลับบ้านก็ดี
“ลูกรอง เ้าเก็บแผงก่อน แม่จะไปร้านขายยา”
นางกำชับจบก็คว้าเหรียญกษาปณ์ทองแดงในหีบและเดินไปทางร้านยา
หลิงชางไห่เห็นนางจะไปร้านยา ดวงตาคู่นั้นหรี่เล็กลงเป็เส้น
“บ้านพวกเ้ามีคนป่วยหรือ?”
ลั่วจิ่งซีมีหรือจะตอบคำถามของชายชรา จากนั้นก็ลากจ้าวจือชิงไปทำงาน อีกทั้งยังไม่ลืมข่มขู่จ้าวจือชิง
“หากเ้ากล้าพูดจาไปเรื่อย กลับไปข้าจะฟ้องนาง ให้เ้ามาตลาดนัดไม่ได้อีก”
“เช่นนั้นจากนี้ข้ามาได้หรือ?”
ลั่วจิ่งซีไตร่ตรอง ถึงอย่างไรตนเองก็ต้องมาตั้งแผงกับท่านแม่ มีคนช่วยเพิ่มมาหนึ่งคนก็ดี
ลั่วจิ่งซีได้ขุดหลุมพรางไว้ให้ตนเองโดยไม่รู้ตัว เื่นี้ทำให้เขาตระหนักได้อย่างสมบูรณ์ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าการอัญเชิญเทพนั้นง่ายดาย แต่การส่งเทพจากไปนั้นยากเย็น [1]
ถึงแม้ไม่มีใครสนใจหลิงชางไห่ แต่เขากลับหน้าหนายิ่งนัก จวบจนสกุลลั่วเก็บแผง เขาก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน กระทั่งยังตามติดพวกเขา พวกลั่วชีเหนียงเดินเร็ว เขาก็เร็ว พวกนางช้า เขาก็ช้า
เมื่อเห็นว่าใกล้ออกจากตัวอำเภอ ชีเหนียงไม่้าใช้เล่ห์เหลี่ยม หากพวกเขาขึ้นเกวียน ความเร็วนี้มิใช่กำลังของการเดินเท้าที่จะตามทันได้
“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?” นางหยุดชะงักฝีเท้า ดวงตาสำรวจบนตัวหลิงชางไห่ “พวกข้าเป็แค่ครอบครัวเล็กๆ ไม่คิดจะไต่เต้าเป็ญาติกับท่าน หากท่านคิดว่าก่อนหน้านี้ข้าช่วยท่านออกหน้าแก้สถานการณ์ที่โรงเตี๊ยม ท่านก็คืนเงินให้ข้าแทน”
หลิงชางไห่เห็นท่าทางของนางย่อมรู้ว่านางเริ่มโกรธเคืองจริงๆ แล้ว แต่เขาหิวนี่นา
“ชีเหนียง ข้ามิใช่คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ข้าเพียงแค่หิวอย่างหนักและ้ากินให้อิ่มท้องสักมื้อก็เท่านั้น” ขณะพูด เขาก็ควักเงินร่วนออกจากถุงเงินบางส่วน “นี่คือสมบัติติดตัวทั้งหมดของข้า ขอเพียงเ้าให้ข้ากินอิ่มท้อง เงินเหล่านี้จะยกให้เ้าทั้งหมดก็ย่อมได้”
“ท่านเพียงแค่อยากกินข้าวหรือ?” เื่ง่ายดายแค่นี้ ไม่ว่าอย่างไรชีเหนียงก็ไม่เชื่อ ตอนนี้มิใช่ปีแห้งแล้งอดอยาก ไม่มีทางไม่มีข้าวกิน อีกทั้งในมือเขาก็มีเงิน
หลิงชางไห่เห็นนางเริ่มผ่อนปรนจึงรีบรับประกัน “ข้ารับรองว่าขอแค่ข้าวหนึ่งมื้อเท่านั้น”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ลั่วชีเหนียงจึงไม่ปฏิเศษอีก เพียงแค่ข้าวหนึ่งมื้อ หากขับไล่ชายชราคนนี้ไปได้ก็ถือว่าคุ้มค่า
......
ลั่วจิ่งเฉินไม่ได้คาดคิดเลยว่า ที่เขาให้ลั่วจิ่งซีจับตาดูจ้าวจือชิงให้ดี กลับกลายเป็ว่าคนผู้นี้ยังไม่ได้ถูกจัดการ ลั่วชีเหนียงกลับเก็บคนกลับมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
แต่เมื่อเทียบกับความกังวลของลั่วจิ่งเฉินแล้ว ลั่วจิ่งไหลที่ยังเยาว์นักกลับมองดูชายชราที่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวไม่หยุดด้วยความห่วงใย จากนั้นจึงแนบตัวเข้าหาและกระซิบกับลั่วชีเหนียง
“ท่านแม่ ท่านปู่จะทานจนท้องอิ่มเกินไปหรือไม่? ครั้งที่แล้วข้ากินเกาลัดมากไปจนท้องบวม ยังรู้สึกอึดอัดเลย”
ลั่วชีเหนียงเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าชายชราผู้นี้จะกินเก่งเพียงนี้ จ้าวจือชิงเป็ชายร่างใหญ่ กินเยอะก็เข้าใจได้ แต่ชายชราตัวผอมแห้ง ั้แ่ตั้งโต๊ะอาหารจนถึงตอนนี้ก็ยังกินไม่หยุด
จ้าวจือชิงรู้สถานะของสกุลลั่วดี ด้วยเหตุนี้เมื่อทานจนอิ่มพอประมาณก็วางตะเกียบลง จนถึงตอนนี้หลิงชางไห่ไม่เพียงกินไม่หยุด แล้วยังะโ ‘ขออีก’ อยู่เรื่อยๆ
“ท่านกินมากเกินไป จะย่อยยากได้ หรือไม่ที่เหลือค่อยกินวันรุ่งขึ้นดีกว่า”
ลั่วชีเหนียงรับรู้ถึงความน่ากลัวของนักกินอย่างลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้จึงพยายามใช้น้ำเสียงแบบประนีประนอม
“วันรุ่งขึ้น?” หลิงชางไห่ดวงตาเป็ประกายทันใด เช่นนี้ก็เท่ากับว่าวันรุ่งขึ้นยังสามารถทานบะหมี่อร่อยเช่นนี้ได้อีกหรือ?
ถูกต้อง หลิงชางไห่ถูกบะหมี่แห้งของลั่วชีเหนียงสยบอย่างราบคาบ ตอนที่ทานเมื่อครู่ยังคิดจะใช้เป็ข้ออ้างเพื่อให้ตนได้อยู่ต่อ ตอนนี้ลั่วชีเหนียงกลับเอ่ยขึ้นเองว่าวันรุ่งขึ้น แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด
“เช่นนั้นก็ตกลง ที่เหลือค่อยกินในวันรุ่งขึ้น” ขณะพูดก็เช็ดริมฝีปากที่มันเยิ้ม “คืนนี้ข้านอนกับเขาก็ได้”
หลิงชางไห่ชี้ไปทางจ้าวจือชิงขณะพูด ตนเองช่างหลักแหลมนักที่เข้าทางเ้าหนุ่มนี่ วันหลังมีเ้าหนุ่มนี่อยู่ด้วย ตนเองก็สามารถอยู่ที่นี่ต่อได้แน่
-----
[1] การอัญเชิญเทพนั้นง่ายดาย แต่การส่งเทพจากไปนั้นยากเย็น หมายถึง การเชิญใครคนใดคนหนึ่งที่คิดว่าใช่ มาช่วยแก้ปัญหา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็การเพิ่มปัญหาใหม่เข้ามาแทน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้