เสี่ยวเตี๋ยประคองตัวปู่ของนางออกไป ไม่นานนักโจวมู่เจี๋ยไล่ตามมาถึงที่นี่ ทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์อีกหลายคนติดตามเขามาด้วย ล้วนแต่อยู่ขั้นรวมชี่ เห็นได้ชัดว่าโจวมู่เจี๋ยเรียกผู้ช่วยมา เพื่อ้าปิดล้อมเย่เฟิง
“หมอนั่นต้องมาที่นี่แน่ ๆ ข้าจับกลิ่นอายของเขาไว้ ตามไปต่อ!” โจวมู่เจี๋ยมองไปรอบ ๆ แต่ไร้วี่แววเย่เฟิง จากนั้นออกไปจากที่นี่พร้อมคนอื่น ๆ
เมื่อไม่มีเสี่ยวเตี๋ยและชายชรา เย่เฟิงจึงเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น เขาผ่านถนนและซอกซอย ส่วนพวกโจวมู่เจี๋ยไล่ตามหลังมา เพราะพวกเขามีสมบัติที่ใช้ตรึงกลิ่นอายของเย่เฟิง ดังนั้นเย่เฟิงจึงหลุดพ้นจากคนเหล่านี้ได้ยาก
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เย่เฟิงมาถึงเขตการค้าที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง สองฝั่งข้างทางเต็มไปด้วยแผงลอยมากมาย ทั้งยังมีผู้คนเดินกันพลุกพล่าน จากนั้นเขาเข้าไปในเขตการค้าแห่งนี้
“พี่ลู่จะรีบร้อนไปไหนหรือ?” ขณะนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงแผงลอยเอ่ยถามชายผู้หนึ่งที่เดินผ่านแผงลอยไปด้วยความเร่งรีบ
“เ้าไม่รู้หรือ? ที่เวทีประลองในตลาดตระกูลตู๋กูเพิ่มของรางวัลดี ๆ มาอีกไม่น้อยเลย มีทั้งยาล้ำค่าและอาวุธ ว่ากันว่ามีกระดูกปีศาจัด้วย ทุกคนจึงต่างสนใจกันไปเข้าร่วมการประลองนี้ เพื่อชิงสมบัติ ข้าก็ว่าจะไปเข้าร่วมด้วย” ชายผู้นั้นที่ถูกถามกล่าวตอบ
“อย่างนี้นี่เอง การประลองที่ตระกูลตู๋กูจัดนับวันยิ่งน่าสนใจ นี่อาจจะเป็การเปรียบเทียบตลาดอื่น ๆ ในเขตการค้าของเมืองหลวงก็ได้” ชายหนุ่มที่เอ่ยถามคนนั้นพยักหน้าพร้อมดวงตาทอประกายด้วยความตื่นเต้น
่นี้การประลองที่ตระกูลตู๋กูจัดขึ้นกำลังเป็ที่เลื่องลือ ทำให้ดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์เป็จำนวนมาก นั่นเพราะว่ามีรางวัลเป็สมบัติล้ำค่า จึงเป็การแข่งขันที่ดุเดือดมาก
“กระดูกปีศาจั” เมื่อเย่เฟิงได้ยินคำพูดของชายผู้นั้น ดวงตาก็ฉายแววดีใจ เขาตามหากระดูกปีศาจัมาหลายวันกลับไร้วี่แวว แต่จะไปปรากฏที่เวทีประลองของตระกูลตู๋กูอย่างนั้นหรือ?
จากนั้นเย่เฟิงเห็นชายผู้นั้นออกไป เขาก็ตามหลังไปติด ๆ ตราบใดที่ตามอีกฝ่ายไปก็อาจจะเข้าถึงเวทีประลองที่ตลาดตระกูลตู๋กูได้
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ประตูมหึมาบานหนึ่งปรากฏที่ด้านหน้าของเย่เฟิง มีผู้ฝึกยุทธ์เข้าออกมากมาย และยังมีตัวอักษรแกะสลักไว้บนประตูบานมหึมาว่า ตลาดตระกูลตู๋กู
“ที่นี่แหละ” เย่เฟิงคิดในใจ เมื่อเดินมาที่หน้าประตูก็มีทหารยามมาขวางทาง และกล่าวถามเขา “มาซื้อขาย มาเข้าร่วมการประลอง หรือมาดูเฉย ๆ?”
“แตกต่างกันยังไงหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“ถ้าซื้อขายทั่ว ๆ ไปก็เข้าออกได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าจะเข้าร่วมการประลองก็ต้องจ่ายหินหยวนระดับล่าง 100 ก้อนเป็ค่าธรรมเนียม” ทหารยามคนนั้นกล่าว
เย่เฟิงขมวดคิ้ว เป็ไปตามที่คาดการณ์ ในใต้หล้าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ ตระกูลตู๋กูจัดการประลองพร้อมมีรางวัลดี ๆ มากมาย แล้วจะยอมเสียแต่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร? ทุกคนที่เข้าร่วมการประลองนี้ต้องจ่ายหินหยวนระดับล่าง 100 ก้อน กระทั่งจะเข้าไปชมก็ต้องเสียเงินไม่น้อย การประลองดังเป็พลุแตก ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์จากทั่วสารทิศมาเข้าร่วม ถ้าเช่นนั้นตระกูลตู๋กูก็คงได้เงินจากค่าเข้าไปเป็จำนวนมหาศาล
“ใช้เยาตานก้อนนี้แทนได้หรือไม่?” ที่ตัวเย่เฟิงนั้นไม่มีหินหยวนระดับล่างถึง 100 ก้อน จึงคิดใช้เยาตานจ่ายแทนหินหยวน
ทหารยามคนนั้นรับเยาตานไปแล้วกวาดตาดู ก่อนจะโยนกลับไปให้เย่เฟิง “พวกเรารับแค่หินหยวน ไม่รับเยาตาน ถ้าไม่มีหินหยวนก็ไม่มีสิทธิ์เข้า ออกไปได้แล้ว!”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นจาง ๆ เยาตานก้อนนี้ที่เขานำออกมามีระดับที่สูงมาก ไม่แน่อาจขายได้ในราคาหินหยวน 200 ก้อนขึ้นไป แต่ทหารยามคนนี้กลับบอกว่าไม่ได้
“เดี๋ยวข้าจ่ายแทนสหายคนนี้เอง” ขณะที่เย่เฟิงคิดจะออกไปแลกเป็หินหยวน พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของเย่เฟิง จากนั้นเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาพร้อมโยนแหวนมิติวงหนึ่งไปให้ทหารยาม พร้อมกล่าวขึ้น “ในนี้มีหินหยวนระดับล่าง 200 ก้อน เป็ค่าเข้าของพวกเราสองคน”
เย่เฟิงหันไปมอง ก่อนจะเห็นว่าคนผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาว คิ้วคมดุจดาบ ดูลึกลับ สีหน้าของชายผู้นี้ดูจองหอง แต่กลับมีนิสัยดี
“ขอบคุณมาก!” เย่เฟิงโค้งคำนับขอบคุณชายผู้นั้น
“อันดับที่ 4 ในรายนามขั้นบ่มเพาะกายาแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน ข้ากับเ้าอยู่สำนักเดียวกัน เื่แค่นี้เล็กน้อยน่า” ชายหนุ่มกล่าว เขารู้จักเย่เฟิง
“สหายผู้นี้คือ?” เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอคนรู้จักตัวเองที่ตลาดตระกูลตู๋กู
“เซี่ยจวิ้นหลงจากพรรคเทียนอวิ๋น!” ชายหนุ่มแนะนำตัวเองพลางยิ้ม
“ข้าได้ยินวีรกรรมของพี่เย่ในสำนักมาบ้างแล้ว จึงรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาและอยากคบค้าสมาคมด้วย วันนี้มีโอกาสเช่นนี้นับว่าเป็เกียรติยิ่ง” เซี่ยจวิ้นหลงโค้งคำนับให้เย่เฟิง
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ งั้นพวกเราก็ไปด้วยกัน” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม อีกฝ่ายดูสดใสร่าเริง แล้วเขาจะหาเื่ไปทำไม เซี่ยจวิ้นหลงพยักหน้า จากนั้นทั้งสองเข้าสู่ตลาดตระกูลตู๋กูด้วยกัน
ตลาดตระกูลตู๋กูมีพื้นที่กว้างขวาง ทั้งยังเป็แหล่งศูนย์รวมการค้าขายสิ่งของมากมายหลากหลายประเภท ที่แห่งนี้มีพื้นที่กว้างกว่าลานกว้างของพรรคเทียนจีหลายเท่า พ่อค้าแม่ค้าที่มาค้าขายก็ถูกจัดระเบียบให้อยู่ชายเขตพื้นที่ ส่วนตรงกลางเป็พื้นที่กว้างที่มีเวทีประลองหลายสิบแห่ง ทั้งยังมีอัฒจันทร์สูงสิบจั้งห้อมล้อมเวทีประลองเหล่านี้ บนนั้นบรรจุผู้ชมได้หลายหมื่นคนและตอนนี้ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ด้านล่างอัฒจันทร์หลักที่อยู่ระหว่างกลางยังมีแท่นบูชาตั้งอยู่ บนนั้นเต็มไปด้วยของรางวัลมากมาย มีทั้งยาเม็ด ทักษะเคล็ดวิชา และอาวุธ แต่ในบรรดาของรางวัลที่วางไว้บนนั้นมีของสิ่งหนึ่งที่ดูโดดเด่นมากที่สุด
นั่นก็คือกระดูกท่อนหนึ่งที่ยาวประมาณครึ่งจั้ง จากลักษณะภายนอกของกระดูกนี้น่าจะมีอายุค่อนข้างมาก แต่กลับมีแสงเรืองรอง ดูศักดิ์สิทธิ์เป็อย่างมาก ราวกับมีกลิ่นอายของัไหลเวียนอยู่บนนั้น เมื่อคนอื่น ๆ เห็นก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาและอยากก้มลงเคารพบูชา จึงมีคนไม่น้อยมองกระดูกชิ้นนี้ด้วยสายตาปรารถนา
“ดูสิ นั่นก็คือกระดูกปีศาจัในตำนาน ไม่ธรรมดาจริง ๆ ด้วย ราคาคงต้องสูงมาก มีเพียงตระกูลตู๋กูหรือตระกูลใหญ่ ๆ เช่นนี้จึงจะสามารถนำของล้ำค่าเช่นนี้ออกมาเป็รางวัลสำหรับการประลองได้” มีคนกล่าวพลางชี้นิ้วไปที่กระดูกชิ้นนั้น คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย
ปีศาจัเป็หนึ่งในไม่กี่เผ่าพันธุ์ที่มีระดับสูงในบรรดาสัตว์อสูร
ลือกันว่าปีศาจัเกิดมาพร้อมพร์อันแกร่งกล้า ปีศาจัที่เพิ่งเกิดจะมีพลังพิเศษ แต่เมื่อปีศาจัถึงวัยโตก็จะสามารถทำลายฟ้าถล่มดินได้
ในอาณาจักรจ้าวมีูเาแม่น้ำลำธารหลายแห่ง ทุก ๆ ที่จะมีสัตว์อสูรหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ แต่กลับไม่เคยมีปีศาจัปรากฏตัวมาก่อน ซึ่งปีศาจันั้นเป็สัญลักษณ์ของอสูรเทพ กระดูกของมันมีประโยชน์เป็อย่างมาก ทั้งหล่อหลอมอาวุธและปรุงยาได้ แต่มันเป็ส่วนผสมที่หาได้ยากมาก ดังนั้นราคาของกระดูกปีศาจัจึงประเมินค่าไม่ได้ ทว่าตอนนี้ตระกูลตู๋กูจัดเวทีประลองทดสอบ ทั้งยังนำกระดูกปีศาจัออกมา แล้วจะไม่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นได้อย่างไร? ทุกคนต่างอยากได้มันมา พวกเขาจำต้องขึ้นสู้บนเวทีประลองเพื่อแย่งชิงมันมา
เย่เฟิงกับเซี่ยจวิ้นหลงมาถึงบริเวณเวทีประลองทดสอบ พวกเขาขึ้นไปยังอัฒจันทร์ทิศตะวันออก ซึ่งมีหญิงรับใช้เตรียมไว้ให้ ทั้งยังมีวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็จะเห็นเวทีประลองทดสอบทั้งหมด เย่เฟิงกวาดมองเขตเวทีประลองทดสอบ ซึ่งเขาพบกระดูกปีศาจัในทันที ก่อนดวงตาจะเป็ประกาย
“กระดูกปีศาจัอยู่ที่นี่จริง ๆ วันนี้ข้าต้องได้มัน ถ้าพลาดโอกาสนี้ ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะมีแบบนี้อีกหรือไม่” เย่เฟิงคิดในใจ เมื่อได้กระดูกปีศาจัมาก็บดเป็ผงและสร้างเกราะเทพา เขาจึงจะมีโอกาสฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพาต่อไปได้
บนเวทีประลองหลายสิบเวทีล้วนมีคนต่อสู้อยู่บนนั้น บางรายดูน่าเวทนา แต่ก็มีบางรายที่ยังไม่ทันลงจากเวทีก็ถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าตายเสียก่อน แต่ก็ยังคงมีผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นเวทีอย่างต่อเนื่อง เพื่อแย่งชิงคะแนน ทำให้การประลองดำเนินไปอย่างดุเดือด เรียกได้ว่าความโลภเป็ตัวทำให้มนุษย์ไปสู่หายนะ กลิ่นคาวเืแผ่ออกมาจากเวทีประลอง คละคลุ้งไปทั่วพื้นที่
“พี่เย่จะขึ้นไปสู้ไหม?” เซี่ยจวิ้นหลงเอ่ยถามเย่เฟิง
“ขึ้นแน่นอน แต่พวกเราเพิ่งมา สังเกตการณ์ไปก่อนจะดีกว่า” เย่เฟิงตอบกลับ เขาจำต้องทำความรู้จักกับเวทีประลองนี้เสียก่อน ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีผู้ฝึกยุทธ์มากฝีมือมารวมตัวกัน ทั้งยังมีหลายคนต่างอยากได้กระดูกปีศาจั การแข่งขันจึงดุเดือดขึ้นหลายเท่า และเย่เฟิงก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดนี้ได้หรือไม่
“อืม” เซี่ยจวิ้นหลงพยักหน้า และกล่าวต่อ “พี่เย่พูดถูก หากขึ้นไปแบบนี้คงเสียเปรียบเป็แน่”
“อ๊าก!” ตอนนั้นเองมีเสียงกรีดร้องดังมาจากเวทีประลองที่อยู่ด้านล่างอัฒจันทร์ ผู้คนจึงอดหันไปมองไม่ได้ จากนั้นเห็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ส่งเสียงกรีดร้องถูกอีกฝ่ายตัดแขนทั้งสองข้าง เืไหลออกจากแขนทั้งสองข้างที่ถูกตัดไม่หยุด จนอาภรณ์ของคนนั้นเปลี่ยนเป็สีเืแดงฉาน
“อ่อนหัดแต่ก็ยังกล้าขึ้นมา ดูถูกเวทีประลองนี้ซะแล้ว” คนที่ตัดแขนของคนผู้นั้นเป็ชายหนุ่มกระหายเืสวมหน้ากาก ชายผู้นี้มีรูปร่างกำยำ สวมเสื้อคลุมหนา หน้ากากที่สวมใส่เป็สีดำดูดุดันแฝงด้วยกลิ่นอายเย็นะเื เสียงของเขายังทำให้ผู้คนรู้สึกกดดัน แต่เมื่อสิ้นเสียงของเขา พลันมีลำแสงเยือกเย็นทะลวงห้วงอากาศ นาทีต่อมาเห็นชายผู้นั้นที่ถูกตัดแขนนิ่งงัน มีเืพุ่งกระฉูดออกจากลำคอของเขา ก่อนร่างจะล้มลงไปกองกับพื้น
“ตุบ!” จากนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น พวกเขาเห็นชายผู้นั้นที่เพิ่งล้มลงถูกชายหนุ่มกระหายเืเตะออกไปจากเวทีประลอง
“สวะแบบนี้ไม่สมควรขึ้นเวทีประลอง” ชายหนุ่มกระหายเืกล่าวอย่างโอหังพร้อมไอสังหารแผ่ออกจากร่าง และทุกคำพูดของเขาพลอยทำให้ผู้คนใจเต้นโครมครามไปด้วย
“ซื่อหุนโหดร้ายเกินไปแล้ว ชายหนุ่มขั้นรวมชี่ที่ 2 คนนั้นที่ท้าดวลกับเขา ยังไม่ผ่านเข้ารอบสามแต่ก็ถูกซื่อหุนตัดแขนทั้งสองข้าง ทั้งยังโดนเตะออกจากเวทีประลอง” มีคนหนึ่งกล่าวขณะมองชายหนุ่มกระหายเืผู้นั้น คนอื่น ๆ ได้ยินก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาได้เป็สักขีพยานอีกครั้ง ซื่อหุนชนะไปทั้งหมด 89 สนาม ตอนนี้ชนะอีกหนึ่งสนาม รวมเป็ 90 สนาม กลายเป็อันดับหนึ่ง และคะแนนการประลองของซื่อหุนก็น่าหวาดกลัวมาก เขาเก็บคะแนนได้มากกว่า 58,000 แต้ม แสงสีทองที่เรืองรองอยู่ด้านหลังเขาจึงดูโดดเด่นมาก
“คนผู้นี้อันตรายมาก” เย่เฟิงก็สังเกตเห็นซื่อหุนเช่นกัน การที่สามารถเอาชนะ 90 สนามได้อย่างต่อเนื่องก็เป็การพิสูจน์ความแข็งแกร่งของซื่อหุนได้แล้ว
จากนั้นเย่เฟิงพบว่า นอกจากซื่อหุนคนนี้แล้วยังมีอีกสิบกว่าคนที่มีคะแนน 10,000 แต้มขึ้นไป คนเหล่านี้มีพลังต่อสู้และพลังโจมตีที่แข็งแกร่ง สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้ในพริบตา พวกเขาอยู่ต่างเวทีประลอง ไร้ซึ่งความเมตตาใด ๆ เมื่อมีผู้ท้าดวลขึ้นเวที พวกเขาจะฆ่าอีกฝ่ายด้วยวิธีโเี้ ทำให้ทุกคนต่างต้องใ
หนึ่งในนั้นมีชายร่างสูงใหญ่และผู้ฝึกยุทธ์แขนเดียว คะแนนของทั้งสองคนมี 20,000 แต้มขึ้นไป ชายร่างสูงใหญ่ถือค้อนทองคำ เมื่อค้อนโบกสะบัดก็ราวกับสะกดฟ้าดิน ทุกคนที่ท้าดวลด้วยต่างถูกค้อนทองคำของชายร่างสูงใหญ่ฆ่าตายภายในสามกระบวนท่า ส่วนผู้ฝึกยุทธ์แขนเดียว เขาไม่พูดไม่จา แต่มือข้างที่เหลือมักจะจับดาบที่เอวของเขาอยู่เสมอ และการประลองที่ผ่านของเขาจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งกระบวนท่า เป็หนึ่งกระบวนท่าที่สะอาดเกลี้ยงเกลา และเมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝึกยุทธ์แขนเดียวชักดาบ นั่นก็คือจุดสิ้นสุดของการประลอง ไม่มีใครหลบหนีดาบของเขาได้ ชักดาบก็ต้องเห็นเื และคนที่ท้าดวลกับเขาก็จะถูกเขาฆ่าตายในหนึ่งดาบ
“ซื่อหุนแข็งแกร่งเกินไป สะสมคะแนนได้ 58,000 แต้มก็เพียงพอจะแลกของรางวัลดี ๆ ได้มากมาย แต่ถ้าอยากได้กระดูกปีศาจัก็ยังขาดอีก 30,000 แต้ม แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่ากระดูกปีศาจัจะไปตกอยู่ในมือของใคร?” มีคนหนึ่งกล่าว กระดูกปีศาจันั้นล้ำค่ามาก ทุกคนจึงอยากได้มัน ดังนั้นการแย่งชิงคะแนนดำเนินไปอย่างดุเดือด แม้แต่เหล่าคนที่มีคะแนนต่ำกว่า 10,000 แต้มก็ไม่กล้าชะล่าใจ
“ที่นี่มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมหาศาล ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าใครจะได้กระดูกปีศาจั แต่ด้วยคะแนนของซื่อหุน เขามีความเป็ไปได้สูงมากที่จะได้มันมากกว่าคนอื่น” มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว การประลองนี้มีผู้ฝึกยุทธ์เข้าร่วมจำนวนมากและมีหลายคนที่มาเพราะกระดูกปีศาจั จึงยังตัดสินไม่ได้ จนกว่าจะถึงนาทีสุดท้าย
ขณะเดียวกันมีสายตาเยือกเย็นหลายคู่มองไปทางเย่เฟิงโดยที่ไม่ปกปิดจิตสังหารแต่อย่างใด ทำให้เย่เฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะเห็นหลายเงาร่างที่อยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม คนเ่าั้ก็คือโจวมู่เจี๋ยและเหล่าศิษย์สำนักศึกษาเสินเจียงที่ไล่ตามเขามาตลอดทาง ในกลุ่มพวกเขายังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่หลายคน เห็นได้ชัดว่าเขาไปขอกำลังสนับสนุน
“คนพวกนี้ไล่ตามมาถึงที่นี่เลยหรือ” เย่เฟิงคิดในใจขณะมองโจวมู่เจี๋ยด้วยสายตาดูแคลน ทำให้โจวมู่เจี๋ยโกรธและอยากจะะโข้ามอัฒจันทร์ไปฆ่าเย่เฟิงเดี๋ยวนี้ แต่เย่เฟิงยกยิ้มมุมปากขณะมองสีหน้าแดงก่ำของโจวมู่เจี๋ย หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจพวกโจวมู่เจี๋ยอีก
“สวะ ข้าจะพรากชีวิตไปจากเ้าด้วยมือของข้าที่เวทีประลองแห่งนี้” โจวมู่เจี๋ยกล่าวด้วยความเคียดแค้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้