ฤดูหนาวสำหรับหลายคนแล้ว นี่ช่างเป็ฤดูหนาวที่ไม่ปกติ
หลังจากเข้าสู่ฤดูหนาว เว้นไป่หนึ่งก็มักจะมีศัตรูกลุ่มหนึ่งลอบเข้ามา แต่ด่านเยี่ยนเหมินกลับมั่นคงดั่งทองคำ จึงลอบเข้ามาจากชายแดนด้านอื่น ทหารที่เดินลาดตระเวนที่ชายแดนมักจะเจอกับศัตรูที่ลักลอบเข้ามาเป็ประจำ ซึ่งามักจะตามมาด้วยการาเ็ล้มตาย เพียงครู่เดียวจางจ้าวฉือก็งานยุ่งขึ้นมา
ผ่านการปฏิบัติงานที่เคร่งเครียด คลังเก็บเสบียงอาหารใต้ดินและกำแพงเมืองเพียงครู่เดียวก็สร้างเสร็จ แม้แต่กำแพงประตูทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ก็ได้เพิ่มความแข็งแรงเข้าไป อีกทั้งเว่ยหลางได้เพิ่มคนเข้าไปลาดตระเวนตามแนวป้องกัน ผู้ใดก็ต่างคาดไม่ถึงว่า จะมีกลุ่มคนจากเป่ยตี้ข้ามชายแดนและเข้ามาอยู่ด้านในแคว้นต้าเหลียงได้
ผ่านไปหลายปี สวี่จือก็ยังจดจำค่ำคืนที่ทำให้ตนหวาดกลัวได้
คนในหมู่บ้านสกุลจางหลังจากรู้ถึงข้อดีของเรือนเพราะชำ ก็ได้สร้างไว้ที่เรือนของหัวหน้าหมู่บ้านหนึ่งเรือน แต่ว่าเื่วิธีการดูแลนั้นพวกเขาจำเป็ต้องให้สวี่ตี้สอน หัวหน้าหมู่บ้านพาคนของตนมาเชิญสวี่ตี้ถึงที่ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงตามหัวหน้าหมู่บ้านไปที่ไร่
สวี่เหราทำงานอยู่ในสำงานตลอด ทางด้านด่านเยี่ยนเหมินไม่มีเื่อะไรที่ต้องกังวล แต่ตำแหน่งเหล่าพี่น้องสหายที่อยู่ใกล้ๆ กำแพงต่างส่งข่าวมาแจ้งว่าหลายที่ถูกศัตรูจากนอกด่านลักลอบเข้ามา จากที่ได้ยินมาว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีคนล้มตาย ทางด้านด่านเยี่ยนเหมินเองก็เริ่มคุมเข้มแล้ว แน่นอนว่าทางด้านเหอซีเองก็เริ่มคุมเข้มตาม ประตูทิศใต้ ประตูทิศเหนือต่างปิดสนิท พร้อมทั้งสั่งให้คนไปเฝ้าที่ประตูเมือง ในเวลาปกติประตูทิศตะวันออกจะยังคงเปิดอยู่ หากผู้ใดจะเข้าออกเมืองจำเป็ต้องมีจดหมายประทับตราของหัวหน้าหมู่บ้าน ทั้งเมืองต่างเคร่งเครียดขึ้นมา แม้แต่สวี่จือที่พออากาศหนาวก็ไม่ค่อยจะออกจากเรือนเท่าไหร่ยังััได้ถึงบรรยากาศอึมครึมที่ลอยอยู่ในอากาศ
ในวันตงจื้อ [1] ในเรือนได้ร่วมกันห่อเกี๊ยว แต่สวี่ตี้กลับมาไม่ทัน จางจ้าวฉือจึงได้เอาไปให้สวี่เหราและเพื่อนร่วมงานของสวี่เหราเป็จำนวนมาก ไส้ผักกาดขาวเนื้อหมูหัวหอมรสชาติดีมาก สวี่จือรู้สึกว่านี่เป็เกี๊ยวที่อร่อยที่สุดเท่าที่ตนเองเคยทานมา
หลังจากทานเกี๊ยวแล้ว ชิงเหมี่ยวกับชิงซุยก็จุดไฟที่ตั่งในห้องของทุกคนเอาไว้ สวี่จือนอนบนตั่งอุ่นๆ พลางมองแม่นมลู่เย็บเสื้ออยู่ใต้ตะเกียงน้ำมัน ลมหนาวด้านนอกพัดกิ่งไม้ที่ใบร่วงจนหมดแล้วจนเกิดเสียงดังวู้ๆ เป็เสียงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว แต่สวี่จือรู้สึกว่าการที่อยู่ในห้องที่อบอุ่นเช่นนี้ ในใจของนางรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่สุด
แม่นมลู่มองแม่นางน้อยที่นอนอยู่ในผ้าห่มพลางยิ้มตาหยีมองตนเองอยู่ จึงยิ้มแล้วเอ่ย “คุณหนูเก้า ดึกแล้วนะ รีบนอนเถิด”
สวี่จือเอ่ยตอบ “แม่นมเ้าคะ ตอนนี้ข้ายังไม่ง่วงเ้าค่ะ พวกเรามาคุยกันดีหรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่มองไปยังคนตัวเล็กที่ทำท่าทางจริงจัง จึงเอ่ยยิ้มๆ “คุณหนูเก้าจะคุยเื่ใดกับแม่นมหรือ?”
สวี่จือเอ่ย “แม่นม ท่านกับท่านทวดรู้จักกันได้อย่างไรหรือเ้าคะ?”
แม่นมลู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ไอ๊หยา พูดมาเช่นนี้ เื่มันก็ยาวอยู่นะ ตอนนั้นแม่นมเพิ่งจะอายุมากกว่าเ้าแค่ไม่กี่ปี ข้าเป็สาวใช้อยู่กับฮองเฮา หรือก็คือไทเฮาในตอนนี้ เพราะว่าได้เรียนเื่กฎระเบียบมารยาทมาไม่ดีถึงได้ถูกท่านน้าตำหนิเอา ในใจของข้านั้นเศร้ามาก จึงไปร้องไห้ที่สวนดอกไม้เล็กๆ ท่านทวดของเ้าเข้ามาทำความเคารพตอนเช้าในวังพอดีจึงเห็นข้าร้องไห้อยู่ นางเข้ามาพูดด้วยอยู่หลายคำ ต่อมาพวกเราก็สนิทกันเช่นนี้”
สวี่จือได้ยินแม่นมลู่พูดเช่นนี้ก็เอ่ยออกมาอย่างปวดใจ “แม่นม ท่านจะต้องห่างจากท่านพ่อท่านแม่ั้แ่ยังเด็กเพื่อมาทำงานในวัง ลำบากท่านแล้วเ้าค่ะ”
แม่นมลู่คิดไม่ถึงว่าสวี่จือจะให้ความสนใจในจุดนี้ ในใจของนางก็พลันอ่อนยวบ มองดวงตาเป็ประกายของสวี่จือ ก็รู้สึกว่าหัวใจเหมือนจะแช่อยู่ในลำธารในฤดูใบไม้ผลิที่มีดอกไม้ผลิดอกงดงาม มีสายลมพัดผ่านอ่อนๆ ทำให้หัวใจของตนเองผ่อนคลาย ทั้งสบาย ทั้งงดงามจับตา
แม่นมลู่ใช้ฟันกัดเส้นด้ายจนขาด ก่อนจะเอ่ย “แม่นมมักจะเจอกับคนดีๆ ไม่ลำบากหรอก เดิมคิดว่าแก่แล้ว ต่อไปจะไม่มีที่พึ่ง ผลสุดท้ายได้ตามพวกเ้ามาที่เหอซี ในใจของข้าก็รู้สึกสงบมาก คุณหนูเก้า ต่อไปแม่นมจะเอาความสามารถของตนเองมาสอนเ้าให้หมด ให้เ้ากลายเป็คุณหนูชนชั้นสูงที่ทั้งเมืองหลวงต่างอิจฉาดีหรือไม่?”
สวี่จือได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ย “แม่นมเ้าคะ ข้ารู้สึกว่าพวกเราใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในทุกๆ วันก็เพียงพอแล้ว สิ่งที่คนอื่นอิจฉานั้นต่างเป็สิ่งจอมปลอมเ้าค่ะ”
แม่นมลู่ได้ยินดังนั้นก็ใมาก “เหตุใดคุณหนูเก้าจึงคิดเช่นนี้หรือ? พวกเราเรียนกฎเกณฑ์มาดีแล้ว ต่อไปก็จะมีหน้ามีตา ออกไปเจอแเื่ก็จะรู้จักวางตัว ผู้คนต่างพูดได้ว่าคุณหนูเก้าของจวนหย่งหนิงโหวเป็สตรีที่มีกฎเกณฑ์คนหนึ่ง”
สวี่จือฟังแล้วก็ปิดปากเล็กหัวเราะจนตัวสั่น แม่นมลู่น้อยมากที่จะเห็นท่าทางเช่นนี้ของสวี่จือ ตอนที่กำลังจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงช้อนเคาะจานเหล็กดังมาก อีกทั้งยังดังมาจากทางสำนักงานว่าการเขตเหอซี
สวี่เหราย้ำแล้วย้ำอีกว่า ขอแค่ได้ยินเสียงเช่นนี้ นั่นหมายความว่ามีคนบุกเข้ามา ให้ทุกคนรีบไปซ่อนตัวให้ดี จากนั้นก็รอรับแจ้ง แม่นมลู่รู้ หลังจากซ่อนตัวดีแล้วหากได้ยินเสียงนกหวีด นั่นก็หมายความว่าให้หนี รีบไปตำแหน่งที่กำหนด รอหนีไปพร้อมกัน
แม่นมลู่ยังใส่เสื้อผ้าไม่เสร็จดี ชิงเหมี่ยวก็เปิดประตูเข้ามาแล้วพูดอย่างรีบร้อน “แม่นมเ้าคะ มีคนแอบบุกรุกเข้ามา พวกเราจะต้องรีบไปซ่อนตัวเ้าค่ะ”
หลังจากฤดูหนาวมาถึง ครอบครัวสวี่เองก็พาคนในครอบครัวมาฝึกซ้อมด้วยกันหลายครั้ง เพื่อยามอันตรายมาถึง ก็จะสามารถหาทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดออกมาได้ถูกเวลา แล้วรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ได้
เรือนหลังในจวนมีห้องใต้ดิน เดิมทีเอามาใช้วางของ สถานที่ค่อนข้างจะเป็ความลับ เป็สวี่ตี้มาขุดเอาไว้ที่เรือนหลังในภายหลัง โดยการทำห้องใต้ดินนี้มาเป็สถานที่ที่ซ่อนตัวชั่วคราว ต่อมาได้เริ่มกระบวนการทำคลังเก็บเสบียงเอาไว้ใต้ดิน สวี่ตี้ได้หาคนมาขุดเส้นทางในห้องใต้ดิน เส้นทางไม่ใช่แค่เส้นเดียว แต่เป็หลายเส้น ด้านในของทุกเรือนล้วนมีเส้นทางที่จะลงไปยังห้องใต้ดิน อีกทั้งยังมีเส้นทางหนึ่งเป็ทางออกอยู่ในเรือนหนึ่งที่อยู่ด้านนอกสำนักงาน เรือนนั้นถูกสวี่ตี้ซื้อเอาไว้แล้ว เมื่อมีเื่อันตรายเกี่ยวพันมาถึงชีวิต สวี่ตี้ไม่อาจปล่อยผ่านเื่นี้ไปได้
หลังจากแม่นมลู่สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็ช่วยแต่งตัวให้สวี่จือ แล้วก็หาผ้าคลุมกันลมหนาๆ มาให้ ก่อนที่จะไปยังห้องสวี่ตี้ด้วยกันกับชิงเหมี่ยว ด้านในตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอน เพื่อทางเข้านี้ สวี่ตี้ได้จ้างคนทำตู้เสื้อผ้าเอาไว้ในห้องนอน
จางจ้าวฉือแต่งตัวเสร็จแล้วเดินออกมายืนอยู่ในเรือน นางเงี่ยหูฟังเสียงด้านนอก แล้วเอ่ยกับแม่นมลู่ “แม่นม คนในเรือนพวกนี้มอบให้ท่านดูแลแล้ว ท่านพาไปซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินก่อนเถิด แล้วคอยฟังเสียงด้านนอกอย่างละเอียด ถ้าหากมีสัญญาณให้หนี ก็รีบไปที่ถนน ข้าจะไปดูทางด้านสำนักงานนะเ้าคะ”
แม่นมลู่ดึงมือของจางจ้าวฉือเอาไว้ “ฮูหยินสาม เ้าจะทำอะไร ออกไปเวลานี้มันอันตรายเกินไปนะ”
จางจ้าวฉือตอบ “แม่นม ข้าเป็หมอ ในเวลานี้ถึงสมควรจะออกไปด้านนอกนะเ้าคะ ท่านโปรดวางใจ ข้าจะระมัดระวังอันตรายให้ดี”
แม่นมลู่เห็นท่าทางยืนยันหนักแน่นของจางจ้าวฉือจึงกล่าวว่า “เช่นนั้นเ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแต่งหน้าเป็บุรุษแก่ๆ สักคน แล้วค่อยให้องครักษ์ตามไปด้วย ฮูหยินสาม เ้าท่านเป็ฮูหยินของใต้เท้าสวี่ จะต้องระวังให้มากนะ”
จางจ้าวฉือพยักหน้า “แม่นม เื่ในเรือนมอบให้ท่านแล้ว”
จางจ้าวฉือไปหาเสื้อผ้าและแต่งหน้าในห้อง ทางด้านแม่นมลู่ก็ได้ไปหาองครักษ์มาสองคน ให้พวกเขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน
ทางด้านชิงเหมี่ยวชิงซุยนั้นรีบพาสวี่จือเข้ามาในเส้นทางใต้ดิน ด้านในทางใต้ดินไม่เพียงได้เก็บผักเอาไว้ ยังซ่อนพวกธัญพืช น้ำสะอาด ถึงไม่ออกไป อยู่ด้านในนี้สิบวันหรือครึ่งเดือนก็ไม่ได้เป็ปัญหาแต่อย่างใด
สวี่ตี้ใช้แบบแปลนเส้นทางใต้ดินในยุคปัจจุบันมาทำ ทั้งหมดนั้นเป็แบบพื้นที่ราบ ในเส้นทางใต้ดินระหว่างเรือนทุกหลังได้ใส่ประตูเอาไว้หนึ่งบาน เส้นทางนี้ความจริงแล้วทั้งเตี้ยทั้งแคบ เพราะกลัวว่ามีคนจะใช้ควัน จึงทำช่องทางลมเอาไว้ในที่ที่มองไม่เห็น หลังจากขุดเอาไว้ที่บ้านของตนเองแล้ว สวี่ตี้ก็เริ่มที่จะพิจารณาว่าจะขยายเส้นทางใต้ดินเช่นนี้ออกไปทั่วเมืองดีหรือไม่ จากนั้นก็ทำให้เมืองเหอซีนั้นกลายเป็สถานที่ที่สามารถทำาใต้ดินได้ ที่ดีที่สุดต้องสามารถมีเส้นทางที่ตรงออกไปนอกเมือง ทางเข้าออกเองก็ต้องสะดวกด้วย
สวี่จือรู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยๆ สั่นไหว หัวใจเต้นแรงจนตนเองไม่รู้จะทำอย่างไรดี สวี่จือเคยได้ยินมาว่า คนเป่ยตี้พวกนั้นหลังจากเข้าด่านมาแล้วก็จะฆ่าและปล้นสะดม ประชาชนมากมายของต้าเหลียงถูกพวกเขาจับไปเป็ทาสที่เป่ยตี้ ภายในเมืองสวี่จือยังเคยเห็นมีคนแอบหนีออกมาจากเป่ยตี้ ท่าทางเช่นนั้นจะต้องน่าสงสารมากเพียงใด
คิดถึงความเป็ไปได้หรืออันตรายที่จะเกิดขึ้น สวี่จือไม่รู้ว่าตนเองจะทำอะไรดี ทำได้แค่บอกกับตนเองว่า จะต้องสงบใจ จะต้องสงบ จะหวั่นไหวมิได้ ยิ่งร้องไห้มิได้เด็ดขาด พี่ชายเคยพาตนมาดูเส้นทางใต้ดินแล้ว สวี่จือเองก็รู้สึกว่าที่นี่เป็สถานที่ที่ปลอดภัยมาก แต่ตอนนี้ ท่านพ่ออยู่ในสำนักงาน พี่ชายเองก็อยู่นอกเมือง สวี่จือรู้ว่าตอนนี้ตนเองยังเด็ก ทั้งยังไม่มีความสามารถ การช่วยพวกเขานั้นเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ ทำได้แค่ดูแลตนเองให้ดี ไม่ให้คนอื่นมาทำอันใดได้ก็พอ
ชิงเหมี่ยวจะอุ้มสวี่จือแต่นางไม่ให้อุ้ม ก่อนจะเอ่ย “พี่ชิงเหมี่ยวเ้าคะ ไม่ต้องเ้าค่ะ ข้าเดินเองได้”
ทั้งสามคนลงมาที่ทางใต้ดิน รอได้สักพักแม่นมลู่ถึงได้เข้ามาจากด้านนอก หลังจากเข้ามาก็รีบปิดช่องตู้เสื้อผ้าให้ดี สวี่จือจึงจุดไฟที่บนกำแพงดู เมื่อไม่เห็นมารดาของตนเองจึงเอ่ยปากถาม “แม่นม ท่านแม่ล่ะเ้าคะ เหตุใดท่านแม่จึงไม่เข้ามาด้วย?”
แม่นมลู่กล่าว “ฮูหยินสามมีธุระ อีกเดี๋ยวคงจะมา คุณหนูเก้า พวกเราไปรอทางนั้นก่อนเถิด”
สถานที่ที่แม่นมลู่พูดถึงนั้นเป็ตำแหน่งที่ใหญ่ที่สุดในชั้นใต้ดิน ห้องใต้ดินสามารถวางของและวางคนได้ แต่ว่าสวี่ตี้ได้กำหนดสถานที่รอแยกย้ายอยู่ตรงเรือนด้านข้าง ได้สั่งการเอาไว้แล้วว่าหากมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น จะต้องรีบไปยังเส้นทางใต้ดินที่ไปเรือนเล็กๆ ด้านข้าง หากมีคนมาลอบโจมตี เป้าหมายก็คือบ้านหลังใหญ่ที่มีคนมาก พอถึงตอนนั้นจริงๆ ก็ต้องไปยังบ้านที่ค่อนข้างเล็กกว่า อีกทั้งทางออกของบ้านข้างๆ นั้นลึกลับมากที่สุด หนำซ้ำยังห่างจากจุดแยกย้ายค่อนข้างไกล
เห็นสองสามีภรรยาสกุลจ้าวได้มารอด้านในทางใต้ดินหน้าประตูใหญ่ของเรือนข้างแล้ว เมื่อพวกนางเห็นแม่นมลู่ก็รีบเข้ามาหา แล้วรีบจุดโคมไฟพาทุกคนเดินออกไปเรือนด้านข้าง สามีของป้าจ้าวพาคนส่งไปถึงจุดหมายแล้ว ก็พูดกับป้าจ้าวว่า “เ้าอยู่ดูแลที่นี่ ข้าจะออกไปดูด้านนอก”
ป้าจ้าวได้ยินแล้วก็ดึงแขนสามีตนเองเอาไว้ แล้วเอ่ยปากด่าเสียงเบา “ตาแก่สมควรตาย เ้าที่ตัวอ้วนจะลงดินอยู่แล้วจะไปทำอันใดได้? เ้ารีบอยู่ที่นี่ไปเลยนะ”
สามีป้าจ้าวเอ่ย “เมืองของพวกเรามั่นคงขนาดนี้มีอะไรน่ากลัวกัน เมื่อก่อนข้าเคยฆ่าคนเป่ยตี้ในสนามรบมาก่อนนะ จะทำอย่างไรในใจข้ารู้ดี เ้าดูแลคุณหนูของพวกเราให้ดีก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องไปสนใจ”
ป้าจ้าวรู้ว่าสามีของตนเองปกติแล้วไม่ค่อยจะพูดจะจา แต่ว่าพอพูดออกมาแล้วก็จะต้องทำได้ตามที่พูด จึงไม่ได้รั้งต่อ ในแววตามีหยาดน้ำตาก่อนจะเอ่ย “ตาแก่ เ้าจะต้องปลอดภัยนะ เห็นท่าไม่ดีแล้วก็ให้รีบหนี พวกเราแก่แล้ว สู้คนหนุ่มมิได้หรอกนะ”
สามีป้าจ้าวพยักหน้าให้นาง ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่ได้หันกลับมาอีก
ป้าจ้าวเช็ดน้ำตา หมุนตัวมายิ้มให้กับแม่นมลู่ “พี่สาวสกุลลู่ หากมีเื่อะไรให้ช่วยท่านสั่งมาได้เลย”
แม่นมลู่ถอนหายใจเบาๆ จูงมือป้าจ้าวก่อนจะเอ่ย “น้องจ้าว อย่ากังวลไป ไม่เป็อะไรหรอก”
ร่างเล็กๆ ของสวี่จือเข้ามาเกาะแม่นมลู่แน่น ซึ่งนางก็ตบบ่าสวี่จือเบาๆ “คุณหนูเก้า อย่ากลัวไปเลย พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่จะมิเป็อันใด”
ทุกคนต่างอยู่รอที่ประตูใหญ่ของเรือนเล็กๆ ด้านข้างซึ่งเป็ทางออกของทางใต้ดิน รอจนฟ้าสว่างก็ยังไม่ได้รับสัญญาณให้อพยพ ในใจของแม่นมลู่ก็ร้อนรน แต่เมื่อเห็นหลายคนที่ไม่ได้นอนเหมือนกับตนเอง มองดูใบหน้าขาวซีดของสวี่จือ ดวงตาแวววาวทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชิงเหมี่ยวกับชิงซุยดูแล้วยังถือว่าสงบ แต่บนใบหน้ายังแฝงความหวาดกลัวเอาไว้ ป้าจ้าวยืนอยู่ทางด้านทางออกของชั้นใต้ดิน เอามือประสานกันเอาไว้ตลอด ปากก็งึมงำเสียงเบา คาดว่ากำลังสวดมนต์ขอพรให้คุ้มครองสามีของนาง
แม่นมลู่กล่าวกับทุกคน “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ฟ้าใกล้สว่างแล้ว”
ชิงเหมี่ยวเอ่ย “แม่นม เหตุใดถึงได้ไม่มีสัญญาณให้อพยพกัน พวกเราปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”
แม่นมลู่เอ่ยตอบ “คนเป่ยตี้คงจะถูกไล่ออกไปแล้ว พวกเราเตรียมตัวรับมือเอาไว้ทุกวัน ทั้งยังไม่ใช่การบุกเข้ามาเป็กองทัพใหญ่ เพียงแค่คนจำนวนน้อยๆ คงจะไม่มีปัญหาอะไร”
ชิงซุยเป็คนที่มองโลกในแง่ดี ได้ยินแม่นมลู่พูดเช่นนี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าพี่เหอจะมาเมื่อไหร่ แม่นม อีกเดี๋ยวขึ้นไปทำน้ำแกงร้อนๆ ให้พวกเรากินสักถ้วยเถิดเ้าค่ะ แล้วค่อยเติมน้ำพริกเข้าไปด้วย คืนนี้ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ช่างทรมานจริงๆ เ้าค่ะ”
ตอนที่ป้าจ้าวยังสาวได้เผชิญกับเื่เช่นนี้มามากมาย คิดแล้วก็คงจะเป็เพราะมีชีวิตที่สงบสุขมานานมากแล้วกระมัง จึงลืมเลือนความรู้สึกตอนที่ตนเองร่วมต่อสู้อยู่บนกำแพงเมือง ก่อนนางจะเอ่ย “ข้าจะช่วยทำเส้นเ้าค่ะ นวดเส้นออกมาเยอะหน่อย อีกเดี๋ยวคุณชายสามกับฮูหยินสามกลับมาก็จะได้ดื่มน้ำแกงร้อนๆ”
ชิงซุยเอ่ย “เอาสิเ้าคะ ต้นกระเทียมในห้องของข้าสูงแล้ว ข้าจะตัดมาทำเป็เครื่องเคียงเ้าค่ะ”
การพูดคุยเช่นนี้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงมาก สวี่จือเองก็รู้สึกว่าตนเองผ่อนคลายลงแล้ว อยู่ในเส้นทางใต้ดินจนถึงฟ้าสาง ก็มีองครักษ์ผู้หนึ่งมาบอกกล่าวกับแม่นมลู่ ว่าพวกคนที่มาบุกรุกนั้นถูกกำจัดหมดแล้ว ไม่มีอันตรายใดๆ แล้ว ให้แม่นมพาคนกลับจวนได้
เมื่อได้ยินว่าปลอดภัยแล้ว ทุกคนก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะตามมาด้วยความง่วง เพราะตื่นตระหนกมาทั้งคืน ในตอนนี้ได้ผ่อนคลายแล้ว ตลอดทั้งตัวจึงรู้สึกเหนื่อยมาก
กลับมาถึงภายในเรือน ป้าจ้าวทุบเอวตนเองแล้วเอ่ย “หลายปีก่อน ตอนที่ข้าเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน ก็มักจะเป็เช่นนี้ เสียงเตือนดังขึ้น พวกเราได้ยินเสียงกระดิ่งก็จะวิ่งขึ้นเขา ข้ายังเคยปีนตามแพงเลยนะ เฮ้อ แก่แล้วคงทำเช่นนั้นไม่ได้อีกแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] เทศกาลตงจื้อ เทศกาลตังโจ่ย หรือ เทศกาลฤดูหนาว (冬至 dōng zhì) หมายถึง วันเหมายัน คือวันที่พระอาทิตย์จะส่องแสงสั้นที่สุด หรือวันที่เป็จุดสูงสุดในฤดูหนาว