ราตรีล่วงเลยไปมากกว่าครึ่งแล้ว
หิมะที่เมืองฉางเหมินตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูฉางอันนอนพลิกไปมาอยู่บนเตียง
มั่วทิงอวี่นั่งพิงผนัง พลางอุ้มดาบเอาไว้ในอ้อมแขน อีกไม่ถึงสองชั่วยามเขาก็จะออกเดินทางไปสังหารคนที่เขาตัดสินใจว่าจะสังหารมาั้แ่สิบปีก่อนแล้ว
ซูฉางอันยังเด็ก เขาเพิ่งอายุสิบสี่เท่านั้น เขารู้เพียงว่าความตายไม่ใช่เื่ดีเลยสักนิด ทว่าแท้จริงแล้วความตายคืดอะไร และหลังตายจะเป็เช่นใดต่อไป เขาเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเหมือนกัน
“ข้ายังไม่รู้ชื่อของเ้าเลย” ซูฉางอันลุกขึ้นนั่ง แล้วมองไปยังร่างในเงามืดของมั่วทิงอวี่
“มั่วทิงอวี่” มั่วทิงอวี่ตอบ เขาหลับตาพริ้มทว่าหาได้หลับไม่ เขาเพียงกำลังรอเวลาเท่านั้น กำลังรอในทุกๆ ลมหายใจ เพราะเมื่อหายใจไปมากเท่าใด ก็แสดงว่าเขาใกล้จะได้พบกับนางมากขึ้นไปทุกทีแล้ว ลำพังแค่เื่นี้ก็ทำให้เขารู้สึกราวเืในตัวกำลังจะลุกเป็ไฟได้แล้ว
“ข้าชื่อซูฉางอัน” ซูฉางอันกล่าว
“อืม เป็ชื่อที่ดี” มั่วทิงอวี่ชมด้วยความจริงใจ “เ้านอนไม่หลับรึ? พรุ่งนี้ไม่ต้องไปสำนักหรือไร?”
จู่ๆ ซูฉางอันก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา ข้าจะไปสำนักในวันพรุ่งนี้ ทว่ามั่วทิงอวี่กลับต้องไปตาย
พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียนที่สำนัก จะแอบมองโม่โม่ และจะถูกจี้เต้ากับหวังโหงเย้ยหยันเช่นเคย
ทว่าเ้ากลับต้องแบกดาบในมือไปสังหารคนที่เ้าพูดถึง จากนั้นก็ไม่มีทางได้กลับมาอีก
จู่ๆ ซูฉางอันก็เริ่มเข้าใจแล้ว ว่าความตายคืออะไรกันแน่
เมื่อคิดมาจนถึงตรงนี้ เขาก็กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป
“ข้ายังไม่เคยเห็นตอนเ้าใช้ดาบเลย แต่เ้าก็จะจากไปเสียแล้ว ทั้งยังไม่มีทางกลับมาอีก แบบนั้นก็ไม่มีใครสอนกระบวนดาบแก่ข้าอีกแล้ว” ซูฉางอันกล่าวด้วยเสียงระคนร้องไห้
เขาไม่อยากร้องได้แต่อย่างใด เขาพยายามจะทำตัวเป็ผู้ใหญ่ เพราะเขาคิดว่าผู้ใหญ่จะสามารถเผชิญกับความตายได้อย่างกล้าหาญเหมือนที่มั่วทิงอวี่ทำ แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็เพียงเด็กที่มีอายุเพียงสิบสี่ปีเท่านั้น
มั่วทิงอวี่นิ่งเงียบไป แน่นอนว่าเขารับรู้ได้ถึงเสียงร้องไห้ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของซูฉางอัน แต่เขาไม่รู้ว่าต้องปลอบเช่นไร เพราะเขารู้ดีว่าตนต้องตายอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่นางก็ต้องตายด้วยเช่นกัน แต่ความรู้สึกบางอย่างก็ยังสอดแทรกเข้ามาอย่างอดไม่ได้อยู่ดี ั้แ่ท่านอาจารย์เหยากวงจากไป คนในใต้หล้าต่างก็มองเขาด้วยความหยามเหยียด เดิมทีเขาคิดว่าในโลกใบนี้คงไม่มีใครรู้สึกเสียใจเพราะเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ในบัดนี้ ที่เบื้องหน้าเขา เด็กชายที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่วันกลับร้องไห้เพราะเขาด้วยท่าทางจริงใจขนาดนั้น
มั่วทิงอวี่รู้สึกว่าตนควรจะทำอะไรเสียหน่อย
“อาจารย์ของข้ามีนามว่าเหยากวง เป็หนึ่งในแปดนักรบแห่งดาราจักรของเผ่ามนุษย์ ซึ่งข้าเป็ศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของเขา” เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าซูฉางอัน แล้วยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เด็กชายด้วยความอ่อนโยนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ซูฉางอันแหงนหน้าขึ้นด้วยความสงสัย เขามองเข้าไปในตาของมั่วทิงอวี่ ท่ามกลางความมืดมน ดวงตาคู่นั้นกลับยังเปล่งประกายไปด้วยแสงสว่างไสว
“แต่ท่านก็จากไป ั้แ่นั้นเป็ต้นมา ข้าจึงกลายเป็ศิษย์เพียงคนเดียวของสำนักเหยากวง เมื่อข้าสิ้นใจ ผู้สืบทอดของอาจารย์เหยากวงก็จะสิ้นสุดลงด้วยเช่นกัน ข้าไม่อยากให้สำนักเหยากวงสูญสิ้นลงเพียงเท่านี้ ข้าทำผิดต่อท่านอาจารย์มามากแล้ว จึงไม่อยากทำให้ท่านต้องเสียใจอีก” มั่วทิงอวี่ชะงักไปเล็กน้อย ราวเพิ่งตัดสินใจเื่สำคัญบางอย่างไป
“ดังนั้น หากข้าตาย เ้าก็คือศิษย์เพียงคนเดียวของสำนักเหยากวง”
ท่าทางของซูฉางอันเริ่มจากงุนงงไปจนถึงอึ้ง จากความไม่เข้าใจไปจนถึงความตกตะลึง เขาอ้าปากค้าง ทว่ากลับพูดไม่ออกเลยสักคำ
“ขณะสังหารนาง ข้าจะพาเ้าไปด้วย ข้าจะใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็เพียงกระบวนท่าเดียวที่ข้ายังใช้เป็ เมื่อถึงตอนนั้น จะเรียนได้มากน้อยเท่าใดนั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเ้าแล้ว หากเรียนสำเร็จ เ้าก็คือทายาทของสำนักเหยากวง แต่หากไม่สำเร็จ เ้าก็ยังจะเป็ทายาทเพียงคนเดียวของสำนักเหยากวังอยู่ดี”
“ขอเพียงรอดชีวิตกลับมา เ้าก็จะได้เป็ทายาทเพียงคนเดียวของสำนักเหยากวง” มั่วทิงอวี่กล่าวประโยคสุดท้ายเสียงดัง
เขาไม่เพียง้าจะพูดให้ซูฉางอันได้ฟังเท่านั้น แต่ยังจงใจพูดให้หน่วยสายข่าวที่ตามเขามาั้แ่เมืองฉางอันได้ยินด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขา้าจะนำข่าวนี้ไปยังเ้านายของเหล่าหน่วยสายข่าวทั้งหลายนั่นเอง
เขาสังหารนักรบแห่งดาราจักรของเผ่าปีศาจให้คนในใต้หล้า ดังนั้นไม่ว่าในอดีตจะเคยเป็เช่นไร แต่คนในใต้หล้าก็ยังติดหนี้บุญคุณเขาอยู่ดี และเขาก็้าจะช่วยให้ซูฉางอันสุขสบายไปตลอดชีวิตด้วยหนี้บุญคุณในครั้งนี้
หิมะที่เมืองฉางเหมินตกหนักมากขึ้นทุกที
ท่ามกลางหิมะที่ร่วงหล่นในยามราตรี หญิงคนหนึ่งกำลังมุ่งมาที่เมืองฉางเหมิน
ชุดข้าหลวงสีแดงที่เริงระบำอยู่กลางลมหนาวบนร่างบาง คล้ายเป็เปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่กลางรัตติกาลอย่างไรอย่างนั้น
กระดิ่งที่ห้อยอยู่เหนือเท้าเปลือยเปล่าส่งเสียงใสท่ามกลางพื้นพิภพที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ปานเป็เสียงของธารน้ำไหลเช่นนั้น
ใบหน้างามปราศจากเครื่องประทินผิว ทว่ากลับแลดูงดงามจนไร้ที่ติ งามราวกับเทพธิดาที่ลงมาเยือนดินไม่มีผิด
“ในที่สุดเ้าก็มาจนได้” หญิงสาวกล่าวพึมพำ “ข้ารอเ้ามานานนับสิบปีแล้ว”
ประตูเมืองของเมืองฉางเหมินมีความสูงถึงสิบฟุตเลยทีเดียว เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ตกอยู่ในความน่าเป็ห่วง ดังนั้นทหารที่เดินลาดตระเวนในเวลากลางคืนจึงมีจำนวนไม่น้อยเลย
ทว่าพวกเขากลับทำราวกับมองไม่เห็นนาง
สำหรับนางแล้ว ประตูเมืองตรงหน้าช่างไร้ประโยชน์ไม่ต่างไปจากธาตุอากาศเลย
นางโบกมือเบาๆ เพียงเท่านั้นประตูเมืองก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แล้วค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้าในเวลาต่อมา
นางเดินเท้าเปล่าผ่านประตูเมืองเข้าไป ก่อนประตูเมืองจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขึ้นอีกครั้งแล้วปิดลงอย่างเชื่องช้า คล้ายกับว่ามันได้รับคำสั่งบางอย่างเช่นนั้น
นางทำทั้งหมดด้วยท่าทางใจเย็น ทหารที่เดินลาดตระเวนต่างพากันเดินผ่านหน้านางไปราวกับมองไม่เห็น แม้แต่พื้นหิมะที่นางย่ำผ่านไป ก็ยังราบเรียบราวกับเพิ่งถูกฉาบขึ้นใหม่ ไม่มีร่องรอยใดๆ เลยแม้แต่น้อย ปานนางไม่เคยก้าวผ่านไปเช่นนั้น
ห้องหนึ่งภายในโรงเตี๊ยมนิรนามของเมืองฉางเหมิน
หญิงในชุดเขียวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน
วินาทีท่าสาวชุดแดงก้าวเข้ามาในเมืองฉางเหมิน หญิงสาวก็เบิกตาขึ้นทันที
นางยืดตัวลุกขึ้น แล้วสวมผ้าบางๆ ปกปิดใบหน้า จากนั้นก็จรดขลุ่ยแนบไว้ที่เอว แล้วจึงโค้งตัวลงเล็กน้อย เพียงเท่านั้นนางก็กลายเป็ลำแสง แล้วหายออกไปจากห้องเสียแล้ว
แสงจากดวงดาวเปล่งประกายขึ้นในพริบตา มันส่องผ่านมาทางหน้าต่าง แล้วสาดลงบนใบหน้าของซูฉางอันในที่สุด
เขาอ้าปากกว้าง ราวไม่สามารถปิดมันลงได้อีก
เพียงไม่กี่อึดใจ เขาที่เคยเป็เด็กไม่เอาไหนในเมืองฉางเหมินก็กลายเป็ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของสำนักเหยากวง นอกเหนือจากมั่วทิงอวี่ไปเสียแล้ว
แม้ซูฉางอันจะไม่รู้ว่าสำนักเหยากวงหมายถึงอะไร แต่แค่ฟังชื่อก็รู้แล้วว่าต้องไม่ธรรมดาแน่
“ข้า...” ในที่สุดเขาก็ได้สติอีกครั้ง ทว่าเพิ่งกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ เขาก็พบว่าคิ้วของมั่วทิงอวี่ถูกขมวดเข้าหากันอย่างเชื่องช้า จากนั้นคิ้วคู่นั้นก็คลายออกจากกันอย่างประหลาด พลันใบหน้าของมั่วทิงอวี่ก็กลับสู่ความราบเรียบอีกครั้ง
“นางมาหาข้าแล้ว” มั่วทิงอวี่กล่าวขึ้น
“ใครมารึ?” เพิ่งพ่นคำถามออกไปได้แค่ครึ่ง ซูฉางอันก็รู้คำตอบเสียแล้ว เพราะเขาพบว่ามือซ้ายที่กำลังถือดาบของมั่วทิงอวี่เริ่มสั่นเทาขึ้น เขารู้ดี ว่าคนที่มั่วทิงอวี่้าฆ่ามาแล้ว
คนผู้นั้นไม่ได้รอให้มั่วทิงอวี่ไปหา ทว่าเป็ฝ่ายมาหาเขาด้วยตัวเองเลยต่างหาก ซูฉางอันจึงเริ่มรู้สึกเป็กังวลขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อแผนการของมั่วทิงอวี่หรือเปล่า
เขาพยายามจะหาเบาะแสจากสีหน้าของมั่วทิงอวี่ แต่ก็พบว่ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี... เพราะนอกจากการขมวดคิ้วในตอนแรกแล้ว ใบหน้าของมั่งทิงอวี่ก็มีเพียงความราบเรียบเท่านั้น
กริ๊ง
กริ๊ง...
กริ๊ง...
จู่ๆ ก็มีเสียงกระดิ่งล่องลอยเข้ามาในราตรี
เสียงนั้นค่อยๆ เปลี่ยนจากไกลมาใกล้ มันช่างไพเราะและเต็มไปด้วยความสูงสง่า ไม่ต่างไปจากธารน้ำที่ไหลลงมาจากูเาสูงเลย
ซูฉางอันรู้สึกหนาวเย็นอย่างบอกไม่ถูก เสียงใสของกระดิ่งที่ลอยเข้ามากระทบหู คล้ายดั่งเสียงกระชากชีวิตของเทพแห่งความตายไม่มีผิด
ฟิ้ว...
ประตูบ้านของซูฉางอันถูกเปิดออกด้วยพลังที่ไร้ซึ่งรูปร่างบางอย่าง ก่อนสตรีในชุดแดงจะเดินเข้ามาจากที่ไกลลิบ แล้วมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของซูฉางอัน นางมองมั่วทิงอวี่ด้วยท่าทางเหม่อลอย มองดูหนวดเคราที่รอบปากของเขา มองดูใบหน้าที่แสนคมเข้ม พลางพยายามปะติปะต่อชายหนุ่มรูปงามในตอนนั้นเข้ากับชายที่แลดูขะมุกขะมอมตรงหน้าไปด้วย
นางถอนหายใจ แล้วกล่าวขึ้นในที่สุด “ข้ามาแล้ว”
วินาทีนั้น หิมะที่ล่องลอยอยู่ทั่วฟ้าต่างพากันหยุดนิ่ง เมฆครึ้มจางหาย ทำให้แสงจันทร์และดวงดาวสาดส่องลงบนพื้นหิมะและร่างของหญิงงาม
อาภรณ์ของนางปลิวไสว คล้ายกับเทพเ้าที่สง่างามไม่มีผิด
ในตอนนั้นเอง ในที่สุดซูฉางอันก็ได้รู้ว่าคนที่มั่วทิงอวี่้าจะสังหารไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็เทพเ้าต่างหาก
“เ้ามาเร็วกว่าเวลา” มั่วทิงอวี่ยืดตัวลุกขึ้น จากนั้นจึงหันกลับไปมองหญิงผู้มาใหม่ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าซูฉางอันกลับเห็นได้ชัดว่ามือของมั่วทิงอวี่กำลังสั่นเทาด้วยความรุนแรงที่มากกว่าเดิม
“จะช้าหรือเร็ว ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันเลย” หญิงสาวกล่าวตามจริง
มั่วทิงอวี่ไม่ได้กล่าววาจาใดๆ ออกมา เขาเพียงแต่เดินผ่านประตูออกไปด้วยความเงียบสงบ แล้วไปหยุดยืนอยู่บนพื้นหิมะในจุดที่ห่างออกไปประมาณห้าเมตรเท่านั้น
เมื่อเห็นดังนั้น ซูฉางอันก็รีบตามออกไปยืนที่ข้างกันด้วยความเร่งรีบ แล้วมองคนทั้งสองด้วยท่าทางตื่นตระหนกทันที และในตอนนั้นเองที่เขารับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องซับซ้อนกว่าที่เห็นแน่
“เ้าชราลงมาก” หญิงสาวกล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราวกับนี่เป็เพียงการสนทนาของเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานานเท่านั้น
“แต่เ้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังงดงามเหมือนในตอนนั้นไม่มีผิด” มั่วทิงอวี่มีอาการสติเลื่อนลอยเล็กน้อย เขารู้สึกราวได้ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว หญิงที่ตามตนไปทั่วเมืองฉางอันในตอนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว นางยังคงงดงามเหมือนเดิมไม่มีผิด คิ้วคมตาสวย งดงามน่าดึงดูดใจ คล้ายกับว่ากาลเวลาบนใบหน้างามไม่เคยเคลื่อนผ่านไปเลย
เพียงแต่ ในตอนนั้นเขาเรียกนางว่าวู๋ถง หากเพียงยื่นมือออกไป นางก็จะพุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสประดุจบุปผาที่บานสะพรั่งทันที
ทว่าในตอนนี้ คนในใต้หล้ากลับเรียกนางว่าหยิงโฮ่ และเขาก็ต้องพุ่งดาบสังหารไปที่นาง ต้องทำลายชีพดาราของคนตรงหน้าเพื่อจบความแค้นและความถวิลหาที่สืบเนื่องมานานนับสิบปีนี้ลงเสียที
มันเป็ความรู้สึกที่พิศดารเหลือเกิน และมันก็ทำให้เขาะเิความรู้สึกบางอย่างออกมาอย่างกะทันหัน
ใน่เวลานั้น เขากลับรู้สึกแยกแยะไม่ออกว่าปัจจุบันหรือในอดีต อันไหนเป็ความจริงกันแน่ เขาอยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆเพื่อให้ตนตื่นขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง ตื่นขึ้นมาในตอนที่อาจารย์ยังคงมองมาด้วยสายตารักและเอ็นดู ในตอนที่เพียงยื่นมือออกไป หญิงที่ตนรักก็จะพุ่งเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนทันที เหมือนที่เคยเป็เมื่อสิบปีก่อน
มั่วทิงอวี่เกลียดความรู้สึกเช่นนี้ เพราะนอกจากดาบในมือ เขาก็ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว
ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้น ยกดาบมาไว้เหนืออก แล้วยกมือขวาขึ้นไปจับที่ฝักดาบคู่ใจ เขาไม่ได้จับมันเช่นนี้มานานนับสิบปีแล้ว ดาบนี้จึงเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว ดังนั้นทันทีที่มันรับรู้ได้ถึงมือของผู้เป็เ้าของ เสียงคำรามแห่งดาบจึงะเิขึ้นทันที
ทันใดนั้น สรรพสิ่งล้วนจมอยู่ในความเงียบสงัด สรรพสัตว์ล้วนตกอยู่ในความหวาดกลัว
เสียงคำรามแห่งดาบที่ปะทุขึ้นไปบนท้องนภา คล้ายเป็ยอดฝีมือที่ปรากฏตัวอีกครั้งหลังห่างหายไปนาน ทว่าก็แลดูน่าวังเวง ไม่ต่างไปจากโครงกระดูกที่ถูกทิ้งอยู่กลางสนามรบเลย
เขาจะตัดทุกสิ่งทิ้งไปด้วยดาบนี้
ไม่ว่านี่จะเป็เื่จริงหรือเป็เพียงภาพลวงตา ไม่ว่าจะเป็ความรัก เกลียด หลง หรือความเ็ป ทุกอย่างจะสิ้นสุดลงได้ด้วยเพียงดาบเดียวเท่านั้น
“คนของหอดารามาแล้ว” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเอง คล้ายมองไม่เห็นสิ่งที่มั่วทิงอวี่กำลังทำอยู่เลยแม้แต่น้อย “ข้าต้องตายแน่แล้ว”
“ถูกต้อง เ้าต้องตายอย่างแน่นอน” สายตาของมั่วทิงอวี่ฉายแววเหี้ยมโหดขึ้นอย่างกะทันหัน
“แต่เมื่อชักดาบออกมา เ้าก็ต้องตายไปด้วย พลังแห่งดาบที่สะสมมานานนับสิบปี เ้าควบคุมมันไม่ได้หรอก” สายตาที่หญิงสาวมองไปยังมั่วทิงอวี่เปล่งประกายไปด้วยรัศมีที่น่าพิศวง มันมีทั้งความโกรธเคือง ทว่าก็แฝงไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ด้วยเช่นกัน
“ข้าตายไปั้แ่สิบปีก่อนแล้ว” ดาบของมั่วทิงอวี่ถูกชักออกมามากถึงหนึ่งส่วนแล้ว และบัดนี้ดาบของเขาก็ส่องแสงเจิดจ้าอยู่ท่ามกลางแสงดาวและพื้นหิมะอย่างทรงพลัง “คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเ้าในขณะนี้ เป็ผีร้ายที่คลานออกมาจากขุมนรก เป็ปีศาจที่เหลือเพียงความแค้นเท่านั้น”
ซูฉางอันมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน วินาทีนั้น แสงจากหมู่ดาวก็คล้ายจะหมองหม่นลงอย่างกะทันหัน มีเพียงแสงจากคมดาบของมั่วทิงอวี่เท่านั้นที่ยังคงส่องแสงเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน
ในตอนนั้นเองที่ซูฉางอันเข้าใจในที่สุด
นี่ไม่ใช่การฟาดฟันของมนุษย์สองคน
แต่เป็การต่อสู้ของเทพเ้าขององค์ต่างหาก