"ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง" ลู่เต้าเอ่ยพลางขมวดคิ้วนวดขมับ
"ลู่เต้า" ไป๋เสียที่เงียบอยู่นานก็เอ่ยเรียกขึ้นมา
"หืม?" ลู่เต้าขานรับ
อยู่ๆ จะเรียกชื่อข้าทำไมกัน'
"หลบหน้าเฉายวนิไว้ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะไปเอาคืน" ไป๋เสียกล่าวอย่างไม่ยอม
"เฮ้อ..." ลู่เต้าถอนหายใจโล่งอกพลางตบอกเบาๆ "ข้ายังคิดว่าเ้าจะให้ข้าไปสังหารมันเสียอีก!"
"เ้าคิดว่าข้าเป็มนุษย์ธรรมดาอย่างเ้าหรือ ถึงได้ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล?" ไป๋เสียกล่าวอย่างหยิ่งผยอง "ในตอนนั้น แม้แต่ข้าที่บรรลุระดับหกดาราแล้วก็ยังพ่ายแพ้มัน แล้วเ้าที่มีเพียงระดับเดียวจะหวังอะไรได้"
"ฮ่าๆ... นั่นสินะ" ลู่เต้าหัวเราะอย่างเศร้าสร้อย แม้จะรอดพ้นมาได้ แต่ในใจกลับรู้สึกขมขื่น
"เฟิ่งหวง [1]ไม่เกาะกิ่งไม้ไร้ค่า" ไป๋เสียกล่าวจบ ก็กลับเข้าไปในร่างของลู่เต้า เสียงใสกังวานดังขึ้นในหู "ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ยอดฝีมืออย่างพวกมันจะมาเยือน ทะเลสาบัทมิฬแห่งนี้น่าจะมีอะไรบางอย่าง ถึงได้ดึงดูดทั้งสองคนนั่นมาที่นี่"
ไป๋เสียกล่าวต่อ "เอาเป็ว่า พยายามหลบหน้าเ้านั่นไว้ก่อน รอดูว่าพอจะถามเื่ราวจากปากอาจารย์ได้หรือไม่"
ลู่เต้าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย "ถาม? ไม่กลัวว่าเขาจะจับได้ว่าเ้าอยู่ในร่างข้าหรือ"
"ไม่ต้องห่วง" ไป๋เสียกล่าวตรงไปตรงมา "พลังยุทธกับสติปัญญาไม่ได้ไปด้วยกันหรอก"
"ถึงแม้ในอดีตอาจารย์จะเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง แต่... สมองกลับไม่ค่อยแล่นเท่าไร"
"ฮัดเช้ย!" จู่ๆ โจวเทียนหยวนก็จามออกมา ก่อนจะหันไปบ่นกับเฉายวนิที่อยู่ข้างกาย "หนาวเกินไปแล้ว เพิ่มอุณหภูมิอีกหน่อยสิ"
เฉายวนิจำใจต้องลดความเย็นะเืที่แผ่ออกมารอบตัวลงเล็กน้อย เท่านี้โจวเทียนหยวนก็ไม่ต้องตัวสั่นด้วยความหนาวอีกต่อไปแล้ว
"พาเขาออกไปข้างนอกในฤดูร้อนแบบนี้ สบายจริงๆ" โจวเทียนหยวนร้องเพลงพลางเดินเล่นอยู่บนท้องถนน
ภายในตรอกมืด ลู่เต้าพยุงตัวขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ปัดฝุ่นออกจากร่างกายพลางเอ่ยถาม "แล้วตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี"
"ทำอย่างไรอย่างนั้นหรือ" ไป๋เสียกล่าวต่อ "ก็ต้องกลับจวนตระกูลหงก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที"
"เอ๋" ลู่เต้าลากเสียงยาวอย่างไม่เต็มใจ "ต้องกลับไปอีกหรือ"
พอเอ่ยถึงจวนตระกูลหง ลู่เต้าก็นึกถึงเหตุการณ์ในห้องอาบน้ำขึ้นมาทันที ใบหน้าพลันแดงก่ำ
"ของยังอยู่ที่จวนตระกูลหงอยู่เลย เ้าคงไม่อยากทิ้งไปทั้งหมดกระมัง" ไป๋เสียยิงตรงประเด็น
ลู่เต้าถอนหายใจยาว คิดในใจ "ก็จริง กลับแบบนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไร"
ขณะที่เขากำลังจะออกจากตรอก ก็มีเงาร่างหนึ่งยืนขวางอยู่ปลายตรอก ลู่เต้าขมวดคิ้วถอยหลังสองก้าว คิดจะออกไปทางด้านหลัง แต่เมื่อหันกลับไปก็พบว่าทางออกอีกฝั่งก็ถูกเงาร่างหนึ่งขวางเอาไว้อยู่เช่นกัน
"แย่แล้ว พวกเขารู้ตัวแล้วอย่างนั้นหรือ" ลู่เต้ากล่าวอย่างตื่นตระหนก
ไป๋เสียกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ "ไม่มีจิตสังหาร ไม่ใช่พวกมัน"
"ถ้าอย่างนั้น..." ลู่เต้านึกถึงลางร้าย "จะเป็..."
"ถูกต้อง!" หวังเหล่ยปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มผยอง ชี้นิ้วโป้งมาที่ตัวเองแล้วกล่าวว่า "ก็คือลูกพี่หวังเหล่ยคนนี้อย่างไรเล่า!"
"..."
"..."
"เ้าหนีไม่พ้นหรอก" หวังเหล่ยจ้องลู่เต้าพลางยิ้มเยาะ "โทษฐานที่เ้าล่วงเกินข้าเมื่อสามปีก่อน!"
สิ้นเสียงของหวังเหล่ย ปลายตรอกอีกด้านก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น หลี่หูปรบมือพลางกล่าวชม "ลูกพี่! ครั้งนี้อย่าปล่อยมันไปได้! ใช้กำปั้นหินของท่านสั่งสอนมันให้สาสม!"
ไป๋เสียแผ่จิตสังหารกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ "มานี่ ข้าจะมอบความเ็ปให้มันเอง"
"ช้า... ช้าก่อน!" ลู่เต้าที่นึกถึงน้ำใจคนบ้านเดียวกัน จึงรีบข่มจิตสังหารที่พลุ่งพล่านในร่างกายลง
"ปล่อยให้ข้าจัดการเอง"
ลู่เต้าถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยถาม "หวังเหล่ย เ้า้าอะไรกันแน่"
"เ้าเด็กนี่..." หวังเหล่ยขมวดคิ้วจนเส้นเืปูดโปน หายใจหอบถี่ เห็นได้ชัดว่าโกรธเกรี้ยวที่ลู่เต้าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
ทันใดนั้นเขาก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รอยยิ้มจึงผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง "หรือว่า... เ้าจงใจยั่วโมโหข้า เพื่อทำให้ลมหายใจของข้าผิดปกติงั้นหรือ"
"อย่าหวังว่าแผนสกปรกของเ้าจะได้ผลเลย!" หวังเหล่ยแค่นเสียงในใจ
หวังเหล่ยยกนิ้วชี้ลู่เต้าอย่างลำพอง "ข้าขอท้าประลองกับเ้า ลู่เต้า!"
ความแค้นเมื่อสามปีก่อน! วันนี้เขาขอชำระ!
"เอ๋ ตอนนี้เลยหรือ" ลู่เต้าไม่เต็มใจอยู่บ้าง
"ทำไม กลัวแล้วหรือ" หวังเหล่ยคิดว่าลู่เต้าหวาดกลัว จึงยิ่งได้ใจ "ตอนนี้คุกเข่าขอร้อง ข้าอาจจะ..."
"ท่านผู้มีพระคุณ!!!!"
ทันใดนั้นร่างอ้วนท้วนร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในตรอกอย่างไม่ทันตั้งตัว ราวกับวัวบ้าพุ่งชนหวังเหล่ยจนกระเด็น ก่อนจะโผเข้ากอดลู่เต้าที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างแแ่ไม่ยอมปล่อย
หวังเหล่ยที่ถูกชนเซไปกระแทกกำแพง โชคดีที่เขาเบี่ยงตัวหลบทันจึงใช้หัวโขกยันกำแพงเอาไว้จนได้สติกลับมา
"แกเป็ใครวะ!?"
ถึงแม้หวังเหล่ยจะไม่ได้รับาเ็สาหัส แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี ในตอนที่เขากุมศีรษะเเละกำลังจะโวยวาย บรรดาองครักษ์จวนตระกูลหงก็ปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน ยกกระบองไม้ไปที่คอของหวังเหล่ย
หลี่หูที่อยู่ทางออกอีกฝั่งนั้นยิ่งน่าอนาถกว่า เพราะพยายามขัดขืนจึงถูกองครักษ์กดลงกับพื้น มิอาจขยับเขยื้อนได้
"คนหอเงินตระกูลหง?" คราวนี้หวังเหล่ยจำได้จากเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
"ท่านผู้มีพระคุณ ทำไมท่านถึงจากไปโดยไม่ลาสักคำ! ข้าเป็ห่วงท่านแทบแย่!" อีกฝ่ายกอดลู่เต้าแน่นไม่ยอมปล่อย
ลู่เต้าที่จำไม่ได้ในตอนแรก ถูกซุกหน้าอกอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ร้องออกมา "หงฝู?"
เมื่อหวังเหล่ยได้ยินชื่อนี้ถึงกับผงะ เขาอยู่ในเมืองัทมิฬมาสามปีย่อมรู้จักชื่อนี้เป็อย่างดี!
"หงฝู? นั่นมันชื่อคุณชายรองจวนตระกูลหงไม่ใช่หรือ" หวังเหล่ยเอ่ยปากตกตะลึง "เ้าเด็กนี่... ไปเกี่ยวข้องกับจวนตระกูลหงั้แ่เมื่อไร"
หงฝูยอมปล่อยลู่เต้าในที่สุด "ท่านผู้มีพระคุณ ข้า... ข้าต้อนรับขับสู้ท่านบกพร่องตรงไหนหรือ?"
"ไม่เลย" ลู่เต้าเกาคาง
"เช่นนั้น เหตุไฉนท่านผู้มีพระคุณถึงจากไปโดยไม่กล่าวลาสักคำเล่า" หงฝูทำสีหน้าเว้าวอน "หรือว่า... "
อีกนิดเขาเกือบจะหลุดปากคำว่า "สตรีผู้นั้น" ออกมาแล้ว หงฝูเหลือบมององครักษ์รอบๆ มีไม่น้อยที่ท่านแม่ตั้งใจส่งมาคอยติดตามเขา บอกว่าเป็การปกป้อง แต่จริงๆ แล้วคือการจับตาดูพฤติกรรมของเขาต่างหาก
หงฝูรีบเปลี่ยนคำพูด "หรือว่า... คำพูดของท่านแม่ทำให้ท่านไม่พอใจ"
"ไม่ใช่" ลู่เต้ากล่าวสำนึกผิด
"หลังจากที่ท่านจากไป ข้าก็ถามบ่าวไพร่ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขากลับบอกว่าไม่รู้เื่อะไรเลย ภายหลังข้าไปถามอาฮวา นางกลับขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ว่าข้าจะเรียกอย่างไรก็ไม่ยอมออกมา" หงฝูร้อนรนใจยิ่งนัก "ท่านผู้มีพระคุณ หากท่านรู้ก็บอกข้าเถิด!"
ไม่ว่าอย่างไร ลู่เต้าก็ไม่คิดจะเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในห้องอาบน้ำให้คนอื่นฟังเด็ดขาด
เพื่อปลอบโยนหงฝูที่กำลังกระวนกระวายใจ ลู่เต้าจึงได้แต่ต้องโกหกไปว่า "ข้า... ข้าแช่น้ำพุร้อนนานเกินไป รู้สึกอึดอัด เลยอยากออกมาสูดอากาศ"
เมื่อได้ยินว่าลู่เต้าไม่ได้คิดจะจากไป หงฝูก็โล่งอก ผุดรอยยิ้มพระสังกัจจายน์ออกมาอีกครา "ดีแล้วๆ ปกติข้าแช่น้ำพุร้อนเสร็จก็ชอบมาเดินเล่นสูดอากาศในสวน เป็เื่ปกติ"
หงฝูหันไปถามองครักษ์ "ใช่หรือไม่ พวกเ้า"
เหล่าองครักษ์ต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคุณชายรองเป็เสียงเดียวกัน
ส่วนหวังเหล่ยที่ถูกกระบองไม้จ่อคออยู่นั้นถึงกับตะลึง ลู่เต้าเพิ่งจะมาถึงเมืองัทมิฬได้ไม่นาน ทำไมถึงได้สนิทสนมกับคุณชายรองหอเงินตระกูลหงผู้มั่งคั่งได้เล่า!?
ถึงแม้ลู่เต้ากำลังรับมือกับหงฝูอย่างยากลำบาก แต่ในสายตาของหวังเหล่ย ทั้งสองคนกลับดูเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน หรือกำลังรำลึกความหลังกันอยู่ด้วยซ้ำ!
หงฝูเห็นท่าทีของบ่าวไพร่ จึงรีบฉวยโอกาสเอ่ยชวน "ท่านผู้มีพระคุณ ในเมื่อท่านออกมาสูดอากาศนานแล้ว ก็ได้เวลากลับจวนตระกูลหงได้แล้ว มิเช่นนั้นอาหารเลิศรสและสุราชั้นดีคงเย็นชืดหมด"
หงฝูไม่รอให้ลู่เต้าตอบตกลง รีบตบมือเรียก "รีบส่งท่านผู้มีพระคุณกลับจวน!"
"ขอรับ!" องครักษ์รีบวางมือจากหวังเหล่ย เดินเข้ามาข้างกายพวกเขาทั้งสองเพื่อคุ้มกันกลับไป
ลู่เต้าถูกห้อมล้อมไปด้วยองครักษ์ เดินผ่านหน้าหวังเหล่ยที่ทำสีหน้าตกตะลึง
บางทีลู่เต้าอาจจะแค่อยากแสดงออกถึงความลำบากใจ จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ยักไหล่อย่างจนใจ แต่ในสายตาของหวังเหล่ยกลับไม่ใช่แบบนั้น เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วโมโหเขา จึงะโไล่หลังลู่เต้าที่กำลังเดินจากไป "พรุ่งนี้ตอนเที่ยง ข้ารอเ้าอยู่ที่ศาลาเก้าหลี่นอกเมือง!"
หงฝูเพิ่งจะสังเกตเห็นหวังเหล่ยหลังจากออกจากตรอกแล้ว จึงโน้มตัวมากระซิบข้างหูลู่เต้า "ท่านผู้มีพระคุณ ท่านผู้นี้คือ..."
"คนที่คอยตอแยข้าไม่เลิก" ลู่เต้าเอ่ยตรงๆ
"ที่แท้ก็เป็เช่นนี้" หงฝูเข้าใจในทันที "รอบตัวข้าเองก็มักจะมีคนแบบนี้อยู่บ่อยๆ พวกเขามาหาข้าเพราะหวังในทรัพย์สมบัติ ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านผู้มีพระคุณดี"
ว่าแล้ว ขณะที่พวกเขาเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปบนถนนใหญ่ เหล่าขอทานร่างผอมโซและแต่งกายรุ่งริ่งก็กรูกันเข้ามาล้อมรถม้าของจวนตระกูลหงจนไม่อาจขยับไปไหนได้
"คุณชาย... โปรดเมตตา... โปรดเมตตาด้วย..." เหล่าขอทานใบหน้าเปรอะเปื้อนฝุ่นต่างพากันชูถ้วยขอทานขึ้น เพื่อบอกใบ้ขอความเห็นใจจากหงฝู
"หลีกไป หลีกไปซะ!" บรรดาองครักษ์จวนตระกูลหงตวาดไล่เหล่าขอทานอย่างดุร้าย
ส่วนเหล่าขอทานที่ไม่ได้อะไร ย่อมไม่ล่าถอยง่ายๆ เพราะเพิ่งจะถูกผลักออกไป ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ความอดทนของเหล่าองครักษ์ถูกบั่นทอนลงเรื่อยๆ พวกเขายกกระบองไม้ในมือขึ้น คิดจะฟาดเหล่าขอทาน
เมื่อหงฝูเห็นดังนั้นจึงได้แต่ถอดถอนใจ ยกมือขึ้นห้ามเหล่าองครักษ์ "พวกเ้าอยู่แจกจ่ายเงินและอาหารให้พวกเขาเสียหน่อยเถิด"
"แต่คุณชาย..." องครักษ์าุโคนหนึ่งกล่าวอย่างลำบากใจ "พวกขอทานเหล่านี้ตามใจไม่ได้หรอก หากให้ครั้งหนึ่ง ภายหลังพวกเขาจะต้องมาขอทุกวันแน่"
หงฝูเบิกตาอันเล็กจิ๋ว จ้ององครักษ์คนนั้นด้วยสายตาเ็าจนอีกฝ่ายตัวสั่น รีบรับคำสั่ง ก่อนจะเก็บกระบองไม้แล้วเริ่มแจกจ่ายเงินให้เหล่าขอทาน
ทันใดนั้น เหล่าขอทานก็ละความสนใจจากหงฝู หันไปรุมล้อมองครักษ์เพื่อขอเงินแทน
หงฝูปล่อยให้องครักษ์จัดการ ก่อนจะจากไปกับลู่เต้าอย่างสบายใจ ระหว่างทางเขาอธิบายว่า "เดิมทีขอทานเ่าั้ก็มีครอบครัวที่อบอุ่นและชีวิตที่มีความสุข"
"โอ้? แล้วทำไมถึงได้กลายมาเป็แบบนี้เล่า" ลู่เต้าสงสัย
"ก็เป็ฝีมือของสตรีผู้นั้นกับบุรุษรูปงามอย่างไรเล่า" หงฝูกล่าวอย่างเ็า "จากการสืบหาข่าวของข้า พวกนางลอบปล่อยเงินกู้ หลอกลวงชาวบ้านให้มาขอกู้ยืม หากไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ ก็จะยึดทรัพย์สิน"
ลู่เต้าขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน "ใช้วิธีหลอกลวงที่ย่ำแย่เช่นนี้เชียวหรือ"
"ท่านรู้หรือไม่ว่าอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่า" หงฝูกล่าวต่อ "โฉนดที่ดินที่ถูกยึด กลับเป็ชื่อของหงเทาจากสาขาเมืองประดาั! แม้แต่ข้าก็ไม่มีอำนาจคืนทรัพย์สินเหล่านี้ให้กับผู้เสียหาย"
"หากเป็แบบนี้ต่อไป สาขาเมืองัทมิฬทั้งหมดจะต้องถูกผนวกรวมเข้ากับสาขาเมืองประดาัแน่ ท่านผู้มีพระคุณ ท่านรู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าเช่นไร"
ลู่เต้าส่ายหน้าบอกเป็นัยๆ ว่าไม่รู้เื่เหล่านี้ หงฝูยิ้มเยาะ "ครึ่งปีก่อน สาขาที่มณฑลเหมียวโจวก็ถูกสาขาเมืองประดาัผนวกรวมเช่นกัน หนึ่งเดือนต่อมา บรรดาผู้คนในสาขา แม้กระทั่งสุนัขเฝ้ายาม ล้วนล้มป่วยตายอย่างปริศนา!"
หงฝูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า "เพื่ออาฮวา เพื่อไม่ให้ชาวบ้านต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป ข้า... จะไม่ยอมให้พวกมันสมหวังแน่!"
[1] เฟิ่งหวง คือนกฟินิกซ์
