เฟิงเหยียนและเฟิงอวี้มองหน้ากันพักใหญ่ ในที่สุดเฟิงอวี้ก็คิดบางอย่างออกก่อนอธิบาย “สำนักอู่ตังไม่ยอมรับลูกศิษย์สตรี แต่นางปลอมตัวเป็ชายจึงกลายเป็ศิษย์น้องของคุณชายข้า” เหอตังกุยได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะแต่ไม่พูดอะไร เกิดเื่อะไรกับหลิงเมี่ยวอี้กันแน่? เหตุใดคนทั้งสองจึงร้อนรนเพียงนี้?
อันที่จริงสิ่งที่เฟิงเหยียนและเฟิงอวี้พูดอาจเป็ความจริงเพียงครึ่งเดียว เื่นี้เริ่มั้แ่หลิงเมี่ยวอี้หนีออกจากบ้านและได้พบเหอตังกุยในครั้งนั้น
ขณะนั้นหลิงเมี่ยวอี้ถูกเกาเจวี๋ยผู้เป็พี่เขยบังคับให้กลับเมืองอิ๋นหม่าโดยมีต้วนเสี่ยวโหลวเป็ “เหยื่อล่อ” นางรอให้เกาเจวี๋ยพาต้วนเสี่ยวโหลวมาพบแต่รออยู่นานก็ไม่มาสักที ผ่านไปไม่กี่วัน เงินของนางก็หมดลงเรื่อย ๆ เป็ธรรมดาที่หญิงสาวผู้ร่ำรวยเช่นนางจะออกมาพร้อมเงินและกลับบ้านโดยไม่มีเงิน แต่คราวนี้นางยังไม่อยากกลับจวนตระกูลหลิงอันเงียบเหงาในเมืองหลวง ฮูหยินใหญ่หลี่ซื่อนั้นโเี้ ทั้งยังชอบข่มเหงผู้อื่น พ่อของนางก็เอาแต่เข้าข้างฮูหยินผู้นั้นและตำหนินางเสมอ นอกจากนี้เขายังแต่งงานกับอนุอีกหลายคน เหล่าอนุของเขาทำให้นางเดือดดาลทุกครั้งที่ได้มอง
จากนั้นนางก็แอบเข้าหมู่บ้านไป๋ชาซึ่งเป็ฐานลับขององครักษ์เสื้อแพร ได้ยินว่าต้วนเสี่ยวโหลวจะไปที่เมืองหยางโจวเพื่อทำภารกิจ ทั้งยังเป็อาจารย์สอนในสำนักศึกษาเฉิงซวี่ นางจึงจำนำของมีค่าทั้งหมดในราคาหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อเดินทางไปหยางโจว เดิมทีเงินหนึ่งร้อยตำลึงเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายของครอบครัวธรรมดาห้าคนในระยะยี่สิบปี แต่ในฐานะคุณหนูใหญ่กลับใช้สิ้นเปลืองกับเสื้อผ้าและหีบห่อมีค่าสองสามชิ้นในเวลาเพียงสองสามวัน สุดท้ายก็ถูกพวกโจรขโมยไป เป็เื่ยากยิ่งนักที่จะใช้ชีวิตโดยไม่มีเงิน หลิงเมี่ยวอี้ใช้ชีวิตอย่างน่าอนาถจนวันหนึ่งนางได้ยินว่ามีซาลาเปาที่ประตูหลังจวนตระกูลหลัว จึงเดินไปที่ตรอกเพื่อรอซาลาเปานั้น ก่อนซาลาเปาจะมาก็ได้พบกับเฟิงเหยียนและเฟิงอวี้ พวกเขาถือถังหูลู่เดินเข้าจวนตระกูลหลัวพร้อมพูดคุยอย่างสนุกสนาน ทำให้นางประหลาดใจไม่น้อย
เดิมทีคนที่หลิงเมี่ยวอี้รู้จักนั้นไม่ใช่เฟิงหยางหรือหนิงยวน แต่เป็ฉางนั่วที่อาศัยในจวนตระกูลฉางข้างจวนตระกูลหลิง หลิงเมี่ยวอี้และฉางนั่วมีอายุและฐานะครอบครัวใกล้เคียงกันจึงมักพบกันในวงสังคมของคนมีชื่อเสียงในเมืองหลวง หลิงเมี่ยวอี้ไม่เพียงรู้จักฉางนั่วเท่านั้น แต่ยังคุ้นเคยกับฉางเหยียนและฉางอวี้ผู้เป็บ่าวรับใช้ของเขาอีกด้วย นางยังเคยเล่นกลเล็ก ๆ กับพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง ปีที่แล้วฉางนั่วไปเรียนหนังสือจึงพาฉางเหยียนและฉางอวี้ไปด้วย นอกจากกลับตระกูลฉางเป็เวลาสองวันในงานเทศกาลแล้ว นางก็ไม่เคยเห็นพวกเขาในยามปกติ บ่าวรับใช้ทั้งสองของฉางนั่วเข้ามาในจวนตระกูลหลัวได้อย่างไร ฉางนั่วอยู่ในจวนตระกูลหลัวเพื่อ “เรียนหนังสือ” กระนั้นหรือ?
หลิงเมี่ยวอี้จึงเข้าไปถามฉางเหยียนและฉางอวี้ แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักคือการขอยืมเงินจากฉางนั่ว ทีแรกเฟิงเหยียนและเฟิงอวี้โกหกว่าพวกเขาไม่ได้รับใช้ฉางนั่วแล้ว ตอนนี้คิดจะไปรับใช้นายคนใหม่และไม่รู้ว่าฉางนั่วอยู่ที่ใด
ทว่าหลิงเมี่ยวอี้ไม่เชื่อว่าเฟิงเหยียนและเฟิงอวี้ที่ตามติดฉางนั่วเป็เงาั้แ่เด็กจะเลิกติดตามผู้เป็นาย ่เทศกาลไหว้พระจันทร์หนึ่งเดือนก่อน ฉางนั่วรีบกลับจวนตระกูลฉาง ฉางเหยียนและฉางอวี้ก็ติดตามไปด้วย แต่ยังไม่ถึงครึ่งวันก็เร่งรีบจากไป ขณะนั้นหลิงเมี่ยวอี้ยังประหลาดใจไม่น้อย หรือเขารีบร้อนไปงานเทศกาลอีกที่? เมื่อหลิงเมี่ยวอี้นึกถึงเื่นั้นก็จับฉางเหยียนและฉางอวี้พร้อมยืนกรานว่าจะต้องพบฉางนั่วให้ได้ แน่นอนว่าจุดประสงค์ของนางคือการยืมเงิน... นางสิ้นเนื้อประดาตัวและเร่ร่อนในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย โชคดีเพียงใดที่ได้พบคนรู้จักที่ร่ำรวยเช่นนี้ เรียกได้ว่า์มีตาชัด ๆ
เฟิงเหยียนและเฟิงอวี้มองหน้ากันด้วยความงุนงง หนึ่งในนั้นพานางไปยังที่ที่ไม่มีผู้คนก่อนเอ่ยโกหกเพื่อให้นางสงบสติ อีกคนก็รีบไปแจ้งหนิงยวนและเฟิงหยางตัวปลอมว่าคนรู้จักของคุณชายฉางในเมืองหลวงพบพวกเขาแล้ว ตอนนี้คนรู้จักผู้นั้นคิดว่าคุณชายอาศัยในจวนตระกูลหลัว อีกทั้งนางยัง้ายืมเงินจากเขา
หนิงยวนไตร่ตรองครู่หนึ่งก็ขอให้ิเยวี่ยมอบถุงเงินให้เฟิงอวี้เพื่อนำไปมอบให้คนรู้จักของฉางนั่ว ขณะเดียวกันก็ขอให้เฟิงอวี้บอกคนผู้นั้นว่าฉางนั่วใกล้จะไปจากตระกูลหลัวแล้ว ต่อไปอย่ามาตามหาฉางนั่วที่นี่อีก ทันทีที่เฟิงอวี้จากไป ิเยวี่ยก็แนะนำเ้านายว่าพวกเขาควรออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด จวนตระกูลหลัวไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกต่อไป ถึงอย่างไรฉางนั่วก็ไม่เคยมาที่จวนตระกูลหลัว คนในจวนก็ไม่รู้จักฉางนั่ว หากคนผู้นั้นมาตามหาฉางนั่วที่นี่บ่อย ๆ จนเปิดเผยความลับโดยบังเอิญว่า “เฟิงหยางคือฉางนั่วและฉางนั่วก็ปลอมตัวเป็เฟิงหยาง” พวกเขาจะทำอย่างไร?
เมื่อหนิงยวนได้ยินก็ลังเล หากเป็เมื่อก่อนเขาคงรีบออกไปรักษาตัวที่อื่นทันที แต่ตอนนี้…เขายังไม่เข้าใจความลับของหญิงสาวผู้นั้น อีกทั้งในอีกสองวันหญิงสาวผู้นั้นก็นัดรักษาตัวกับตนที่ป่าไผ่ขมแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็น่าสนใจไม่น้อย
เมื่อิเยวี่ยเห็นเ้านายลังเลก็ไม่สบายใจนัก จึงแอบออกจากจวนตระกูลหลัวไปพบิรื่อเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการรับมือเื่นี้
ิรื่อและเขาต่างก็เป็องครักษ์ผู้กล้าหาญร่วมเป็ร่วมตายของท่านอ๋อง พวกเขาดูแลหออู่อิงแทนท่านอ๋องมาโดยตลอด ไม่กี่วันที่ผ่านมาฉางนั่วไปเมืองต้าหนิงเพื่อเข้าร่วมการแสดงฝึกซ้อมของกองทัพ วรยุทธ์ของเขานั้นโดนเด่นมาก ิรื่อโล่งใจนักที่ฉางนั่วปลอมตัวเป็ท่านอ๋อง ทว่าฉางนั่วกลับวิ่งมาด้วยความใพลางบอกว่าตนเดินเล่นในจวนอ๋องหนิง ขณะเดินถึงเรือนจิ่วหยวนเพื่อพูดคุย ดื่มชาและเล่นหมากรุกกับซ่งโหยว เพราะเคยดื่มชากับซ่งโหยวหลายครั้งที่เมืองหลวง เดิมทีคิดว่าจะไม่เผยความลับแต่หลังดื่มชาไปหนึ่งจอก ซ่งโหยวก็เรียกเขาว่า “โยมฉาง” สีหน้าของฉางนั่วขมขื่นยิ่งนัก พลันเกาศีรษะแล้วเอ่ยถามิรื่อว่าควรทำอย่างไรดี
ในสถานการณ์ปกติิรื่อจะสังหารคนปิดปากทันที แต่ิรื่อรู้ดีว่าซ่งโหยวเป็สหายดื่มชาและเล่นหมากรุกในฐานะคนสนิทของท่านอ๋องจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยไม่ได้รับอนุญาต เขารีบไปเมืองหยางโจวเพียงชั่วข้ามคืน เนื่องจากจำเป็ต้องถามท่านอ๋องว่าซ่งโหยวยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือไม่ ทั้งยังถือโอกาสเอ่ยถามถึงอาการาเ็ของท่านอ๋องด้วย
ิรื่อไม่คาดคิดว่าหลังพบิเยวี่ยในโรงน้ำชานอกจวนตระกูลหลัวจะได้ยินว่าท่านอ๋องไม่ยอมไปจากตระกูลหลัวแม้รู้ว่าไม่ปลอดภัย เพียงเพราะสตรีชั่วร้ายคนเดียว ิเยวี่ยเล่าเื่ที่ท่านอ๋องรักษาอาการป่วยให้สตรีชั่วผู้นั้นทั้งที่ร่างกายยังาเ็ เมื่อิรื่อได้ยินก็ตัดสินใจทันทีว่าเขาต้องบังคับท่านอ๋องให้ออกจากตระกูลหลัวและออกห่างจากสตรีชั่วผู้นั้นให้ได้
แม้หลังเหตุการณ์นั้นท่านอ๋องจะรู้ว่าเขาลงมือทำอะไรบางอย่าง ทั้งยัง้าสังหารเขา ิรื่อก็พร้อมจะรับการลงโทษ เขาไม่อาจปล่อยให้ท่านอ๋องมัวเมาในความลุ่มหลงจนถูกสตรีสามัญชนปิดกั้นหนทางสู่ความสำเร็จ ิรื่อเชื่อเสมอว่าท่านอ๋องคือผู้กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะนั่งบัลลังก์ัเป็ฮ่องเต้
ดังนั้นผู้วางแผนนำทหารล้อมจวนตระกูลหลัวในเย็นวันนี้จึงไม่ใช่เนี่ยชุนที่หลบหนีไปพร้อมลูกศรพิษจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่คนผู้นั้นคือิรื่อที่ภักดีต่อเ้านาย แน่นอนว่าเขาไม่ได้อ้างว่าท่านอ๋องออกจากเขตพื้นที่ปกครองมายังเมืองหยางโจวโดยไม่ได้รับอนุญาต แทนที่จะเปิดเผยความลับของท่านอ๋องให้ผู้อื่นรู้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของหมิ่งรือกลับเป็การทำให้ท่านอ๋องรู้สึกถึงอันตรายของจวนตระกูลหลัวจนต้องรีบออกจากจวนโดยเร็วที่สุด
ตามคำบอกเล่าของหออู่อิงจากิรื่อ เว่ยหงผู้ว่าการเมืองหยางโจวยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ของประชาชนที่ราชสำนักจัดสรร หลังเื่ราวถูกเปิดเผยก็หลบหนีไปพร้อมแผนที่ที่เป็ความลับกองทัพสองแผ่น ตอนนี้เขาถือเป็นักโทษอันดับหนึ่งของราชสำนัก ิรื่อจึงส่งสารเท็จที่น่าเชื่อถือไปยังหมอของหานเฟยผู้ว่าราชการาุโเมืองหยางโจว โดยบอกว่ามีคนเห็นเว่ยหงหนีเข้าจวนตระกูลหลัวฝั่งตะวันออก หานเฟยจึงนำทหารเข้าล้อมรอบจวนตระกูลหลัวฝั่งตะวันออก จากนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้น
ครั้งนี้เกิ่งปิ่งซิ่วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทหารค้นจวน ทว่าเกิ่งปิ่งซิ่วกลับคิดแผนชั่วเพื่อหนีออกจากตระกูลหลัว โดยขั้นแรกเขาจับเหล่าไท่ไท่เป็ตัวประกัน จากนั้นก็ต้องทนทุกข์ทรมานจาก “ยานอนหลับสามวัน” ของเหอตังกุย เกิ่งปิ่งซิ่วกัดลิ้นพลันใช้พลังที่พอจะเป็ไปได้ในส่วนพลังงานจำเป็ของเขา เขารู้ว่าเขาไม่สามารถอยู่ในจวนตระกูลหลัวได้อีกต่อไปจึงะโออกจากกำแพง สังหารกลุ่มทหารด้านนอกก่อนหลบหนีไป
อย่างไรก็ตาม หานเฟยผู้ว่าการาุโเมืองหยางโจวที่อยู่นอกจวนตระกูลหลัวเชื่อว่าชายสวมหน้ากากที่สังหารเหล่าทหารคือเว่ยหง เขาจึงไปที่จวนตระกูลหลัวเพื่อถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซ่อนนักโทษที่ฮ่องเต้ตามจับกุมไว้ในจวน ทว่าก่อนเหล่าไท่ไท่จะอธิบาย ต้วนเสี่ยวโหลวก็ให้การก่อนทันทีว่าจวนตระกูลหลัวไม่ได้เป็พวกของชายสวมหน้ากาก ตอนนี้คนร้ายลักพาตัวเหล่าไท่ไท่ไปเพื่อขู่ให้ทหารล่าถอย จากนั้นซื่อจื่อแห่งจวนเป่าติ้ง คุณชายใหญ่ตระกูลกวนและคนอื่นต่างก็ให้การว่าจวนตระกูลหลัวก็เป็เหยื่อเช่นกัน
หลังหานเฟยได้ยินก็คิดได้ว่าเขาไม่ได้แจ้งจวนตระกูลหลัวก่อน จู่ ๆ ก็พาทหารมาล้อมจวนจนทำให้ทุกคนแตกตื่น ตอนนี้เขาทำผิดต่อจวนตระกูลหลัวด้วยการใส่ความในโทษฐานซ่อนนักโทษ ช่างไม่ยุติธรรมกับพวกเขายิ่งนัก เขาจึงยกน้ำชาให้เหล่าไท่ไท่พลางขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้คนในจวนตระกูลหลัวต่างภาคภูมิใจที่ได้รับคำขอโทษจากผู้ว่าการาุโ หายนะจึงกลายเป็ความโชคดี พวกเขาจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำในจวนเป็เวลาสามวัน ประการแรกคือเฉลิมฉลองที่เหล่าไท่ไท่เปลี่ยนความหายนะให้เป็ความโชคดี ประการที่สองคือเฉลิมฉลองเกียรติของจวนตระกูลหลัว ประการที่สามเป็การเฉลิมฉลองที่ซุนเหยียนปินผู้เป็น้องชายของเอ้อร์ไท่ไท่ประสบความสำเร็จในการเข้าร่วมสอบตำแหน่งขุนนางโดยได้อันดับสองจากการทดสอบวรรณกรรมและอันดับสามจากการทดสอบวรยุทธ์ ด้วยเหตุนี้จวนตระกูลหลัวตะวันออกจึงยุ่งมาก ทุกคนมีความสุขและครึกครื้นอย่างยิ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังคงไม่จำเป็ต้องลงรายละเอียดมากนัก
ตอนนี้เฟิงเหยียนและเฟิงอวี้คิดว่าเหอตังกุยไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูด ทั้งยังไม่สัญญาว่าจะไม่เอ่ยคำว่า “เฟิง” เหยียนและ “เฟิง” อวี้ที่เคยไปเยี่ยมจวนตระกูลหลัวให้หลิงเมี่ยวอี้ฟัง พวกเขาจึงกังวลไม่น้อยพลางพูดคุยกับเหอตังกุยไม่หยุดจนฟ้าใกล้มืด ทำให้เหอตังกุยต้องล้วงผ้าเช็ดหน้าคลุมหน้าของตนไว้
คืนนี้นางประสบเหตุการณ์น่าใมากเกินไป ศีรษะคล้ายมีเข็มทิ่มแทง อีกทั้งนางก็เพิ่งใช้กำลังภายในถึงห้าสิบส่วนเพื่อโจมตีชายผู้นั้น ขณะนั้นนางไม่ได้รู้สึกผิดปกติ ทว่าตอนนี้กลับพบว่าลมปราณเจินชี่ในร่างกายกลับไปเป็เหมือนก่อน ไม่สามารถรวมตัวที่จุดตันเถียนได้ ทำให้เส้นชีพจรของนางอึดอัดมากไม่ได้ นางจะเป็เช่นนี้ไม่ได้
เหอตังกุยจึงไม่อยากอยู่ในสวนมืด ๆ อีกต่อไป พลางคิดว่าจะแก้แค้นคนผู้นั้นหรือไม่ ก่อนหมุนตัวเดินกลับเรือนเถาเหยา แม้นางจะตอบเฟิงเหยียนและเฟิงอวี้อย่างขอไปที แต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจนัก ทั้งยังตามวุ่นวายกับนางไม่หยุด พยายามบังคับให้นางสาบานว่าจะไม่พูด…สาบานหรือ? เหอตังกุยหัวเราะเยาะ หากมันได้ผล โลกนี้จะมีคนทรยศมากมายได้อย่างไร ปีนั้นชายผู้นั้นก็สาบานว่าจะไม่มีวันทิ้งนาง ซ้ำยังสาบานว่าจะเชื่อทุกสิ่งที่นางพูดเสมอ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะเชื่อโจวจิงหลันและทอดทิ้งนาง คำสาบานบ้า ๆ พวกนั้นใช้ประโยชน์อะไรได้?
เหอตังกุยวิงเวียนและคลื่นไส้อย่างหนัก ทุกส่วนในร่างกายพลันปวดเมื่อยและเกิดอาการชา นางอยากล้มนอนบนเตียงเสียเดี๋ยวนี้แต่บุรุษทั้งสองรั้งนางไว้ ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้น เสียงของพวกเขาดัง “หึ่ง ๆ ๆ ” น่ารำคาญยิ่งกว่าแมลงวันเสียอีก
เมื่อเหอตังกุยกลับถึงเรือนเถาเหยาก็ต้องประหลาดใจที่พื้นหญ้าบริเวณทางเดินดอกไม้มีรอยเปียกแฉะขนาดใหญ่ นางไม่สามารถแยกแยะภายใต้แสงจันทร์ได้ว่ามันเป็ของเหลวชนิดใด เมื่อเหอตังกุยนึกถึงหน้ากากของนักฆ่าดูดเืมนุษย์ที่แขวนในห้อง่บ่ายวันนี้ก็สั่นสะท้านทันที ก่อนวิ่งพลางะโ “ฉานอี ไฮว่ฮวา ป๋อเหอ โต้วเจียง เชี่ยนสือ”
โชคดีที่ทวยเทพยังได้ยินคำอธิษฐานและไม่ทอดทิ้งนาง หลังเรียกไม่กี่ครั้งฉานอีก็ออกมาพร้อมรอยยิ้มสดใส ถัดไปก็เป็เสี่ยวโหยว ตามมาด้วยเผิงสือและเผิงเจี้ยน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้