อาป๊าเหอกินได้ไม่เยอะ ไม่นานก็วางตะเกียบแล้วรินเหล้าขาวลงในชามเปล่า “เหออาซาน เหออาซาน! ป๊าไม่ได้จะว่าอะไรนะ! แต่พอมีเงินก็เริ่มเหลิง! วันหยุดก็ไม่ยอมอ่านหนังสือ ไม่ทำงาน พอมีเวลาว่างก็ออกไปจีบสาว! จีบสาวก็แล้วไป แต่ทำไมถึงยังไม่รู้จักพามาหาที่บ้านอีก!—— คุณชย่า นี่คือเหล้าขาวที่หมักเองที่บ้าน ลองหน่อยไหม?”
“ไม่เป็ไรครับ ผมขับรถมา” ชย่าลิ่วอีพูดพลางใช้ตะเกียบเขี่ยท้องปลา
“เอาน่า เหล้าขาวไม่เมาหรอก คุณชย่าอย่าเกรงใจเลย มา เดี๋ยวผมรินให้จอกหนึ่ง... เหออาซาน แกดึงป๊าทำไม! มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิ! ป๊ายังพูดไม่จบเลย แกคิดว่าป๊าเป็คนใจแคบขนาดนั้นเลยหรือ?! ให้คุณชย่าตัดสินดูสิว่าการมีแฟนแล้วพามาให้ป๊าดูหน่อยมันควรจะทำไหม?”
“ป๊า!” ใบหน้าของเหอชูซานดูเหมือนจะแดงเล็กน้อย “ผมกับเขายังไม่ได้เริ่มต้นอะไรกันเลยนะ”
“เหอะ! ยังไม่เริ่มอะไรเลยอย่างนั้นหรือ! ฉันได้ยินจากป้าอาหัวแล้วนะ ว่าพาเธอไปที่ร้านแล้ว! แล้วยังทำกับข้าวให้เธอกินอีก! ไอ้ลูกชายคนนี้ ดูเหมือนจะเงียบๆ นะ แต่พอจีบสาวขึ้นมากลับมีวิธีเยอะแยะเลยไม่ใช่หรือ?”
ชย่าลิ่วอีไม่รู้ว่าทำไมฟันของเขาถึงได้ปวดอย่างรุนแรง แต่เขายังคงเก็บอาการไว้และกลืนเนื้อปลาชิ้นสุดท้ายลงไป จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ
พ่อลูกตระกูลเหอยังคงหยอกล้อกันอยู่ข้างหลัง เหอชูซานเอื้อมมือไปรินเหล้าขาวที่พ่อของเขารินใส่จอกของชย่าลิ่วอีกลับคืนมาที่จอกของตัวเอง แล้วพูดเบาๆ “เขาเป็หวัด ดื่มอันนี้จะทำให้ร้อนใน”
อาป๊าเหอเบิกตากว้าง “ป๊าแค่แสดงความเป็มิตรกับแขก!” แล้วก็ลดเสียงลง “ไอ้ลูกชาย ได้เงินเขามาใช่ไหม? แค่เป็หวัดก็ดูแลเอาใจใส่ขนาดนี้เลย? ถึงยังไงก็เป็พวกมาเฟีย เราไม่ควรเอาเงินสกปรกของเขามานะ!”
“ไม่มีจริงๆ ครับป๊า” เหอชูซานพูดพลางเติมน้ำซุปลงในชามของชย่าลิ่วอีอีกครึ่งชาม
ชย่าลิ่วอีบ้วนปากในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาพร้อมกับนวดแก้มของตัวเองไปด้วย เขาเห็นอาป๊าเหอกำลังใช้ไปป์สูบบุหรี่เคาะหัวลูกชาย “ป๊าจะใช้เงินสักนิดไม่ได้เชียวหรือ ยังไงก็เพื่อเก็บเงินให้แกแต่งเมียอยู่ดี!”
“ป๊าอายุมากแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอกครับ” เหอชูซานพูด “ผมมีเงินเดือนแล้วด้วย”
“อะไรนะ อายุเยอะแล้วหรือ?! ฉันแก่แล้วอย่างนั้นหรือ?! ฉันอยู่ในวัยกำลังแข็งแรงต่างหากเล่า! ไอ้หนู!”
ชย่าลิ่วอีมองไปยังไปป์ที่กำลังเคาะหน้าผากของเหอชูซานอย่างต่อเนื่อง แล้วอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ป๊าเขาอยากเปิดร้านขายของชำหลังปีใหม่” เหอชูซานลูบหน้าผากแดงก่ำของเขา “พี่ลิ่วอีช่วยเกลี้ยกล่อมเขาหน่อยสิ”
ทันทีที่ชย่าลิ่วอีพบกับอาป๊าเหอ เขาก็ปวดหัวและปวดฟัน เขาจะไปเกลี้ยกล่อมอะไรได้ เขาทำแค่จิบซุปแล้วไอเล็กน้อย “ถ้าคุณเหออยากเปิดร้านก็ปล่อยเขาไป นายจะไปขวางเขาทำไม”
อาป๊าเหอรู้สึกว่าหัวหน้าใหญ่ดูดีขึ้นมากในสายตาของเขาทันที ดูเป็คนที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น “เห็นไหม? หัวหน้าใหญ่ยังบอกว่าโอเค! โอเค! ไอ้หนู ไปให้พ้นเลย!”
มื้ออาหารที่บ้านตระกูลเหอผ่านไปพร้อมกับเสียงบ่นพึมพำของพ่อลูกคู่นั้น ชย่าลิ่วอีฟังเื่ราวในครอบครัวเพลินจนลืมตัวซดน้ำซุปไปสามชาม กินปลาไปอีกครึ่งตัว เกี๊ยวสิบกว่าลูก ไก่ครึ่งตัว ผัดผักรวมครึ่งชาม และข้าวอีกสองชาม อิ่มจนแทบตาย เขาต้องใช้สมาธิอย่างหนักเพื่อกลั้นอาการเรอ ไม่อย่างนั้นจะเสียภาพลักษณ์ท่านเทพหมด
หลังทานอาหารเสร็จ ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวแถวบ้านก็ขึ้นมาชวนพ่อลูกตระกูลเหอไปเดินตลาดดอกไม้ อาป๊าเหอตอบตกลงด้วยความยินดี บอกให้เพื่อนบ้านรอข้างล่าง แล้วตัวเองก็ขึ้นไปบนบ้านเพื่อใส่เสื้อโค้ต ส่วนเหอชูซานอ้างว่าจะอ่านหนังสือ ขออยู่บ้านเป็เพื่อนลูกพี่ใหญ่
“ปีที่แล้วผมไปเดินมาแล้ว ไม่ค่อยมีอะไร” เหอชูซานพูดไปพลาง เก็บจานชามไปพลาง “เดี๋ยวเราขึ้นไปดูพลุบนดาดฟ้ากันนะครับ พี่ลิ่วอี”
“นายไปตลาดดอกไม้กับพ่อเถอะ ฉันจะกลับแล้ว” ชย่าลิ่วอีพูด
เหอชูซานชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังหัวค่ำอยู่เลยครับ พี่ลิ่วอี บนดาดฟ้าคนไม่เยอะ สงบดีนะ”
ชย่าลิ่วอีกุมท้องที่ป่องขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองทนอยู่ในห้องที่อบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ นี้ไม่ได้อีกต่อไป ถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยก็เหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง—— ใช่แล้ว ความรู้สึก ‘เหมือนอยู่บ้าน’ นี่แหละที่ทำให้เขาร้อนรุ่มจนทนไม่ไหว!
“ฉันมีธุระต้องกลับไปทำ” เขาทำสีหน้าเ็า พร้อมทั้งลุกขึ้นไปหยิบเสื้อโค้ตของตัวเอง ทว่าเหอชูซานไวกว่า เขาก้าวเท้าไปหยิบเสื้อโค้ตที่แขวนอยู่หลังประตูมาถือไว้แต่ไม่ยอมส่งให้ชย่าลิ่วอี “เพิ่งกินข้าวเสร็จ นั่งอีกหน่อยเถอะครับ”
ชย่าลิ่วอีกระชากเสื้อโค้ตมาถือเอง “ไม่ต้อง”
เหอชูซานกะพริบตา เขาไม่ได้คะยั้นคะยออีก “ก็ได้ครับ ไม่รบกวนธุระของพี่แล้ว ผมไปส่งข้างล่างนะครับพี่ลิ่วอี”
ชย่าลิ่วอีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวมีคนเห็น” เขาเดินไปข้างหน้าเพื่อจะเปิดประตู ทันใดนั้นเหอชูซานก็คว้าแขนเขาไว้แน่น
ชย่าลิ่วอีรู้สึกเหมือนมีเส้นเส้นหนึ่งในสมองดีดขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาออกแรงสะบัดมือของเหอชูซานทิ้งโดยไม่รู้ตัว! แล้วหันไปจ้องเหอชูซาน
เหอชูซานทำหน้าตาใสซื่อ พูดอย่างใจเย็น “รอเดี๋ยว ผมมีอะไรจะให้”
ชย่าลิ่วอีฝืนยืนรออยู่ที่ประตู เหอชูซานรีบเข้าไปในครัว ไม่นานก็ถือปิ่นโตใบเล็กออกมา เป็ใบเดียวกับที่เคยใส่โจ๊กหมูใส่ไข่เยี่ยวม้ามาให้เขาครั้งก่อน “วันนี้ต้มซุปหม้อใหญ่ ผมกับพ่อกินไม่หมด เอากลับไปแช่ตู้เย็นไว้สิ อยากกินเมื่อไรก็ให้บอดี้การ์ดช่วยอุ่นให้ กินได้ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้นะ”
สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความจริงใจและซื่อตรง ไม่รอให้ชย่าลิ่วอีปฏิเสธอีกเขาก็ยื่นปิ่นโตซุปใส่มือชย่าลิ่วอีแล้วเปิดประตูให้ จากนั้นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เหอชูซานยิ้มแล้วพูดต่อ “งั้นผมไม่ไปส่งแล้วนะครับ พี่ลิ่วอีเดินทางปลอดภัยครับ”
ชย่าลิ่วอีใส่เสื้อโค้ต หิ้วปิ่นโตใบเล็กน่าเกลียดนั่นลงมาจากชั้นบน เขาเดินไปตามทางเดินที่มืดสลัว สายลมเย็นๆ พัดเข้ามาปะทะช่วยบรรเทาความร้อนที่ใบหน้าและศีรษะของเขาลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคย จึงเปิดปกเสื้อโค้ตออกเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองเย็นลงอีกหน่อย ให้เหมือนกับปกติ
เขาวางปิ่นโตลงบนเบาะข้างคนขับอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าก่อนที่มันจะล้มลงและทำให้น้ำซุปหก เขาก็เอื้อมมือไปจับมันตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทุบพวงมาลัยอย่างหมดแรง ชย่าลิ่วอีเอนศีรษะพิงเบาะแล้วค่อยๆ เป่าลมหายใจออกมา
……
เหอชูซานยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองดูเงาของชย่าลิ่วอีใต้แสงไฟถนน มาเฟียคนนั้นสวมแว่นกันแดดแล้วรีบเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่งรถเบนซ์สีดำก็ขับออกมาจากตรอก
‘่เวลาสักครู่นั้น’ หมายถึง่เวลาที่ชย่าลิ่วอีใช้สูบบุหรี่หนึ่งมวน
เขาโน้มตัวลงแนบใบหน้ากับกระจกหน้าต่างที่เย็นเฉียบ แล้วก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างเงียบๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองมีน้ำหนักในใจอีกฝ่ายแค่ไหน—— อย่างน้อยก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องนั่งอยู่ในรถแล้วสูบบุหรี่อย่างกระวนกระวายใจหนึ่งมวน
พลุที่อ่าวเหว่ยกั่ง [1] ที่อยู่ไกลออกไปเริ่มแบ่งบาน ท่ามกลางอาคารสูงที่บดบังทัศนียภาพส่วนใหญ่ แสงดาวสีสันสดใสก็ยังเล็ดลอดออกมาให้เห็น เหอชูซานนอนคว่ำอยู่บนขอบหน้าต่าง นิ้วมือเกาะขอบหน้าต่างสีแดง เขาคิดถึงตอนที่เ้าพ่อมาเฟียขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะและแกะก้างปลาด้วยความตั้งอกตั้งใจ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเหม่อลอย เหอชูซานรู้สึกสงบและมีความสุขเอ่อล้นขึ้นมาในใจอย่างมาก
เชิงอรรถ
[1] อ่าวเหว่ยกั่ง คือ อ่าววิคตอเรียในฮ่องกง