เล่มที่ 3 บทที่ 81
หลังจากความสงสัยในใจของนางได้รับการคลี่คลายกลับปรากฏอีกหนึ่งข้อสงสัย ความกังขาค่อยๆ ถูกลอกออกทีละชั้น แต่มู่หรงฉิงยังข้องใจว่า นางเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นแล้วหรือไม่? หรือมันยิ่งไกลออกไป?
หลังจากไขข้อสงสัยของเหตุการณ์ในวันนี้ มู่หรงฉิงถึงได้ถามเป้ยหนิงว่า “ในเมื่อพวกเ้าไม่สามารถออกไปได้ แล้วพวกเ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? พวกเ้าก็ด้วย” พลางเลื่อนสายตาไปมองพวกจ้าวจื่อซินทั้งสามคน “พวกเ้ามารวมตัวกันได้อย่างไร?”
จ้าวจื่อซินเหลือบมองเฉินเทียนหยูที่ออกอาการน้อยใจ “เขากินของว่างกระทั่งกินสมองเข้าไปด้วย เขาวิ่งตามคนอื่นไปอีกแล้ว เดิมที้าแจ้งให้เ้าทราบก่อน แต่ข้ากลัวว่าจะเกิดเื่ขึ้นมา จึงต้องตามเขาไป หลังจากจัดการตัวล่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงได้พบว่าถูกล่อไปยังที่อยู่ขององค์หญิง จึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหลบหลีกคนเ่าั้ ครั้นมาถึงที่นี่และกำลังจะไปหาเ้า เ้าก็มาถึงพอดี”
จ้าวจื่อซินอธิบายอย่างสั้นกระชับ แต่มู่หรงฉิงรู้ว่าในระหว่างนั้นพวกเขาจะต้องเสี่ยงอันตรายเป็อย่างยิ่ง
“ที่นี่ที่ไหนหรือ?” กุญแจสำคัญก็อยู่นี่แล ทุกคนมารวมตัวอยู่ในที่เดียวกัน ถ้าเกิดนี่คือกลลวง มันจะไม่เป็การติดอยู่ในโถใส่อัฐิซึ่งง่ายต่อการจับหรือ?
“นี่คือหอบรรพบุรุษของฮูหยินหลิง ดูเหมือนว่าป้ายิญญาของชายอายุสั้นคนนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย” หมอเทวดาปาดเหงื่อบนใบหน้าก่อนจะพูดต่อ “ปัญหาคือสาวใช้ของเ้าคนนั้นล่อยวี่อะไรนั่นไปที่เรือนของพวกเราเพื่อทำอะไรหรือ?”
“ในเมื่อองค์ชายสามกล้าออกกลอุบายทำให้พวกเ้าลำบาก ฮูหยินหลิงย่อมต้องรับรู้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง นางไม่มีกะจิตกะใจจะถามถึงเื่นี้ นางได้แต่เปิดตาข้างหนึ่งและปิดตาข้างหนึ่งก็เท่านั้น หรือถ้าไม่ใช่เช่นนั้น ฮูหยินหลิงอาจจะไม่คิดว่าการที่องค์ชายสามแต่งงานกับเป้ยหนิงเป็เื่ที่ดี องค์ชายสามเป็ที่โปรดปรานยิ่งของฮ่องเต้ แม้ว่าองค์ชายรัชทายาทจะทำให้ฮ่องเต้ผิดหวัง แต่ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ก็ไม่เคยเพิกถอนยศศักดิ์ขององค์ชายรัชทายาท พวกเ้ารู้สาเหตุของเื่นี้หรือไม่?”
เมื่อได้ฟังว่าที่นี่มีป้ายิญญาของราชบุตรเขยคนก่อนอยู่ด้วย มู่หรงฉิงจึงไม่ได้เข้าไปข้างใน “พวกเ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ฮ่องเต้เกือบจะเพิกถอนยศศักดิ์ขององค์ชายรัชทายาท แต่ในที่สุดฮ่องเต้ก็ไม่ออกคำสั่ง นั่นเป็เพราะเหตุใดหรือ?”
คำถามของมู่หรงฉิงดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเื่ของวันนี้ แต่หลังจากคิดพิจารณาอย่างรอบคอบ นางรู้สึกว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก
“เพราะองค์ชายรอง” เป้ยหนิงอุทานขึ้น “ในทุ่งหญ้าของพวกเรา องค์ชายรองได้รับการขนานนามว่า 'อินทรีย์ไร้ผู้เทียมทาน' เขามีสิงโตนับล้านอยู่ในมือ ที่สำคัญเขาเป็พี่น้องฝาแฝดกับองค์ชายรัชทายาท ถ้าเกิดองค์ชายรัชทายาทถูกเพิกถอนยศศักดิ์ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยคนแรกจะต้องเป็องค์ชายรอง และทุกคนต่างรู้ดีว่าฮ่องเต้โปรดปรานองค์ชายสาม ถ้าเกิดเพิกถอนยศศักดิ์ขององค์ชายรัชทายาท ผู้ที่จะสามารถแต่งตั้งเป็องค์ชายรัชทายาท เกรงว่าจะมีเพียงองค์ชายสามเท่านั้น”
มู่หรงฉิงไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เป้ยหนิงที่ดูไม่แยแสต่อสิ่งใดจะเป็คนเปิดเผยมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ของนางเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในราชวงศ์ปัจจุบัน ซึ่งทำให้มู่หรงฉิงประหลาดใจ
ถ้าจะบอกว่า คนรักของเป้ยหนิงไม่ใช่องค์ชายรอง แต่ทำไมนางถึงได้ชัดเจนในเื่นี้? แต่ถ้าจะบอกเช่นนั้น สถานการณ์ในวันนี้กลับไม่สมเหตุสมผลอีกแล้ว
“องค์ชายสามก็คงรู้สถานการณ์ของตนเองเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงใช้กลยุทธ์ลอบตีเฉินชาง[1] องค์ชายรองกำลังต่อสู้อยู่ข้างนอก ส่วนองค์ชายสามก็ได้รับผลจากชัยชนะในเมืองหลวงโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ แม้ว่าการต่อสู้ในคราวนี้จะเป็ชัยชนะขององค์ชายรอง แต่หากองค์ชายสามและองค์หญิงเป้ยหนิงแต่งงานกัน คนที่จะมีอำนาจสูงสุดก็คือองค์ชายสาม” จ้าวจื่อซินพูดจบแต่กลับยังไม่เข้าใจ “องค์หญิงเป้ยหนิงมาในฐานะผู้แพ้พ่าย สำหรับสามองค์ชายแล้ว น่าจะมีประโยชน์ไม่มากถึงจะถูก”
“มีประโยชน์มากหรือน้อย ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถพูดได้ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพของพวกเราถึงได้เป็หนึ่งเดียว ท่านพ่อของเป้ยหนิงได้ประโยชน์มากที่สุด ไม่เพียงไม่ต้องวิตกกังวลว่าบัลลังก์จะถูกยึด แต่ยังทำให้ตำแหน่งของเขามั่นคงอีกด้วย และสิ่งที่เขาจะต้องทำคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการจ่ายส่วยทุกปี ตอนนี้ฮ่องเต้มีพลานามัยที่แข็งแรงและบรรดาองค์ชายทุกคนก็สงบนิ่ง หลังจากรออีกไม่กี่ปี เมื่อฮ่องเต้อายุมากและไม่มีแรงปกครองแล้ว ย่อมถึงเวลาที่องค์ชายหลายคนจะเคลื่อนไหว ดังนั้น ณ เวลานี้ หากองค์ชายสามสามารถแต่งงานสานสัมพันธ์กับเป้ยหนิง เขาจะมีแรงหนุนที่แข็งแกร่ง และหลังจากผ่านาไปสักหลายปี สถานการณ์ในทุ่งหญ้าคงคลี่คลายลงได้บ้าง ถึงเวลานั้นคงเป็เื่ธรรมดาที่จะช่วยลูกเขยของตนเองในการต่อสู้เพื่อพิชิตแคว้น”
คำพูดเดียวเป็การปลุกผู้คนในความฝัน หลังจากการพิเคราะห์ของมู่หรงฉิง ทุกคนเข้าใจแล้วว่า นี่คือสิ่งที่ฮ่องเต้ลอบอนุญาตให้แล้ว มิหนำซ้ำเป้ยหนิงยังถูกบังคับให้เลือกองค์ชายสาม และแม้ว่าองค์ชายรองจะกลับมาพร้อมกับความขุ่นเคือง ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถตำหนิผู้อื่นได้ เนื่องจากมันคือความ้าของเป้ยหนิงเอง
สุดท้ายสามารถสรุปได้ว่า ฮูหยินหลิงอาจจะรู้ข้อดีและข้อเสีย และแม้ว่าฮูหยินหลิงจะสามารถทำได้ตามใจ แต่เมื่อมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการของราชสำนัก นางทำได้เพียงเปิดตาข้างหนึ่งและปิดตาข้างหนึ่งเท่านั้น
หรือบางทีการต้อนรับองค์หญิงเป้ยหนิงมาอาศัยอยู่ในจวนของฮูหยินหลิง อาจเป็ความตั้งใจของฮ่องเต้ก็เป็ไปได้ ทั้งหมดเพื่อให้เป็ไปตามเงื่อนไขที่สะดวกสบายสำหรับองค์ชายสาม
ความคิดนั้นส่งผลให้มู่หรงฉิงยิ่งรู้สึกไม่ดีต่อฮูหยินหลิงเพิ่มมากขึ้น ผู้ที่ควบคุมชีวิตของผู้อื่นให้เหมือนการเล่นของเด็ก คนเช่นนั้นช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว
“น่าเกลียดเกินไป สุดที่รักของข้าจะกลับมาถึงเมืองหลวงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รอให้เขากลับมา ข้าจะต้องจัดการองค์ชายสามให้ได้” เป้ยหนิงกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง สังเกตจากท่าทีของนาง ดูเหมือนนางไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อองค์ชายสามแม้แต่เศษเสี้ยว
ครั้นเห็นสีหน้าท่าทางของเป้ยหนิง หมอเทวดาก็หัวเราะดังลั่น “มันน่าขบขันมากจริงๆ คนรักของเ้า ไม่แม้กระทั่งจะมองมาที่เ้า และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเ้าเป็ใคร เ้าไม่กลัวหรือว่าหลังจากที่เขารู้สถานะของเ้า เขาอาจไม่กล้าแม้กระทั่งเข้าใกล้เ้า”
เอ่ยจบหมอเทวดายังคงถามต่อไปว่า “เมื่อพูดถึงตรงนี้ ข้าขอถามเ้า สกุลของสุดที่รักของเ้าคืออะไร? เขาชื่ออะไร? เขาจะกลับมาหรือไม่ เ้าจะไปถามใครหรือ?”
หลังจากตั้งคำถามอย่างไม่ไว้หน้าของหมอเทวดา ดวงตาของเป้ยหนิงจึงแดงก่ำด้วยความโกรธ หากไม่ใช่เพราะร่างกายของหมอเทวดาเต็มไปด้วยพิษ เกรงว่านางคงจะฉีกปากของเขาให้กลายเป็ชิ้นๆ ในใจนั้นลอบพูดพึมพำว่า ข้าเห็นเขาแล้ว และข้ารู้ว่าเขาเป็ใคร
มู่หรงฉิงได้ฟังก็ถึงกับลอบยิ้มในใจ เป้ยหนิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่นางชอบคือใคร แต่นางยังสามารถเรียกเขาว่าเป็คนในใจได้ ดูเหมือนว่าเส้นทางความรักของนางคงไม่สดใสนัก
ทุกคนพูดถึงเื่ดังกล่าวโดยใช้เวลาไม่น้อย ครั้นมองดูท้องฟ้าจึงคิดว่างานเลี้ยงน่าจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็ที่ต้องสงสัย มู่หรงฉิงจึงแนะนำให้ทุกคนแยกย้ายและไปที่ทะเลสาบอย่างเงียบๆ
แผนการขององค์ชายสามสามารถทำได้ในความมืดเท่านั้นซึ่งหมายความว่าตราบใดที่ไปอยู่ต่อหน้าผู้คน ย่อมไม่ต้องกลัวกลอุบายขององค์ชายสามแล้ว
ทุกคนเห็นพ้องกันว่าคำแนะนำของนางมีความเป็ไปได้ ใบหน้าของเป้ยหนิงยังไม่หายดีสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงสวมผ้าคลุมหน้า ดวงตาทั้งสองข้างของนางดูฉลาดมาก นางเปิดประตูออกไปพร้อมกับหมอเทวดา หลังจากสังเกตดูสักพักทั้งคู่จึงหายออกไปด้านนอกจนไม่เห็นแม้แต่เงา
หลังจากเห็นว่าทั้งสองคนจากไปอย่างปลอดภัย มู่หรงฉิงก็ออกจากหอบรรพบุรุษพร้อมกับจ้าวจื่อซิน เฉินเทียนหยูและชุ่ยเอ๋อร์
“ปี้เอ๋อร์ไปล่อมู่หรงยวี่และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น? พวกเราไปดูสถานการณ์ที่เรือนของเป้ยหนิงก่อนจะดีหรือไม่?” นางไม่รู้ทางและจ้าวจื่อซินก็เคยไปที่นั่น ดังนั้นจ้าวจื่อซินต้องเป็คนนำทางโดยธรรมชาติ
จ้าวจื่อซินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้า “ไปกันเถอะ”
เฉินเทียนหยูเกือบจะประสบภัยพิบัติ หลังจากเห็นสีหน้าของจ้าวจื่อซิน เขาก็รู้สึกน้อยใจ เวลานี้ย่อมไม่้าที่จะสนใจจ้าวจื่อซินไปโดยปริยาย แต่จับมือของมู่หรงฉิงแน่นทั้งที่สีหน้ายังมีแต่ความน้อยใจซึ่งมู่หรงฉิงเองก็อับจนปัญญา ทำได้เพียงบอกเขาซ้ำๆ ว่าอย่าเดินตามคนอื่น ถ้าเกิดโดนคนทำร้าย นางจะหาเขาไม่เจอ
เฉินเทียนหยูตั้งใจฟังตลอดทางพร้อมพยักหน้าบ่อยๆ และเขาก็ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาจะเดินตามน้องหญิง เขาจะไม่วิ่งไปไหนอีก
กลุ่มคนสี่คนเดินเลี้ยวเลาะเป็เวลานานโดยหลีกเลี่ยงองครักษ์และคนรับใช้จำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนหยุดอยู่ด้านนอกเรือนโดยซ่อนตัวอยู่ด้านหลังูเาหิน
“แปลกจริง หลายอึดใจก่อนข้ายังเห็นปี้เอ๋อร์เ้าแพศยาคนนั้นอย่างชัดเจน แต่ทำไมถึงไม่เห็นนางแล้วล่ะ?”
หลังจากคนทั้งสี่ได้ซ่อนตัวเรียบร้อย พวกเขาถึงได้ยินเสียงก่นด่าของมู่หรงยวี่
“เ้าแน่ใจหรือว่านั่นคือปี้เอ๋อร์? คนที่ส่งข่าวบอกแล้วว่า วันนี้ปี้เอ๋อร์อยู่ในจวนเฉิน และไม่ได้ติดตามมาด้วย คนที่ติดตามมาด้วยคือสาวใช้เคียงข้างฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน นั่นคือผู้หญิงที่พวกเราเห็นเมื่อหลายอึดใจก่อน” หนิงสุ่ยรั่วติดตามเคียงข้างมู่หรงยวี่ นางพยายามที่จะไม่เปิดเผยความดูถูกเหยียดหยามออกมา
มู่หรงยวี่ผู้นี้ช่างไร้สมองจริงๆ ตอนนี้บริเวณเลียบทะเลสาบเต็มไปด้วยโอรสของฮ่องเต้ นางไม่อยู่ที่นั่นดีๆ แต่กลับมาที่นี่เพื่อหาปี้เอ๋อร์อะไรนั่น?
มู่หรงยวี่ย่อมไม่เป็ไรเนื่องจากมีคนมากมายคอยปูทางให้ แต่เมื่อหนิงสุ่ยรั่วนึกถึงท่านพ่อของนางที่เป็เพียงขุนนางระดับหกตัวเล็กๆ ในกวงลู่ซื่อชิง ความคิดขององค์ชายและลูกหลานขุนนางเ่าั้ล้วนไม่ได้อยู่ที่นางโดยสมบูรณ์ ทำให้นางรู้สึกแย่มาก
ทำไมต้องเป็เช่นนี้ด้วย? นางหน้าตาดีกว่ามู่หรงยวี่ และมีความสามารถมากกว่ามู่หรงยวี่ด้วยซ้ำ แต่นางกลับต้องเดินตามมู่หรงยวี่ต้อยๆ ปล่อยให้มู่หรงยวี่ใช้นางทำอะไรก็ได้ตามใจ ส่วนท่านพ่อของนาง ทั้งที่มอบของมากมายให้จวนของมู่หรงอั้นเป็เวลาหลายปีแล้ว แต่กลับยังเป็แค่ขุนนางระดับหกเช่นเดิม
ด้วยรูปลักษณ์และความสามารถของนาง การจะจับคู่กับองค์ชายคนใดคนหนึ่ง มันจะเป็เื่ยากสักแค่ไหนกันเชียว? แต่ด้วยสถานะทางครอบครัวที่ยังต่ำต้อย นางจึงมักจะรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าเสมอ
ยิ่งคิดตรึกตรอง นางก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง สายตายามมองมู่หรงยวี่จึงยิ่งเกลียดชังมากขึ้น
มู่หรงยวี่กำลังคิดในใจ ครู่ก่อนนางยังเห็นปี้เอ๋อร์อยู่เลย แต่ทำไมปี้เอ๋อร์ถึงได้หายตัวไปในชั่วเวลาพริบตาล่ะ? แน่นอนว่านางย่อมไม่พบว่าหญิงสาวข้างตัวกำลังตีสองหน้า
มู่หรงยวี่ไม่ได้สังเกตเห็น แต่ทางด้านมู่หรงฉิงนั้นเฝ้าดูอยู่ เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจของหนิงสุ่ยรั่ว นางก็ยิ้มอย่างเ็า ในใจของนางได้ปรุงแผนการที่สมบูรณ์แบบเอาไว้แล้ว...
มู่หรงยวี่ค้นหาอยู่สักพักหนึ่งถึงกระนั้นก็ไม่พบปี้เอ๋อร์ นางคิดในใจบางทีนางอาจจะเห็นผิดคน เื่ของวันนี้จะจัดการได้ง่าย ถ้าไม่มีปี้เอ๋อร์ ผู้คนรอบตัวมู่หรงฉิงต่างก็ถูกควบคุม คงจะเป็เื่ไม่ดีแน่ ถ้ามีปี้เอ๋อร์อีกคนที่ไม่ถูกจัดการ?
หลังจากนึกถึงแผนการของท่านแม่ มู่หรงยวี่ก็ดูมีความสุข นางดึงหนิงสุ่ยรั่วกลับไปทางเดิม “อีกสักพักก็จะได้เห็นการแสดงที่ดี ไม่ต้องสนเ้าแพศยาคนนั้นแล้ว”
จวบจนกระทั่งทั้งสองคนหายตัวไป พวกมู่หรงฉิงทั้งสี่คนก็ออกจากูเาหิน ทันทีที่พวกเขาออกจากูเาหิน ก็เห็นดวงตาของปี้เอ๋อร์ที่เต็มไปด้วยความสงสัย “คุณหนูใหญ่ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ คุณหนูใหญ่เห็นอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทหรือไม่?” ก่อนหน้าคิดแค่จะหลีกเลี่ยงอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท แต่ไม่ได้คิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร และตอนนี้ทุกคนก็อยู่พร้อมหน้ากันแล้ว จึงควรไปดูว่าเขาถูกวางกับดักอะไรหรือไม่?
“ข้าเพิ่งเห็น อึดใจก่อนเหมือนว่าเขาไปทางนั้น” ปี้เอ๋อร์ชี้ไปที่อีกฟากหนึ่งของเส้นทาง “แต่ดูเหมือนว่ามีคนกำลังลอบเฝ้าดูอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทอย่างลับๆ และทักษะการต่อสู้ก็ไม่อ่อนแอด้วย”
เป็ไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด นางยกยิ้มเ็าพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า หมายจะเดินไปตามทิศทางที่ปี้เอ๋อร์ชี้ เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจว่าทำไม มู่หรงฉิงถึงได้สนใจอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทคนนั้น แต่เนื่องด้วยเขาไม่สบอารมณ์เป็อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงสะบัดมือ “น้องหญิงก็รู้แต่ห่วงใยคนอื่น น้องหญิงไม่สนใจข้าอีกต่อไปแล้ว”
ฝีเท้าของนางจึงต้องหยุดชะงักเพราะความเอาแต่ใจของเฉินเทียนหยู ก่อนที่นางจะได้อ้าปาก เฉินเทียนหยูก็ลากนางกลับไป “ข้าไม่สนแล้ว ข้าไม่สนแล้ว น้องหญิงจะต้องไปกับข้า พวกเราไปกินของอร่อยๆ กัน”
ครู่ก่อนเขายังทำหน้าน้อยใจอยู่เลย แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขากลับเปื้อนไปด้วยความขุ่นเคือง มู่หรงฉิงรู้ว่าเขาน้อยใจมาเป็เวลานานแล้ว ทั้งยังไม่ได้รับการปลอบโยนจากนาง เขาจึงเอาแต่ใจตัวเอง ซ้ำร้ายถ้า้าเกลี้ยกล่อมเขา นางไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน และแม้ว่านางจะไปที่นั่น ก็เกรงว่าจะไม่พบเบาะแสใดๆ
-------------------------
[1] กลยุทธ์ลอบตีเฉินชาง คือ กลยุทธสร้างความสับสนให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า โดยการโจมตีอย่างคิดไม่ถึงจากด้านข้าง