ราชครูเดิมทีก็ไม่ได้เต็มใจจะเป็อาจารย์ให้เ้าเด็กเกเรพวกนี้ ทว่าบัดนี้เขาอยากจะเริ่มสอนนัก จะได้อบรมเ้าเด็กปีศาจนี่เสียหน่อย
ชายชราเดินออกจากกระท่อมด้วยความเกรี้ยวกราด
กล่องข้าวด้านหลังนั้นก็ได้เสี่ยวเถาเป็คนจัดการเรียบร้อยแล้ว
บัดนี้เขานั้นไม่มีอาภรณ์สีขาวของราชครู มีเพียงชุดยาวสีเทากับรองเท้าผ้าเก่าๆ สีดำ ดูแล้วออกจะซอมซ่อเล็กน้อย
ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความคับอกคับใจ เดินออกมาก็เจอกับอาสวินที่แบกหนังสืออยู่ตั้งหนึ่ง
หากจะให้เขาพูดว่าใครบนเขานี้ที่ดูพอจะมีหัวคิดนั้น ก็คงจะเป็เ้าเด็กหนุ่มนี่ เ้าเด็กหนุ่มคนนี้ฉลาดเฉลียวนัก เขากล่าวอะไรไปเพียงสักครั้ง เ้าเด็กนี่ก็จำได้แล้ว หรือเื่ที่เคยกล่าวไป แค่เพียงกล่าวตอนต้นขึ้นมา เขาก็เข้าใจได้แล้ว
อีกทั้งเ้าเด็กนี่ยังเปี่ยมไปด้วยความสุขุมเยือกเย็น ต่างกับคนอื่นๆ บนูเานัก
ยามพูดจาก็สุภาพเรียบร้อย ให้ความรู้สึกสงบเสงี่ยมยิ่ง
“ท่านอาจารย์ อรุณสวัสดิ์ขอรับ” อาสวินเห็นชายชราเดินมาก็ออกปากทักทาย
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ยื่นมือไปลูบผมบนศีรษะที่ชี้โด่ชี้เด่บนศีรษะน้องสาว
ราชครูนั้นพบว่าใครๆ ก็ดูเหมือนจะชอบลูบผมบนศีรษะเด็กหญิงนัก แต่ก็เอาเถอะ ผมที่ชี้ไปคนละทิศละทางราวกับลูกนกของนางนั้นดูๆ ไปก็น่ารักดี
“เ้าทำให้ท่านอาจารย์โกรธอีกแล้วรึ”
เฉินโย่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ทำตาใสถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์โกรธข้าหรือ เมื่อครู่ยามกินข้าวก็ยังดูดีใจอยู่เลยนี่นา หรือท่านอาจารย์จะโกรธเพราะว่าข้าไม่แบ่งผลไม้ให้กันนะ”
สีหน้าของราชครูพลันมืดครึ้มลง เขาโกรธเพราะเื่นี้เสียที่ไหนกัน
จากนั้นก็เห็นเด็กหญิงทำท่าทีกระสับกระส่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มือน้อยล้วงเข้าไปในกระเป๋าหนังงูของตนเอง ล้วงไปมาอยู่พักหนึ่งก็หยิบผลไม้ออกมาลูกหนึ่ง ผลไม้ลูกกระจิริดนั่นผิวของมันดูเริ่มเหี่ยวเล็กน้อย เมื่อวางอยู่บนมือของนางก็ยิ่งทำให้มันดูลูกเล็กยิ่งกว่าเดิม
“ท่านอาจารย์ ข้าให้”
สีหน้าของราชครูพลันหม่นลงอีกครั้ง เขาคิดในใจว่าตนนั้นดูเป็คนใจแคบถึงขาดจะโกรธผลไม้ลูกเล็กๆ เชียวหรือ
ทว่าเมื่อได้เห็นเด็กหญิงทำหน้ามุ่ย ราชครูก็ตัดสินใจรับผลไม้ลูกนั้นมา
ในที่สุดเ้าเด็กนี่ก็ได้ทำหน้ามุ่ยกับเขาบ้าง ในใจชายชราพลันรู้สึกสาแก่ใจ
เมื่อรับผลไม้มาแล้วก็เก็บมันลงกระเป๋าตน เพียงครู่เดียวก็รู้สึกสบายใจนัก
เฉินโย่วเมื่อเห็นว่าอาจารย์รับผลไม้ของตนไปจริงๆ ใบหน้าก็ฉายแววปวดใจ ส่ายหัวไปมาแล้วถอนหายใจกล่าวขึ้น “ท่านอาจารย์ ถ้าต่อไปท่านอยากกิน ท่านก็บอกกับข้าตรงๆ สิ ท่านโกรธข้าเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่รู้ หากไม่ใช่เพราะพี่สวินบอกข้า ท่านก็ไม่รู้จะต้องโกรธไปอีกนานเท่าใด ท่านก็อายุปูนนี้แล้ว จะป่วยเอาได้ง่ายๆ ท่านนี่ช่างทำให้คนเป็ห่วงเสียจริง”
ราชครูคิดในใจว่านางพูดเสียจนเป็เื่ถูกต้องเช่นนี้ แล้วเขาจะเอาอะไรมาตอบนางเล่า
เฉินโย่วน้อยเมื่อกล่าวจบ ก็เขย่งเท้าขึ้นช่วยพี่ชายแบกหนังสือ
อาสวินเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ
เขารู้ดีว่าน้องสาวนั้นแรงเยอะนัก แรงเยอะกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ เมื่อก่อนตอนอุ้มนางเล่น ก็ถูกหมัดน้อยๆ ของนางเข้า กำปั้นนั้นต่อยแรงจนเขาแทบจะกระอักเื หลังจากครั้งนั้น น้องสาวก็ไม่กล้าแตะต้องเขาอีก
แม้ว่าจะเป็เช่นนั้น อาสวินก็แบ่งให้นางถือเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น ส่วนใหญ่นั้นก็ยังเป็ตนถืออยู่ดี
เด็กหนุ่มหนึ่งคน เด็กหญิงหนึ่งคน คนหนึ่งผมยาว คนหนึ่งผมชี้ราวกับลูกนก ราชครูค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้เด็กทั้งสอง
ราชครูมองเด็กทั้งสองที่อยู่ด้านข้างเดินแบกหนังสือไปโดยไม่พูดไม่จาอะไร ยามนางไม่พูดไม่จาอันใดก็นับว่าน่ารักดี โดยเฉพาะผมทรงลูกนกของนางที่ชี้ไปชี้มา
“เ้าเด็กเว... โย่ว ไฉนผมเ้าจึงสั้นนักเล่า” ราชครูอดไม่ไหวที่จะถาม
โดยปกติเด็กหญิงนั้นจะไว้ผมยาว ตัดจนสั้นเช่นนี้นั้นนับว่าหาได้น้อยนัก
อาสวินได้ยินอาจารย์ถามเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่รู้จะกล่าวเช่นไร
“น้องสาวชอบเล่นไฟ ไม่ทันระวังไฟจึงไหม้ผมเข้า”
ราชครูทำหน้ากังวล เ้าเด็กนี่จะซนอะไรปานนั้น ถึงขั้นเล่นไฟจนไหม้ผมตัวเองเชียวรึ
เขาควรจะซาบซึ้งหรือไม่ที่เขารักษาตัวบนเขานานถึงขนาดนี้แล้วยังไม่โดนเผาตาย จิตสำนึกพาให้ขาของเขาก้าวออกมาให้ห่างจากเด็กหญิงสักหน่อย
ทว่านางก็ขยับมาใกล้ขึ้นเช่นกัน
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นอธิบายให้อาจารย์ฟัง “ท่านอาจารย์วางใจเถิด น้าหลัวไม่ให้ข้าเล่นไฟแล้ว ยังบอกอีกว่าถ้าใครให้ข้าเล่นไฟ ก็จะไม่ให้เขากินข้าว”
ราชครู ‘มันมีความหมายเช่นนี้จริงรึ’
เขานั้นมักจะรู้สึกว่าหากเขาอยู่กับเ้าเด็กนี่ไปเรื่อยๆ จะต้องแก่ไวขึ้นแน่ๆ เดาว่าเขาคงได้เป็คนแรกในประวัติศาสตร์ของตระกูลจ้งที่ได้แก่ตาย ด้วยเหตุที่คนตระกูลจ้งนั้นอายุไม่ยืนยาวนัก ล้วนแต่ไม่ได้จากไปในวัยชรา
ตลอดเส้นทางที่พวกเขาเดินมามีแต่ความเงียบงัน ยังดีที่ห้องเรียนนั้นอยู่ไม่ไกลนัก
ไม่นานก็มาถึงแล้ว
ราชครูนั้นได้เตรียมพร้อมสำหรับเป็อาจารย์ในชนบทเรียบร้อยแล้ว
อาจารย์ในชนบทนั้น ห้องเรียนต้องมุงด้วยหญ้าคา มีโต๊ะหนังสือผุๆ ไม่กี่ตัว ว่าไปแล้วก็น่าจะมีเพียงเท่านี้
ยิ่งกว่านั้นท่าทางที่นั่นยังน่าจะไม่เคยมีอาจารย์มาก่อน
เขานั้นไม่กล้าคาดหวังเื่โต๊ะเื่หนังสือนัก ของเพียงที่นี่สามารถช่วยปิดบังฐานะให้เขาได้หนีพ้นจากเงื้อมมือของฮองเฮาที่ยังไล่ฆ่าเขาอยู่ อนาคตนั้นก็คงไม่มีใครรู้ว่าราชครูเช่นเขาจะมาเป็อาจารย์ในหมู่บ้านแห่งนี้ได้
อืม แน่นอนว่าจะต้องไม่มีใครรู้
บัดนี้เขาเป็เพียงอาจารย์กัวผู้ตกยากเท่านั้น
เมื่อมองไปยังกระท่อมบนเขากระดูก ใครจะคาดคิดว่ามันจะอยู่ที่นี่
ราชครูที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดนั้นยื่นมือไปผลักให้บานประตูเปิดออก แล้วจึงเดินเข้าไปในกระท่อมที่เพิ่งสร้างใหม่บนูเา เพื่อให้เขาใช้เป็ห้องเรียน
เมื่อเห็นบรรยากาศในห้อง ชายชราก็พลันอึ้งไปครู่หนึ่ง
พื้นขาวสะอาดไม่มีแม้ฝุ่น มิต้องพูดถึงมูลแพะมูลวัวที่เขาคิดไว้
หน้าต่างก็สะอาดสะอ้าน มองออกไปด้านนอกยังเห็นดอกไม้และลำธารเล็กๆ อีกด้วย
ในห้องก็มีกลิ่นไม้หอมตลบ ลายของวงรอบบอกจำนวนปีบนผิวไม้นั้นราวกับกำลังเล่าขานเื่ราวแต่อดีตกาลให้เขาฟัง
อีกทั้งผนังทั้งสองด้านนั้นยังมีนั่งหนังสืออยู่เต็ม ทุกแถววางเรียงอัดกันจนแน่น
ยิ่งกว่านั้นทุกแถวยังเหมือนว่าจะเรียงแบ่งตามลำดับการออกเสียงของชื่ออีกด้วย
“เหตุใดจึงมีหนังสือมากถึงเพียงนี้ได้เล่า”
เฉินโย่วน้อยตอบขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “พวกนี้เป็หนังสือที่พวกเราปล้นมา เมื่อปล้นมาได้ก็มากองรวมกันที่นี่ นานไปก็มีมากเช่นนี้”
อาสวินผลักศีรษะยุ่งๆ ของน้องสาวตนเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ระวังเถิด น้าหลัวจะตีเ้า พวกเราเป็สุจริตชน ไม่ปล้นชิงใคร หนังสือพวกนี้ควรจะพูดว่าคนรุ่นก่อนเป็คนตกทอดไว้ให้”
“เหอะๆ ข้าจำขึ้นใจแล้ว” เฉินโย่วพยักหน้าตอบอย่างเข้าใจ
หันมายิ้มให้ท่านอาจารย์ทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดใหม่อีกครั้ง “ท่านอาจารย์ หนังสือพวกนี้คือหนังสือที่คนรุ่นก่อนตกทอดไว้ให้เ้าค่ะ”
ราชครูคิดในใจว่าเ้าเด็กนี่โกหกเขาดื้อๆ ต่อหน้าเช่นนี้ก็ได้รึ
อาสวินวางหนังสือลงก่อนจะกล่าวขออภัยท่านอาจารย์ “ขอท่านอาจารย์โปรดอภัย แม้เมื่อก่อนนั้นหมู่บ้านของเราจะเคยเป็ค่ายโจร ทว่าไม่กี่ปีมานี้ พวกเราไม่เคยออกปล้นใครแม้แต่ครั้งเดียว พวกเราแค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบเท่านั้น”
ราชครูพยักหน้าเบาๆ แล้วจึงเดินไปนั่งตรงตำแหน่งอาจารย์ที่อยู่หน้าสุดของห้อง
เก้าอี้นั่งสำหรับอาจารย์นั้นเป็เก้าอี้แบบขุนนาง ทั้งสองด้านมีราวพักแขนเป็เงามัน ้ายังดูเหมือนจะมีลายไม้สีขาวและสีแดงผสมกัน ไม่รู้เช่นกันว่าทำจากไม้ชนิดใด
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาใที่สุดนั้นไม่ใช่เก้าอี้ไม้ แต่เป็ขนสัตว์ที่วางอยู่บนเก้าอี้ต่างหาก
หนังสัตว์ผืนงามนั้นยังมีหัวของมันติดอยู่ หัวนั้นยังเป็ถึงหัวพยัคฆ์อีกด้วย
เฉินโย่วน้อยเห็นแววตาเป็ประกายของท่านอาจารย์ยามมองหนังพยัคฆ์ ก็เอ่ยแนะนำขึ้นด้วยความภูมิใจ “ท่านอาจารย์ หนังสัตว์ผืนนี้คงงามมากกระมัง พี่ชายข้าเป็คนล่ามาเองกับมือเชียว พี่ชายข้านะเก่งมาก เขายังบอกอีกว่าตราบใดที่เขายังอยู่ ใครก็ไม่อาจรังแกข้าได้”
ราชครูมุ่ยหน้าทีหนึ่ง เขานั้นรู้ว่าพี่ชายที่เด็กหญิงพูดถึงนั้นคือคนใด ก็คงจะมีเพียงคนเดียวที่มีนามว่าอาลู่ เ้าเด็กนั่นแม้จะผิวคล้ำไปสักหน่อย แต่ใบหน้านั้นกลับคมสันนัก รูปพรรณสัณฐานนั้นนับว่าดียิ่ง ยามยิ้มก็เห็นฟันเรียงขาว ดูไร้ซึ่งพิษภัย
ใครจะคิดว่าเ้าเด็กนี่จะดุดันถึงเพียงนี้ เขาอดไม่ไหวจึงลูบผืนหนังสัตว์นั้นทีหนึ่ง ไร้ซึ่งรอยตำหนิ คาดว่าน่าจะปลิดชีพมันได้ในมีดเดียว จึงได้ผืนหนังที่งดงามเช่นนี้มา
ราชครูนั่งลงบนเก้าอี้ ััได้ว่าขนสัตว์นั้นนุ่มนัก รู้สึกว่าชีวิตที่แสนจะยากลำบากของเขานั้นเพิ่งจะได้สุขสบายกับเขาก็คราวนี้เอง
เขามองเด็กหญิงผมยุ่งชี้ขึ้นฟ้านั่งลงตรงแถวที่หนึ่ง แม้ว่าท่านั่งจะดูเรียบร้อยดี แต่ปากนั้นกลับยังเคี้ยวตุ้ยๆ เห็นได้ชัดว่าแอบกินบางอย่างอยู่
ด้านหลังเด็กหญิงนั้นคืออาสวิน
เด็กหนุ่มนั้นดูสะอาดสะอ้านนัก ผมสีดำนั้นถูกรวบเก็บอย่างเรียบร้อย เสื้อผ้าก็เรียบร้อยเช่นกัน ท่านั่งก็มีมารยาท รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าก็ดูอบอุ่นนัก
เมื่อมองไปก็เห็นโต๊ะอีกสองตัว คาดว่าน่าจะมีนักเรียนอีกสองคน เป็ไปดังคาด ไม่นานนักประตูห้องเรียนก็ถูกเปิดออก
เด็กหนุ่มอ้วนดำพร้อมเหงื่อเต็มหน้าค่อยๆ ก้าวขาเข้ามา บนหลังยังแบกลูกเหล็กมาด้วยอีกสองลูก ทุกย่างก้าวจึงมีเสียงดังตึงตังขึ้น กระทั่งพื้นก็สั่นไหวตามเช่นกัน
“ท่านอาจารย์ ข้ามาสายแล้ว” เด็กหนุ่มนั่งลงตรงแถวหลัง
ราชครูขมวดคิ้วขึ้น
ไม่นานประตูก็ถูกผลักให้เปิดอีกครั้ง
ใบหน้าของเด็กหญิงพลันยินดี พร้อมทั้งร่างน้อยๆ ที่ลุกขึ้น “พี่ชาย มานั่งข้างๆ ข้า”
เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าประตู แสงด้านนอกพลันสาดเข้ามา แววตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ร่างน้อย จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
เขาเดินมาจนถึงแถวแรก จากนั้นก็นั่งลงข้างเฉินโย่ว แล้วยิ้มจนเห็นฟันขาวๆ ทั้งสองแถว จากนั้นก็เอ่ยปากถามเขาอย่างประจบประแจง “ท่านอาจารย์ ท่านชอบหนังสือที่ข้ามอบให้หรือไม่”