วันนี้จวนแม่ทัพิ่จัดงานเลี้ยง ประตูหน้าจึงคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เมื่อรถม้าจอดลง ไท่ไท่ก็สามเลิกม่านขึ้น และขณะเดียวกัน คนที่ลงจากรถม้ามาก่อนหน้านางก็คือซูซานหลาง เขาสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ในมือถือพัดขนนก แลดูแล้วงามสง่าอย่างบอกไม่ถูก
พอเห็นไท่ไท่สามกำลังลงจากรถ เขาก็เดินเข้ามาสองสามก้าว แล้วเอ่ยเรียกพลางยื่นมือออกไปรับ "น้องหญิง"
ไท่ไท่สามอมยิ้ม นางก้าวเหยียบเก้าอี้ไม้ลงจากรถม้า แล้วหันกลับไปกำชับสาวใช้ "ระวังเกอเอ๋อร์กับชีเจี่ยเอ๋อร์ด้วย"
เด็กน้อยจ้ำม่ำทั้งสองคนยังคงหลับอยู่
ส่วนอิ้งเยว่บุตรสาวคนโตหน้าตาจิ้มลิ้มปากแดงฟันขาวน่ารักฉลาดเฉลียว นางวางใจได้
เมื่อครอบครัวของซูซานหลางมาถึง พ่อบ้านก็กระวีกระวาดเข้ามาต้อนรับ เื่ในปีนั้นไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็พ่อบ้านของตระกูลใหญ่ ย่อมไม่แสดงออกทางสีหน้า ทั้งยังยิ้มแย้มเอ่ยต้อนรับอย่างมีมารยาท "ทุกท่านเชิญขอรับ"
ซูซานหลางโบกพัด ดวงตาดอกท้อเลิกขึ้นเล็กน้อย ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าชายผู้นี้เปี่ยมไปด้วยความสามารถและมีเสน่ห์น่าหลงใหล แต่กลับไม่วางตัวเป็คนนอก เขาเอ่ยถามว่า "พี่ิ่หวายเล่า?"
"ท่านแม่ทัพอยู่ในเรือน เชิญท่านขอรับ" พ่อบ้านตอบ
ซูซานหลางพะเน้าพะนอเอาใจภรรยาอย่างยิ่ง เขาติดตามไปส่งไท่ไท่สามถึงเรือนหลักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "ผู้น้อยคารวะท่านป้า ท่านป้ายังคงใจดีมีเมตตา เปี่ยมไปด้วยสง่าราศี ดูไม่เหมือนเป็มารดาของพี่ิ่หวาย แต่คล้ายพี่สาวของเขามากกว่า"
แม้คนผู้นี้แย่งชิงสะใภ้ไปจากครอบครัวของตน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ก็ไม่อาจพูดไม่ดีกับเขาได้
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ยิ้มอย่างจนใจ "เ้าเด็กคนนี้ พูดเหลวไหลอันใด"
นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวอีกว่า "คนไม่รู้ต้องนึกว่าเ้ากำลังบอกเป็นัยว่าหวายเอ๋อร์ของข้าแก่แน่"
ซูซานหลางได้ฟังเช่นนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง "ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าผู้นี้เป็คนตรงไปตรงมา หากคิดจะว่าร้ายพี่ิ่หวาย ข้าก็จะพูดต่อหน้าแน่นอน ไหนเลยจะทำอะไรลับหลัง อีกอย่างข้าเคยโป้ปดมดเท็จเสียที่ไหน ท่านไม่เพียงดูเหมือนพี่สาวของพี่ิ่หวาย ยังดูเหมือนพี่สาวของข้าด้วย หากท่านแม่ของข้าบำรุงรักษาสุขภาพได้ดีเฉกเช่นท่าน ข้าก็คงมีความสุขจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว"
ตลอดเจ็ดปีมานี้ิ่หวายไม่เคยได้กลับเมืองหลวง แต่ซูซานหลางกลับมาเยี่ยมเยือนนางทุกเทศกาล กตัญญูต่อนางยิ่งกว่าบุตรชายแท้ๆ เสียอีก มิเคยเข้าหน้ากันไม่ติดเพียงเพราะแต่งงานกับฉีอิ่งเยว่ เป็เช่นนี้เสมอต้นเสมอปลาย ด้วยเหตุนี้ฮูหยินผู้เฒ่าิ่จึงไม่เคยตำหนิเขา
"ข้าอ่อนกว่ามารดาเ้าสิบกว่าปี อ่อนเยาว์กว่านางก็เป็ปรกติมิใช่หรือ เ้าเนี่ยนะ หากมารดาเ้ามาได้ยินเ้าแอบค่อนขอดว่านางแก่ ให้รู้ไปสิว่านางจะไม่ตีเด็กแสบอย่างเ้า" ฮูหยินผู้เฒ่าิ่หัวเราะ ก่อนจะร้องทักไท่ไท่สาม "อิ่งเอ๋อร์ นั่งสิ"
ฉีอิ่งซินนั่งลงตำแหน่งหัวแถวของด้านล่าง
เมื่อมองจากตรงนี้ ผู้ที่นั่งข้างฮูหยินผู้เฒ่าิ่น่าจะเป็บุตรสะใภ้ของนาง
นางสวมชุดแบบชาวหู ผิวพรรณสีทองแดงแลดูสุขภาพดี มิได้ขาวกระจ่างเช่นสตรีในเมืองหลวง ทว่าแม้จะไม่ขาว ก็ยังคงสดใสเปล่งประกาย
ฉีอิ่งซินกวาดตามองเพียงปราดเดียวก็รั้งสายตากลับมา แต่แม้ว่านางจะรั้งสายตากลับมาแล้ว สตรีผู้นั้นกลับจ้องมองพวกนางตาไม่กะพริบตลอดเวลาั้แ่เข้าประตูมา
แต่ซูซานหลางกลับไม่แม้แต่จะชายตามอง เขาทอยิ้มประสานมือแล้วเอ่ยว่า "วอนขอท่านป้าและพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทุกท่าน ได้โปรดอย่าเอ่ยเื่นี้ต่อหน้ามารดาข้า หาไม่แล้วศาลบรรพชนคงได้เป็สถานที่พักค้างคืนของข้าแน่"
คำกล่าวนี้ทำให้ทุกคนต่างหัวเราะ
ไท่ไท่สามย่อมรู้ว่าซูซานหลางทำเช่นนี้เพื่อนาง จึงนึกซาบซึ้งในใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า เพียงแค่ทอยิ้มจางๆ
ทว่าซูซานหลางเป็บุรุษ ไม่สะดวกรั้งอยู่ในสถานที่ของสตรีทางนี้ จึงกล่าวว่า "ทุกท่านค่อยๆ คุยกันไปเถิด ข้าจะไปหาพี่ิ่หวาย วันนั้นคุยกันแค่ไม่กี่คำ เขาก็ถูกคนมาเรียกไป ข้าผิดหวังยิ่งนัก อยากจะคุยกับเขาสักสามวันสามคืน แต่พอข้าไปแล้วท่านป้ากับเหล่าพี่สะใภ้ก็อย่ารังแกภรรยาของข้าเล่า มิเช่นนั้นข้าจะไปฟ้องท่านลุงกับพี่ชายทุกท่านเลย"
คำพูดเหลวไหลไม่ไปในทำนองเดียวกันพรรค์นี้ เขายังอุตส่าห์พูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่กลอกตาใส่เขา แล้วกล่าวว่า "ใครจะรังแกภรรยาของเ้าได้ รีบไป รีบไป"
ซูซานหลางหัวเราะ ประสานมือคารวะแล้วจากไป
เสี่ยวเฉียวเยว่ตื่นขึ้นมาตอนที่บิดากำลังตบสะโพกม้า [1] ชุดใหญ่อยู่พอดี
เด็กน้อยอย่างนางได้รับความะเืใจอย่างแรง ไม่นึกว่าบิดาผู้สูงส่งสง่างามจะถึงกับเป็มือตบสะโพกม้าชั้นยอด แต่ทำแบบนี้กลับถูกต้องเหมาะสมและเป็ผลดี แม้เห็นหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าิ่ไม่ชัด แต่เฉียวเยว่ก็รับรู้ได้จากเสียงหัวเราะของนาง
"แอ้!"
นางยื่นมือเล็กๆ ขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนรู้ว่านางตื่นแล้ว
ไท่ไท่สามได้ยินเสียง ก็หันกลับมาตบๆ เฉียวเยว่ในอ้อมแขนของสาวใช้ เคราะห์ดีที่เสี่ยวเฉียวเยว่รู้ความ ไม่งอแงให้นางอุ้มให้ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่เห็นบุตรของไท่ไท่สามก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยว่า "อิ่งเอ๋อร์ช่างมีวาสนาดียิ่ง ซานหลางทะนุถนอมภรรยา บุตรก็น่ารักเฉลียวฉลาด"
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง นางก็ถามต่อ "นี่เกอเอ๋อร์หรือเจี่ยเอ๋อร์เล่า? ตื่นแล้วใช่หรือไม่? อุ้มมาให้ผู้เฒ่าอย่างข้าดูหน่อยซิ"
ไท่ไท่สามรีบรับเสี่ยวเฉียวเยว่มาจากสาวใช้ แล้วอุ้มไปไว้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าิ่ เสี่ยวเฉียวเยว่ถึงได้เห็นใบหน้าที่งามสง่าของนาง เห็นได้ชัดว่าเมื่อครั้งเยาว์วัยจะต้องเป็สตรีที่งดงามปานบุปผาอย่างแน่นอน
นางเปล่งเสียงต้ะๆ จากนั้นก็ตบมือ แล้วยิ้มออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่คาดไม่ถึงว่าเ้าตัวน้อยคนนี้จะไม่กลัวคนแปลกหน้า เพียงเห็นนางก็ยิ้มออกมาแล้ว จึงรู้สึกชอบขึ้นมา นางเอ่ยว่า "เด็กดี รู้ความจริงๆ"
ไท่ไท่สามยิ้มอย่างอ่อนโยน "นี่คือชีเจี่ยเอ๋อร์เ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่สังเกตเห็นว่าบนเสื้ออันประณีตของนางมีแหวนน้าวหยกที่ดูไม่เข้ากันแม้แต่น้อยแขวนอยู่ ในใจก็นึกสงสัย เลยถามออกมาตรงๆ
สีหน้าของไท่ไท่สามแดงขึ้นเล็กน้อย นางตอบไปว่า "ยายหนูคนนี้ชอบของที่สดใสแวววาว ท่านแม่ก็เลยยกแหวนน้าวหยกวงนี้ให้เพื่อพะเน้าพะนอนาง ยายหนูชอบมันมาก ไม่ยอมปล่อยมือ พอหยิบไปก็ร้องไห้ ข้าจนปัญญาจึงต้องให้นางพกติดตัวเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ได้ฟังก็อึ้งงันไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็หัวเราะ "เด็กผู้หญิงล้วนชอบเครื่องประดับกันทั้งนั้น ไม่นับว่าเกินไป ไม่นับว่าเกินไป"
พอได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ เสี่ยวเฉียวเยว่ก็นึกชอบฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ขึ้นมาทันที คำพูดของอีกฝ่ายถูกใจนางจริงๆ
นางกางแขนน้อยๆ ออก ตั้งท่าเหมือนนกเผิงกำลังจะโบยบิน จะโผเข้าหาฮูหยินผู้เฒ่า
ไท่ไท่สามรู้สึกใกับปฏิกิริยาของนาง จึงตบก้นน้อยๆ ของบุตรสาวอย่างเบามือไปหนึ่งที "อยู่นิ่งๆ หน่อย"
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ผ่อนคลายลง ก่อนจะยื่นมือเข้าไป "หากไว้ใจคนเฒ่าอย่างข้า ก็ส่งนางมาเถอะ ข้าไม่ได้อุ้มเด็กมานานแล้ว"
ไท่ไท่สามได้ฟังเช่นนั้นก็รีบตอบ "ย่อมไว้ใจอยู่แล้วเ้าค่ะ เพียงแต่กลัวว่านางจะไม่อยู่สุก เผลอไปชนท่านเข้า"
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "ข้ายังไม่แก่ขนาดจะถูกเด็กน้อยตัวกระจิ๋วหลิวชนล้มได้หรอกน่า"
เสี่ยวเฉียวเยว่อ้าแขนน้อยๆ โผเข้าหา ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ก็อุ้มนางไว้ ตุ๊กตาน้อยตบมือพลางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ราวกับว่าเบิกบานใจเป็พิเศษที่ได้เปลี่ยนคนอุ้ม
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่มองไท่ไท่สามแล้วเอ่ยว่า "นางเป็เด็กน่ารักจริงๆ"
พอตนเองได้รับคำชม เฉียวเยว่ก็ยิ่งตบมือแรงขึ้นจนมือแดง
ไท่ไท่สามรู้สึกทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว เ้าเด็กน้อยคนนี้ทำไมถึงได้อวดเก่งนักนะ!
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่หัวเราะขบขันกับท่าทางของนาง "นางชื่อว่าอะไร"
ไท่ไท่สามตอบทันที "เฉียวเยว่เ้าค่ะ ซูเฉียวเยว่ ชื่อนี้ซานหลางเป็คนตั้ง บอกว่าปรารถนาให้นางได้รับการทะนุถนอมดูแลอย่างดีชั่วชีวิตเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่เอ่ยว่า "ซานหลางเ้าเด็กคนนี้ คนธรรมดาไม่อาจเทียบได้จริงๆ"
ไม่ว่าคนมากมายจะแสวงหาชื่อเสียงลาภยศและผลประโยชน์อย่างไร แต่ซูซานหลางกลับวางตัวบริสุทธิ์สูงส่งไม่ทำตัวให้มัวหมอง แล้วใครจะพูดได้เล่าว่าการที่เขาปกป้องภรรยาและบุตรเช่นนี้ไม่ถูกต้อง
สามีและบุตรชายของนางอุทิศชีวิตเพื่อแว่นแคว้น แต่ใครจะรู้ความขื่นขมในหัวใจของนาง
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่เขย่าเสี่ยวเฉียวเยว่ พลางฮัมเสียงฮึมๆ แล้วเอ่ยว่า "เสี่ยวเฉียวเยว่ต้องจำความหมายของชื่อที่บิดาเ้าตั้งให้ให้ดีนะ"
นางถอดกำไลหยกจากข้อมือออกมา แล้วเอ่ยถาม "เสี่ยวเฉียวเยว่ชอบหรือไม่?"
เสี่ยวเฉียวเยว่... น้ำลายไหลยืดออกมา
ดูก็รู้ว่าเนื้องามมาก
ชอบ!
นางมองไม่ละสายตา
ไท่ไท่สามเห็นนางเป็เช่นนี้ ก็อยากเอามือปิดหน้าตนเองเหลือเกิน อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ไท่ไท่คนอื่นๆ เห็นไท่ไท่สามมีท่าทางเช่นนี้ จึงหันไปมองทารกน้อยที่กำลังจ้องกำไลหยกตาแป๋วน้ำลายหก จากนั้นต่างก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาป้องปากหัวเราะ
ทุกคนต่างดีรู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาซูซานหลางไม่เคยคุยเื่เงินทอง เพราะเขารู้สึกว่าของนอกกายเหล่านี้เป็สิ่งที่ไร้รสนิยม แต่ใครจะคิดเล่าว่าบุตรสาวตัวน้อยของเขาจะน้ำลายไหลเมื่อเห็นกำไลหยก
ไท่ไท่ใบหน้ากลมเกลี้ยงคนหนึ่งยิ้มพลางเอ่ยว่า "ภรรยาของเหล่าซาน ปรกติบ้านของเ้าขาดแคลนของเล็กน้อยเหล่านี้นักหรือ ดูสิเด็กน้อยมองจนน่าสงสารแล้ว"
คำกล่าวนี้หาได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด เพียงแค่แฝงแววหยอกล้อเล่นเท่านั้น
แต่ไหนแต่ไรมาไท่ไท่สามไม่เคยทำตัวโอ้อวดชิงดีชิงเด่นกับใคร จึงเป็ที่ชมชอบของเหล่าไท่ไท่ในเมืองหลวง
ส่วนอีกคนซึ่งดูเป็คนโผงผางหน่อยเอ่ยขึ้นมาตรงๆ ว่า "ข้าว่า ควรไปตามซูซานหลางมาดูเสียหน่อย เมื่อก่อนเขาชอบพูดว่าบุตรชายของข้าหยาบกระด้างไร้รสนิยม แล้วดูบุตรสาวตัวน้อยของเขาสิ"
พูดมาถึงตรงนี้นางก็หัวเราะ ทั้งยังลากหางเสียงยาวพูดแดกดัน "บุตรสาวของเขาไม่ไร้รสนิยมสักนิดเล้ยยยยย..."
"คนผู้นี้ชอบไปล่วงเกินผู้อื่นข้างนอกอยู่เรื่อย เห็นทีกลับไปข้าต้องไปฟ้องท่านแม่เสียแล้ว" ไท่ไท่สามเอ่ย
ไท่ไท่ผู้นั้นยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม "ที่แท้สามีก็ไม่สำคัญเท่าบุตรสาวหรอกหรือนี่"
บัดนี้ฮูหยินผู้เฒ่าิ่สวมกำไลหยกใส่ข้อมือของเสี่ยวเฉียวเยว่แล้ว
แม้ว่าเด็กน้อยจะอวบอ้วน ก็ยังไม่สามารถสวมกำไลของผู้ใหญ่ได้ แต่นางกลับประคองมือน้อยๆ ข้างนั้นอย่างระมัดระวัง แล้วมองอย่างอิ่มเอมใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่เห็นนางชอบเพียงนี้ ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า "ดูดู๊ เ้าตัวน้อยช่างรู้ความยิ่งนัก"
เสี่ยวเฉียวเยว่มองฮูหยินผู้เฒ่าิ่เพียงแวบเดียวก็รู้สึกว่าไม่ใช่คนธรรมดา ดูจากสิ่งของบนตัวนาง มีชิ้นไหนบ้างที่ไม่หรูหราราคาแพง แม้ว่าครอบครัวของพวกเขาจะร่ำรวย แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ของสตรีในครอบครัวของพวกเขาเทียบกับฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ไม่ได้จริงๆ
จะด้วยเหตุใดก็สุดรู้ เมื่อเห็นชุดที่อยู่บนตัวของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็รู้สึกอยากมองจนตาแทบเป็ตะคริว
แต่เสี่ยวเฉียวเยว่หารู้ไม่ว่า แพรพรรณบางอย่างใช่ว่าทุกคนจะสามารถสวมใส่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าหมินไม่เพียงเป็ภรรยาหม้ายของแม่ทัพผู้เฒ่าิ่ มารดาของแม่ทัพิ่ แต่นางยังเป็องค์หญิงแห่งราชวงศ์ พระปิตุจฉาของฮ่องเต้ด้วย
ระดับของนางย่อมแตกต่าง
"ยา อี๋ยา โอ้!" เสี่ยวเฉียวเยว่เริ่มยุกยิกอยู่ไม่สุข
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ไม่เข้าใจท่าทีของนาง "นี่เป็อะไรไปล่ะ?"
เสี่ยวเฉียวเยว่ยืดเอว อยากให้อีกฝ่ายอุ้มขึ้นแบบตั้งตรง จึงทำท่าพับตัวขึ้นอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้าใจความหมาย
นางอุ้มเสี่ยวเฉียวเยว่ขึ้นมา เด็กน้อยก็ฉวยโอกาสตอนนั้นจูบแก้มของนางดัง "ม้วบ"
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่พลันตกตะลึง
...
[1] ตบสะโพกม้า หมายถึงการพูดประจบสอพลอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้