“โจวเฉิง จะให้เธอลงมือทำได้อย่างไรกัน?”
หลิวเฟินรู้สึกร้อนรนจริงๆ
งานอย่างการทำอาหารนี้ มีผู้ชายลงมือทำเองที่ไหนกัน? ในภาพจำของหลิวเฟิน งานในห้องครัวเป็หน้าที่ของผู้หญิงทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเธอเหยียดหยามตนเอง แต่เป็ทัศนคติอันแสนคร่ำครึมาตลอดหลายปีที่แก้ไม่หาย อีกอย่างโจวเฉิงคือแขกน่ะสิ จากปักกิ่งถึงซางตูยาวไกลขนาดนั้น กว่าคนเขาจะมาได้ทั้งที จะให้โจวเฉิงทำอาหารได้อย่างไรเล่า?
หลิวเฟินไม่ได้คิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานควรจะทำอาหารแทน เพียงแต่ถ้าเธอรู้ว่าโจวเฉิงจะมาก่อนหน้านี้ เธอจะกลับจากร้านให้เร็วหน่อยเพื่อทำอาหาร
ตัวโจวเฉิงกลับคิดว่าไม่เสียหายอะไร “น้าหลิว ผมแค่นวดแป้ง ผมมีแรงนะครับ”
เซี่ยเสี่ยวหลานงงงวย ใครทำอาหารอร่อยคนนั้นก็ทำสิ โจวเฉิงยินดีช่วย เนื่องจากเขามีกำลังเพียงพอ เื่นี้ยังมีอะไรให้ต้องถกเถียงกันอีก ถ้าทุกคนล้วนไม่ยินดีจะทำ เช่นนั้นก็จ้างคนหรือออกไปรับประทานนอกบ้าน ดังนั้นการที่โจวเฉิงตั้งใจทำอาหารด้วยความเต็มใจ ตัวเธอนั้นย่อมรู้สึกดี แต่ไม่ถึงขั้นเคารพยำเกรง
สองแม่ลูกมีช่องว่างระหว่างวัย
อีก 30 ปีผ่านไป ผู้ชายในครอบครัวขนาดเล็กที่ทำอาหารและงานบ้านมีอยู่ถมเถ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่านี่เป็เื่ปกติมาก ทว่าหลิวเฟินกลับตื่นตูมใหญ่โต เธอยังอยากพูดอะไรต่ออีกสักหน่อย แต่ย่าอวี๋ก็ขัดเธอขึ้นเสียก่อน
“เธอนั่งลงกินก็หมดเื่แล้ว”
แสร้งขัดสองสามทีก็พอแล้วไม่ใช่หรือ อย่างไรเสียก็ได้แสดงความห่วงใยแล้ว หากพูดมากเกินไปโจวเฉิงคงรู้สึกไม่สบายใจแน่ อีกทั้งเมื่อครู่ย่าอวี๋ยังพูดด้วยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เอ็นดูโจวเฉิง ไม่ชวนเ้าตัวอยู่รับประทานอาหาร ยามเวลาคับขันเช่นนี้จึงทราบว่าใจของหญิงชราเอนเอียงไปทางไหน
ทั้งสี่คนนั่งลงรับประทานอาหาร อาหารหลักคือซาลาเปาและโจ๊กข้าวฟ่าง กับข้าวเคียงคือไชเท้าฝอยคลุก เนื้อแพะผัดต้นหอม ยังมีผัดถั่วงอก และกะหล่ำปลีผัดเห็ดหูหนู กับข้าวได้รับการปรุงโดยเซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิง เป็เพราะในบ้านไม่มีตู้เย็น อีกทั้งอากาศตอนนี้เย็นไม่เท่าฤดูหนาว ไม่ว่าใครก็ไม่เก็บวัตถุดิบอาหารจำนวนมากไว้ในบ้านได้ นอกจากพวกมันฝรั่งหรือหัวหอม ผักชนิดอื่นล้วนซื้อแล้วต้องรับประทานทันที
โจวเฉิงเพิ่งมาถึงเมื่อตอนบ่าย กลับมาจากซางต้าเป็เวลาหกโมงกว่าแล้ว อยากไปซื้อของสดอะไรเพิ่มอีกก็ไม่มี
ปัจจุบันยังไม่มีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่เปิดถึงสามทุ่มครึ่งด้วยซ้ำ จะมีเนื้อสัตว์สักอย่างได้ ก็คงมีแต่เนื้อแพะที่หลิวเฟินไปซื้อกลับมาในตอนเช้า ทว่าโจวเฉิงไม่เลือกกิน อาหารพวกนี้ดีมากแล้ว ขณะทำซาลาเปาย่าอวี๋ถามเขาว่าอยากกินไส้อะไร ไส้คาวหรือไส้หวาน เซี่ยเสี่ยวหลานจึงบอกว่าให้ทำไส้หวานสองลูก
ตอนนี้โจวเฉิงกำลังเพลิดเพลินกับซาลาเปางาดำน้ำตาลทราย มีความสุขจนอยากฮัมเพลงออกมา
เขาเป็คนโปรดปรานของหวานแท้ๆ ทว่าปกติกลัวโดนคนอื่นหัวเราะ บวกกับโอกาสได้รับประทานของหวานในหน่วยงานค่อนข้างน้อยจึงยากนักที่เขาจะได้รับประทานของหวานเช่นนี้ เมื่อน้ำตาลทรายละลายในปาก เม็ดงาคงกลิ่นหอมแม้กลืนลงท้องแล้ว โจวเฉิงรู้สึกชื่นชอบยิ่งนัก
พอเห็นเขารับประทานด้วยความเบิกบานจริงๆ หลิวเฟินก็ไม่ประหม่าขนาดนั้นอีกต่อไป
จู่ๆ โจวเฉิงก็ปรากฏตัวในซางตูเวลานี้ นั่นจะเพื่ออะไรได้เล่า ย่อมเป็เพราะเื่ของฝานเจิ้นชวนแน่นอน! หลิวเฟินประหม่าอะไรน่ะหรือ เธอกลัวว่าโจวเฉิงจะไม่พอใจเสี่ยวหลาน ตอนทั้งสองรับประทานอาหารดูรักใคร่กลมเกลียวกันดี โจวเฉิงวุ่นกับการคีบอาหาร หลิวเฟินคิดในใจ นี่คงไม่มีทัศนคติด้านลบต่อเซี่ยเสี่ยวหลานสินะ?
ในฐานะมารดาก็ต้องพะวงแทนลูกสาวมิใช่หรือไร เมื่อเห็นท่าทีของโจวเฉิงหลิวเฟินจึงอารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว
เื่ฝานเจิ้นชวนคือความยุ่งยากขนานใหญ่ ถ้าโจวเฉิงทะเลาะกับเซี่ยเสี่ยวหลานเสียก่อน ชีวิตจะเป็ขุมนรกอันสุดแสนทุกข์ทรมานแน่นอน
พอทั้งสี่คนรับประทานอาหารเสร็จสิ้น โจวเฉิงก็รู้สึกผิดเหลือเกิน “น้าหลิว ผมรีบร้อนมา ไม่ได้นำอะไรจากเมืองหลวงติดมาให้คุณน้าด้วย...”
นี่มิใช่มารยาทของโจวเฉิง
มือเปล่ามาเยือนบ้านว่าที่แม่ภรรยา? เ้าคนทึ่มคังเหว่ยนั่นยังทำเื่แบบนี้ไม่ได้เลย แต่การกระทำนี้กลับตกอยู่กับโจวเฉิงเสียได้ เขารีบร้อนนี่นา ลางานในคืนวันที่ทราบเื่ทันที เช้าตรู่ก็ไปขึ้นรถที่สถานีรถไฟ ถึงซางตูเวลา 4 โมง อันดับแรกมาเสียเที่ยวที่บ้านย่าอวี๋ จากนั้นไปห้องสมุดซางต้าเพื่อตามหาคนรักโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย ทำไมตอนนั้นโจวเฉิงถึงไม่รีบเร่งเข้าไปตามหาเธอน่ะหรือ นั่นเป็เพราะเขาเห็นการลงทะเบียนเข้าออกบริเวณหน้าประตู มีบันทึกการเข้าไปของ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ ทว่ายังไม่ออกมานี่นา
จนกระทั่งได้พบเซี่ยเสี่ยวหลาน ทั้งสองคนแสดงความรักแก่กันตลอดทางที่กลับมา โจวเฉิงจึงไม่ได้คิดว่าจะซื้ออะไรมาเป็ของฝาก
ความคิดจิตใจทั้งหมดอยู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว ไม่อาจสนใจสิ่งอื่นได้
หลิวเฟินไม่ใช่คนประเภทจู้จี้จุกจิก ตอนตรุษจีนโจวเฉิงส่งของมาตั้งมากมาย ของขวัญหมั้นหมายของคนทั่วไปยังไม่มากขนาดนั้นด้วยซ้ำ โจวเฉิงไม่ตระหนี่แม้แต่นิดเดียว หลิวเฟินส่ายศีรษะไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เธอมาก็ดีแล้วล่ะจ้ะ จะให้เธอจ่ายเงินตลอดได้ที่ไหน เธออยู่หน่วยงานก็ลำบากยากเย็นอยู่แล้ว อีกหน่อยไม่ต้องซื้อของเยอะแยะหรอกจ้ะ”
ซื้อให้เสี่ยวหลานนั้นไม่เป็ไร นี่ยังซื้อข้าวของสำหรับทั้งครอบครัวให้ครบถ้วนอีกด้วย เงินเดือนเท่าไรก็ใช้ไม่พอหรอก!
แม้หน่วยงานโจวเฉิงรับผิดชอบค่ากินอยู่ให้ หลิวเฟินทายว่าเงินเดือนคงไม่สูงมากนัก เธออาศัยในเมืองมาสองสามเดือน ประสบการณ์ความรู้เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนไม่น้อย ยกตัวอย่างลูกค้าประจำที่มาซื้อเสื้อผ้าในร้านเ่าั้ วันดีคืนดีก็จะสนทนาเล่นกันบ้าง เล่าเื่ต่างๆ นานาบ้าง ว่าเดือนนี้ใครได้เงินเดือนเท่าไร คนที่บ้านเข้าทำงานมาก ไม่ขาดเงินส่วนนี้สำหรับเธอ จึงใช้มาซื้อเสื้อผ้าทั้งหมด
ไม่ว่าทำงานอะไร ล้วนต้องว่ากันด้วยเื่ความาุโ เงินเดือนต้องแบ่งตามลำดับขั้นเช่นกัน
คิดๆ ดูแล้วหน่วยงานของโจวเฉิงก็คงเช่นกัน เงินเดือนของคนทั่วไปกับคนเป็ข้าราชการย่อมแตกต่างกันแน่นอน ประสบการณ์ทำงานมากน้อยก็ไม่เหมือนกัน โจวเฉิงหนุ่มแน่นแบบนี้ เขาทำงานอย่างไร รับเงินเดือนได้เท่าไรกันนะ?
หลิวเฟินเป็คนซื่อ โจวเฉิงหน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งเคยช่วยชีวิตหลิวหย่ง ชายหนุ่มมีอะไรให้รังเกียจรังงอนกัน อย่างไรเขาก็ทำอาชีพที่น่าเคารพนับถืออยู่ดี
หรือว่าเธอยังรังเกียจที่เงินเดือนของโจวเฉิงน้อยได้อีกหรือ!
การแต่งงานไม่สนเงื่อนไขเสียหน่อย เงื่อนไขด้านสินทรัพย์สามารถพยายามได้ การแต่งงานผิดคนต่างหากที่ทำให้สิ่งใดๆ ล้วนผิดเพี้ยนไปเสียหมด ไม่พูดถึงไม่ได้เลย หลิวเฟินมีแิบางอย่างที่คร่ำครึมาก กระนั้นบางแิก็เรียบง่ายสมถะและมีความสูงส่ง
ทุกวันนี้เธอคือคนรับเงินเดือนกิน นอกจากรับเงินเดือนของร้าน เซี่ยเสี่ยวหลานยังให้ค่าครองชีพอีกด้วย สำหรับหลิวเฟินเงินพวกนี้ใช้ได้ไม่หมดไม่สิ้น โจวเฉิงจะไปพักบ้านพักรับรอง หลิวเฟินเลยแอบใส่เงินในกระเป๋าของโจวเฉิง
พอออกจากประตูบ้านย่าอวี๋ โจวเฉิงควักเงินในกระเป๋าออกมา ต้าถวนเจี๋ยสิบกว่าใบเชียวนะ
“เสี่ยวหลาน เงินนี่ฉันรับไว้แล้วนะ”
เขาเก็บเงินอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย ทำไมเขาจะไม่รับกันเล่า คุณแม่ของภรรยามอบให้ทั้งที มีความหมายพิเศษใช่ไหมเล่า โจวเฉิงคิดว่าเขาอยากอวดโอ้กับใครสักหน่อย ลูกเขยบ้านไหนไม่กตัญญูเอาใจแม่ภรรยาบ้าง เคยพบเคยเจอแม่ภรรยาอุดหนุนเงินให้ลูกเขยหรือไม่?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้จะพูดอะไรเลย แค่เงิน 100 กว่าหยวน สีหน้าของโจวเฉิงราวกับได้รับหนึ่งล้าน! อยากดีใจก็ดีใจไปเถอะ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ขัดคอโจวเฉิง เธอเพียงแต่รู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย
“แม่ฉันชอบเธอเสียจริงนะ”
โปรดปรานจริงน่ะสิ มิเช่นนั้นจะรั้งเขาไว้รวมถึงกำชับเขาหนักหนาว่าอย่าใช้จ่ายเงินมากขนาดนั้นได้อย่างไร
แถมพูดว่าชีวิตในหน่วยงานโจวเฉิงลำบาก ให้เขาเก็บเงินพิเศษไว้จับจ่ายซื้ออาหารเองบ้าง เป็มารดาเหมือนกัน ทว่านิสัยกลับต่างกันนัก โจวเฉิงตัดสินใจจะรีบจัดการเกี่ยวกับกวนฮุ่ยเอ๋อผู้เป็มารดา หลิวเฟินปกป้องเขาขนาดนี้ หากเซี่ยเสี่ยวหลานไปเยือนบ้านโจวแล้วถูกมารดาเขาปฏิบัติอย่างเ็า กระทั่งโจวเฉิงยังทนไม่ไหวด้วยซ้ำ
โจวเฉิงหาบ้านพักไว้เรียบร้อย จากนั้นก็ส่งเซี่ยเสี่ยวหลานกลับอีกที ณ หน้าประตูบ้านย่าอวี๋ เขาไม่ได้แสดงกิริยารุ่มร่ามเกินสมควร แค่จุมพิตหน้าผากของเซี่ยเสี่ยวหลานเบาๆ เท่านั้น
“เธอรีบพักผ่อนล่ะ พรุ่งนี้จะไปห้องสมุดอีกไหม ตอนเช้าฉันมารับเธอดีหรือไม่?”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้าตอบรับ
เธอครุ่นคิดสักพัก และเขย่งปลายเท้าเพื่อจูบมุมปากของโจวเฉิง
“โจวเฉิง ฉันรู้ว่าลักษณะงานของเธอมันพิเศษ เวลาส่วนใหญ่ไม่มีหนทางพบหน้ากันตามปกติ แต่คราวนี้เธอรีบมาอย่างเร็วที่สุดได้ ฉันดีใจมากจริงๆ ”
เธอััได้ถึงน้ำหนักของตนเองในหัวใจของโจวเฉิงมากขึ้นเรื่อยๆ
มันหนักอึ้ง มันกดดันเซี่ยเสี่ยวหลาน และทำให้เธอซาบซึ้งไม่แพ้กัน
เื่นี้ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานเชื่อมั่น ความชอบที่เธอมีต่อโจวเฉิงเมื่อแรกเริ่มอาจน้อยกว่านิดหน่อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโจวเฉิงดีไม่พอ โจวเฉิงนั้นแสนดียิ่งกว่าใคร เพียงแต่เป็เธอเองที่เฉื่อยชากว่า เข้าสู่สถานะจริงจังค่อนข้างช้า
ไม่ช้าก็เร็วจะตามทันแน่
โจวเฉิงเห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยประกายของเธอ หัวใจเขาเต้นแรงจัดอย่างควบคุมไม่ได้ กระแทกจนรู้สึกชาไปทั้งอกแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้