Chapter 24
Maybe we’re walking through the wrong way
อากาศเย็นเฉียบและความเงียบเชียบลอยฟุ้งปกคลุมอยู่ทั่วห้องคับแคบในมุมหนึ่งของแผนกคดีฆาตกรรม กระจกบานใหญ่ส่องสะท้อนร่างสูงบนเก้าอี้ที่ในตอนนี้ปิดปากเงียบเชียบหลังโวยวายมาพักใหญ่ั้แ่กุมตัวมาที่นี่ เป็แมททิวที่ขอร้องให้อเล็กซ์หุบปากสักทีเพราะเขารำคาญใจเหลือหลาย
ไม่ใช่เพียงแค่ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องเพียงคนเดียว คริสเองก็กำลังนั่งประจันหน้ากับเขาคนละฟากโต๊ะ กระจกบานั์ที่อีกฝากทำหน้าที่เป็หน้าต่างใส เดวิดและแมททิวกอดอกยืนมองท่าทางและใบหน้าของอเล็กซ์อยู่ เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา ทว่าท่าทางดูผ่อนคลายมากกว่าตอนอยู่ที่บ้านเป็ไหนๆ
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตอนที่เดวิดเอ่ยขอความร่วมมือ ไม่สิ ถ้าเรียกแบบภาษาตามนิสัยของนายตำรวจผิวแทนล่ะก็ คงต้องบอกว่าขอจับกุมกลายๆมากกว่า แต่กระนั้นก็ยังต้องขอให้หมอนั่นมาให้ปากคำเพิ่มเติม แน่นอนว่าเ้าของบ้านตาเหลือกเบิกโพลง สายตาส่ายไปมาส่อพิรุธอย่างหนักจนทีมสามที่นั่งอยู่ในบ้านสังเกตเห็นได้
“ผม ทำไม ทำไมถึงเป็ผม แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วย คุณอย่ามากล่าวหาผมมั่วๆนะ”
และหลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยหยุดโวยวายอีกเลยจนกระทั่งมาถึงที่นี่ เดวิดปล่อยให้คริสเป็คนสอบปากคำ ส่วนเขาและแมททิวขอสังเกตท่าทางของคนตัวสูงเองจะดีกว่า
“คุณรู้ดีว่าการพูดความจริงจะช่วยเราทั้งหมดได้ แล้วทำไมคุณถึงยังเอาแต่ปฏิเสธ” คริสโน้มตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น มองจ้องดวงตาคมของผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในตอนนี้
เดวิดและแมททิวหันมองหน้ากันอัตโนมัติ เอียงคอสงสัยด้วยความงงงวย ท่าทีของอเล็กซ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขายกมือขึ้นกอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้และเริ่มสบตาคริสกลับอย่างเรียบเฉย
“ขอกาแฟผมสักแก้วจะได้มั้ย” เขาเอ่ยในขณะที่ยังจ้องตาคริสดังเดิม นายตำรวจหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเองก็เกิดความฉงนในใจไม่แพ้กัน
“ดะ ได้ รอพักหนึ่งก็แล้วกัน” ลุกขึ้นยืนและผลักประตูออกไป ทิ้งไว้เพียงแต่ร่างสูงที่อากัปกิริยาแปรเปลี่ยนไป และดูเหมือนว่าความดำมืดที่ซุกซ่อนและพยายามกดมันเอาไว้จะเผยตัวออกมาแล้ว
ในที่สุดพวกเขาก็รู้กันแล้วสินะ
ความอัปยศอดสูที่ฉันได้ทำมันลงไป
ความผิดบาปที่ฉันกระทำต่อดวงใจอันเป็ที่รัก
อันย่า
แต่ฉันไม่ผิดที่ปล่อยมันออกมาให้เพ่นพ่าน
ฉันไม่ผิดเลย สิ่งที่ฉันทำลงไป
เพราะเธอเป็คนบังคับให้ฉันทำแบบนี้เอง ที่รัก
ฉันคงต้องบอกกับเขาทุกอย่าง
ทุกอย่างที่ฉันพลั้งมือทำกับเธอลงไป
และทุกอย่างที่ฉันส่งมันไปหาเธอ
ไอ้หัวขโมยนั่น
พี่ขอโทษอันย่า ขอโทษที่ทำกับเธอแบบนั้น
แต่มันคงสายไปแล้วสินะ
สายไปแล้วจริงๆ
“จะเปิดปากพูดได้หรือยัง หรือนายอยากจะดื่มกาแฟอีกสักห้าแก้ม บุหรี่อีกสักสิบมวน” คริสกวนประสาทเ้าของควันขาวเทาที่ลอยเคว้งอยู่ในห้องห้องเดิม เดวิดและแมททิวยังคงจับจ้องอาการของอเล็กซ์ตามเดิม นายตำรวจทั้งสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้และกอดอกเอนหลังมองตาไม่กะพริบ
“คุณนี่ใจร้อนจัง” มันพูดจบพร้อมควันมะเร็งพวยพุ่งออกจากปาก สายตาและท่าทางดูผ่อนคลายแถมใจเย็นจนคริสเองไม่อาจเดาใจออก
“พ่อแม่ผมตายั้แ่ผมได้แค่สิบขวบ ส่วนอันย่าแค่หก เราไม่มีญาติคนอื่นเพราะทั้งพ่อและแม่อพยพกันมาจากที่อื่น ไม่รู้หรอกว่าประเทศไหน ผมรู้แค่เรามีกันสี่คนจนกระทั่งคืนหนึ่งที่เขาออกไปดินเนอร์กัน และไม่กลับมาอีกเลยจนทุกวันนี้”
อเล็กซ์พักหายใจครู่หนึ่งและอัดควันพิษเข้าปอดเฮือกใหญ่ แววตาของเขาที่คริสรวมถึงเดวิดและแมททิวกำลังมองอยู่ในตอนนี้นั้น มันช่างเศร้าสร้อยเหลือเกิน มันเหมือนกับว่าเขากำลังเย้ยหยันและสมเพชในชะตากรรมชีวิตตัวเองอยู่ไม่น้อย
“จากนั้นผมก็เหมือนกับว่า ไม่สิ ไม่เหมือนหรอก มันเป็แบบนั้นนั่นแหละ ผมไม่ได้เรียนต่อ ต้องลาออกจากโรงเรียน ลาออกจากชมรมบาสที่ผมชอบมาก แต่ทำยังไงได้เพราะผมไม่ได้มีเงิน พวกเขาไม่ได้มีเงินเก็บมากพอจะเหลือไว้ให้ในวันที่เขาไม่อยู่กันแล้ว ผมก็เลยต้องทำงานอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนเก็บหอมรอมริบคิดว่าคงต้องส่งอันย่าเรียน ไม่ได้อยากจะให้เขามามีชีวิตแสนลำบากแบบผม”
“ในที่สุดก็มีงานประจำที่จ่ายค่าเช่าบ้านได้ ผมดีใจมากเพราะนั่นแปลว่าเราจะไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องที่แทบจะแค่หันหลังกลับก็ถึงประตู ผมพาอันย่าย้ายไปอยู่ในบ้านในไม่นาน น้องก็บอกกับผมว่ากำลังคบกับคนคนหนึ่งอยู่ หมอนั่นนั่นแหละ ไอ้จัสติน”
“แต่เพราะผมรักอันย่ามาก น้องเป็เพียงสิ่งเดียวที่พ่อกับแม่เหลือไว้ให้ ใจจริงผมไม่อยากให้หล่อนมีใครหรอกเพราะยังเด็กเหลือเกินในตอนนั้น แต่ถ้ามันเป็ความสุขของน้องผมก็ยอมได้ ขอแค่ให้ทั้งสองคนยังอยู่ในสายตาที่ผมพอจะสบายใจได้”
เขาหยุดพูดประจวบเหมาะกับบุหรี่ในมือเริ่มมอดลง เขาปักขยี้มันลงกับที่เขี่ย ก่อนจะล้วงเอามวนใหม่จากซองขึ้นจุดต่อทันที ดูท่าเขาคงจะอัดอั้นอย่างเหลือคณา คริสเองก็กอดอกรับฟังเขาทุกประโยค และนายตำรวจสองนายหลังบานกระจกกั้นเองก็ไม่ต่าง
“โทษทีคงเปลืองบุหรี่คุณแย่ แต่ขอหน่อยเถอะนะ นั่นแหละ เริ่มแรกระหว่างมันกับอันย่าก็ยังถือว่าไม่น่าห่วงเท่าไหร่ ไปไหนมาไหนกันก็คอยบอกผม ที่จริงผมเองไม่ได้อยากจะทำตัวเป็พี่ชายขี้หวงน่ารำคาญแบบนั้นหรอก แต่เพราะผมมีน้องแค่คนเดียว ผมจึงห่วงจนในที่สุดความห่วงของผมมันคงทำให้เขาอึดอัด”
“เราทะเลาะกันในคืนหนึ่งที่อันย่ากลับบ้านผิดเวลา ผมเองก็โทรหาหลายสิบสายก็ไม่รับ พอกลับมาเท่านั้นแหละเราก็มีปากเสียงกัน เธอว่าอายุยี่สิบกว่าแล้ว ทำไมผมต้องเอาแต่บังคับ ทำไมถึงไม่ได้มีชีวิตเป็ของตัวเองสักที ชีวิตของอันย่าไม่ใช่ของผมนะ และหลายอย่างที่มันทิ่มแทงใจผมเหลือเกินจนแทบไม่อาจทนฟังได้ และประโยคหนึ่งที่หลุดออกมาก็ทำเอาผมแทบใจสลาย”
“อันย่าบอกว่าเธอหวัง ทำไมกันนะ เธอหรือผม ทำไมคนใดคนหนึ่งไม่ตายไปพร้อมพ่อและแม่ ทำไมเราสองคนถึงยังอยู่ ถ้าหากเธอหรือผมตายไป เราทั้งสองคนจะได้มีชีวิตเป็ของตัวเอง ไม่ต้องคอยมาผูกกันแบบนี้ ผมเองก็พูดอะไรไม่ออก ไม่รู้เลยว่าควรจะพูดอะไรออกมา ผมนิ่ง และนั่นเป็วันสุดท้ายที่เราพูดกัน จากนั้นเธอไม่เคยพูดกับผมอีกเลย กระทั่งวันหนึ่ง”
“เธอกลับบ้านมาแต่หัววัน ไม่พูดอะไรสักคำแต่หายขึ้นไปบนห้องนอนอยู่นาน เสียงเดินไปเดินมาจนฟ้ามืด ผมนั่งอยู่หน้าทีวีแล้วก็ฟังจนนอนหลับไป แต่จู่ๆเสียงกุกกักก็ปลุกผมตื่นขึ้นมา ผมลืมตามองเห็นว่าอันย่ากำลังจะเปิดประตูออกไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ผมร้องเรียก เธอดูใมากที่ผมตื่นมาเจอ”
“ผมถามว่าจะไปไหน เธอไม่ตอบทำท่าจะเดินออกไป ผมรีบลุกขึ้นมาจากโซฟา คิดในใจว่าอย่าให้เป็แบบที่คิดเลย เพราะถ้าเป็แบบนั้นผมคงรับไม่ไหวแน่ และมันก็เป็แบบนั้นจริงๆ เธอจะย้ายไปอยู่กับมัน และอีกไม่นานมันก็กำลังจะมารับหน้าบ้าน ตอนนั้นสติของผมตีกันระเนระนาด ผมไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไงน้องถึงจะไม่ไป แต่ดูเหมือนว่าสายตาของอันย่าช่างว่างเปล่าเสียเหลือเกิน”
“เรายื้อยุดกันอยู่พักหนึ่ง จนอันย่ายอมปิดประตูและหันมาสะสางปัญหากับผมให้ชัดเจน คำพูดของน้องยังคงถากถางผมเช่นเดิม แต่คราวนี้ผมไม่ได้ปล่อยให้โทสะมันเย็นลงหรือควบคุมมันได้เช่นเดิม ผมปล่อยให้บางอย่างที่ซุกซ่อนในจิตใจมันมีบทบาทอย่างทันที นั่นแหละ ผมทำแบบนั้น แบบที่คุณเองก็คงรู้ว่าผมทำมันลงไป”
“มันบอกว่าตลอดเวลาที่อยู่กับผมมา ไม่มีวินาทีไหนในชีวิตที่มันรู้สึกว่าชีวิตมันเป็ของมัน มันบอกว่าผมกุมมันเอาไว้ มันอยากจะมีชีวิตของมัน และมันไม่เคยขอให้ผมมาส่งเสียจนมันปีกกล้าขาแข็งออกไป มันไม่เคยขอ ทั้งๆที่ผมแทบจะอุทิศทุกลมหายใจให้มันเพียงคนเดียว ทำไมผมจึงไม่ได้เป็คนที่อยู่กับมันไปจนวันตาย ทำไมถึงเป็ไอ้เหลือขอนั่น ผมเฝ้าถามอันย่าจนกระทั่งเธอไม่อาจตอบผมอีกต่อไป”
อเล็กซ์เพียงกระตุกยิ้มมุมปาก ควันขาวเทายังคงลอยเคว้งในขณะที่คนฟังทั้งสามเองทำได้เพียงกลืนน้ำลายลงคอแค่เท่านั้น เอ่ยคำได้ไม่ออกนอกจากนี่มันคือโศกนาฏกรรมชัดๆ ทว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันคือการฆาตกรรมเช่นกัน เราไม่อาจพยายามทำให้ความผิดของอเล็กซ์กลายเป็ศูนย์ได้เพียงเพราะเขาพลั้งมือ ไม่อาจอ้างได้ว่ามันคือโทสะหากมันนำมาซึ่งหยดเืและการพรากลมหายใจ
“แล้วเธอไม่ขัดขืนเลยหรอ เพราะเทียบจากศพอื่น แทบไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลยสักนิด” คริสเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้ว ทว่าคนมือเปื้อนเืตรงข้ามกลับขมวดคิ้วเข้าหากันหนักกว่าจนแทบผูกเป็โบว์
“คุณพูดถึงจัสตินหรอ”
“จัสตินก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกห้าหกศพที่ผ่านมาล่ะ นาย…”
“นี่คุณกำลังพูดเื่อะไรน่ะ คุณเข้าใจว่าผมทำจริงๆหรอพวกศพที่เหลือนั่น ผมบอกไปแล้วไงว่าแค่บังเอิญได้ยินมาจากแซม ผมเลยทำทีจะป้ายความผิดให้ไอ้โรคจิตนั่น มันไม่ใช่ผม ผมฆ่าแค่จัสตินและอันย่าน้องสาวผมเท่านั้น”
เขาะโเถียงจนคอเป็เอ็น ดูท่าจากที่สงบเงียบเมื่อกี้จะเปลี่ยนเป็กรุ่นไปด้วยโทสะแล้วเรียบร้อย อเล็กซ์ขยี้ก้นบุหรี่ลงบนที่เขี่ยอย่ารุนแรง ตบโต๊ะดังฉาด แมททิวทำท่าจะลุกขึ้นไปยังห้องข้างๆ ทว่าเดวิดยกแขนเป็เชิงห้ามไว้ สถานการณ์แค่นี้ยังไงคริสก็เอาอยู่
“อเล็กซ์ ไหนๆนายก็พูดความจริงออกมาขนาดนี้แล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกหกอีก”
“เฮ้นี่คุณจะบ้าหรือยังไง ก็เพราะว่าผมสารภาพจนหมดเปลือกขนาดนี้แล้วไง มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องโกหก ผมไม่ได้ทำ ผมฆ่าแค่ไอ้ตัวผู้กับอีตัวเมียสองคนนั่นแค่นั้น”
เสียงะโก้องพร้อมใบหน้าที่แดงก่ำ เดวิดและแมททิวผลักประตูเข้ามาทันทีเพราะดูท่าเขาจะคลุ้มคลั่งจนอาจหยุดไม่อยู่ ทว่าอยู่ดีๆผู้ต้องสงสัยที่อีกพักคงได้กลายเป็ผู้ต้องหาก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง หยดน้ำใสไหลรินจากดวงตาที่สั่นระริก อเล็กซ์ยกมือหนาปิดใบหน้า ร่างสูงห่อไหล่และคุกเข่าลงกับพื้น ปล่อยโฮแทบสิ้นสติ รำพึงรำพันถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ไม่ได้น่าเวทนา หากแต่เขากำลังจะเข้าสู่อาการป่วยอย่างสมบูรณ์แบบ
“อันย่า พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ”
นายตำรวจทั้งสามยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดวิดจะตัดสินใจเดินเข้าไปหิ้วปีกเขาขึ้นมาจากพื้นให้ยืนตรงดังเดิม แม้ร่างสูงที่แข็งแกร่งเมื่อครู่จะอ่อนปวกเปียกเพียงใดก็ตาม
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน เขาควรได้พักสักหน่อย มันหนักสำหรับเขามากเกินไป”
เดวิดเอ่ยเสียงเรียบ แมททิวคล้องแขนอีกข้างของอเล็กซ์ ทั้งสองหิ้วปีกเขาไปยังห้องที่รอดำเนินการต่อไปโดยมีคริสเดินตามมาติดๆ เสียงร้องไห้ของเ้าของร่างดังระงมไปทั่วทั้งชั้น แต่แท้จริงแล้วปีศาจร้ายในตัวเขามันกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างพอใจ สำเร็จลุล่วงไปแล้วที่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แม้ส่วนลึกด้านดีในใจจะรังเกียจและปัดป้องออกไปมากแค่ไหน แต่มันกลืนกินเขาไปแล้ว มันกลืนกินเขาไปจนหมดสิ้น
“ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ” แมททิวถอนหายใจและเอนหลังลงอย่างเหนื่อยอ่อน
“เขาว่ายังไง” เดวิดเอ่ยถาม
“เพื่อนเพียงคนเดียวของอเล็กซ์บอกว่าั้แ่รู้จักกันมาหลายสิบปี หมอนั่นไม่เคยเฉียดเข้าไปใกล้ป่า และอีกอย่างคือขี้หลงขี้ลืมในบางครั้ง เขาว่าถ้าหากเพื่อนเขาสารภาพว่าฆ่าอันย่ากับจัสติน นั่นพอเป็ไปได้อยู่ เพราะอเล็กซ์เคยบอกว่าแค้น อยากจะฆ่าให้ตาย แต่ถ้ามีอีกเขาคิดว่าคงเป็ไปได้ยาก หรืออาจจะเป็ไปไม่ได้เลย”
“อะไรทำให้มั่นใจขนาดนั้น”
คริสกอดอก ท่าทางยังคงขนลุกไม่หาย แม้อันที่จริงจะผ่านคดีแบบนี้มานักต่อนัก หากแต่พอเป็อเล็กซ์แล้วมันชวนขนลุกแปลกๆ เพราะเห็นหน้าหมอนั่นมานักต่อนัก ไม่คิดเลยว่าคนที่คอยเทียวไล้เทียวขื่อถามไถ่เื่ความเป็ไปของคดีน้องสาวตัวเอง จะกลายมาเป็คนที่ก่อเื่เสียเองได้อย่างลงคอ
“ฉันเองก็ไม่รู้ ดูแล้วมันก็เป็การบันดาลโทสะอย่างที่เขาเล่านั่นแหละ แต่ฉันก็ไม่พยายามทำให้มันเป็เื่ปกติหรอกนะ แต่มีบางอย่างที่ฉันเองก็อดจะสงสัยไม่ได้” แมททิวทำท่าครุ่นคิด
“อะไร”
“พูดถึงศพของอันย่าน่ะ มันโดดเด่นเื่ที่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ถูกมั้ย เหมือนกับว่านาทีสุดท้ายของชีวิต เธอเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรจะพูดแบบนั้น และมันอาจจะเป็เหตุผลที่ทำให้เธอไม่ต่อต้านอะไร” แมททิวร่ายยาว คนอื่นที่เหลือพยักหน้าพลางคิดตาม
“แต่ถ้าลองมองกลับไปที่ศพอื่นแล้ว มันไม่ใช่การบันดาลโทสะเลย รอยกรีด ร่องรอยการทรมานแต่ละอย่าง มันเหมือนกับว่ากำลังสนุกกับเหยื่อของตัวเองเหลือเกิน วิธีก็ต่างกันออกไปและดูเหมือนว่าจะพัฒนาความวิปริตขึ้นเรื่อยๆ ลองตัดอันย่าออกแล้วไล่ดูสิ พวกนายเห็นมั้ย จะเป็ไปได้หรอที่จะเปลี่ยนการฆ่าและออมมือมากกว่าศพอื่น ทั้งๆที่ทวีคูณมันมาขนาดนี้แล้ว ฉันคิดว่ามันคงหยุดไม่ได้หรอก ถ้าได้ฆ่าแล้วคงมีแต่เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น คงไม่มีหรอกที่จะลดลง จริงมั้ย”
จริงอย่างที่แมททิวว่า จากคดีที่ได้ทำด้วยตัวเองก็ตาม หรือแม้แต่ตามที่เห็นจากหน้าหนังสือพิมพ์นั้น ฆาตกรล้วนแต่มีวิธีใหม่หรือไม่ก็คงเดิมเอาไว้จนเป็รูปแบบ ต่อให้จะเป็ใคร ไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม จิตใจที่บิดเบี้ยวล้วนแล้วแต่้ารังสรรค์และหยิบยื่นความเ็ปส่งต่อให้แก่เหยื่ออย่างหมดจดอยู่แล้ว
“ฉันฝากต่อด้วยนะ ถึงเวลาแล้ว” เดวิดยกนาฬิกาข้อมือดูก่อนจะลุกยืนขึ้นกลางวงสนทนา
“เออฉันจัดการกันต่อเอง เื่นายไปถึงไหนแล้วล่ะ” คริสเอ่ยถาม ดูจากสีหน้าอันเหน็ดเหนื่อยของเดวิดที่ต้องดูถึงสองคดีแล้วก็นึกสงสารขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่รู้แฮะ แต่ก็อยากจะเจอเด็กคนนั้นไวๆเหมือนกัน ฉันเองก็หนักใจไม่แพ้พี่ชายเขาหรอก” พูดจบก็ผลักประตูออกไป ก่อนจะกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง เดาว่าเจย์ลีนคงจะถึงลานจอดรถแล้วเรียบร้อยตามเวลาที่นัดกันเอาไว้ คนตัวเล็กนั่นตรงเวลาจะตาย
เสียงย่ำใบไม้แห้งดังขึ้นกลางป่าลึก เท้าทั้งสองคู่ย่ำไปเรื่อยๆตามคนข้างหน้า แฟรงค์ลอบมองใบหน้าของจูเลียน คนตัวเล็กข้างๆกำลังก้มมองทุกย่างก้าวของตัวเอง ไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่นัก
“หยุดก่อน”
จู่ๆมันที่เดินนำอยู่ข้างหน้าก็หยุดชะงักลงทันที กวาดสายตามองรอบตัวอย่างเงียบเชียบ จูเลียนเผลอก้าวขาไปข้างหน้าเพราะรู้สึกว่าอยู่ดีๆก็จะเซขึ้นมา เสียงใบไม้แห้งทำเอามันหันขวับและยกนิ้วชี้ทาบริมฝีปากเป็เชิงบอกให้เงียบทันที ทันใดนั้นบางสิ่งที่พอจะเป็เหตุผลหลักก็โผล่มาให้เห็นทันที
กวางตัวใหญ่หนึ่งตัวโผล่มาจากหลังต้นสนต้นใหญ่ ห่างจากที่ทั้งสามยืนอยู่เพียงไม่กี่เมตร จูเลียนมองตาไม่กะพริบ ในชีวิตนี้ไม่เคยได้เห็นสัตว์ป่าตัวเป็ๆมาก่อนถ้าไม่นับที่เคยไปสวนสัตว์กับพ่อและเจย์ลีนตอนเด็กๆเพียงเท่านั้น รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ใจเต้นระส่ำจนมือไม่สั่นและก้าวขาไม่ออก
“อย่าส่งเสียง” มันกระซิบแ่เบาด้วยเสียงแหบพร่า จูเลียนหันมองมัน พอจะเดาออกแล้วว่าอยู่ดีๆทำไมมันถึงพามาแถวนี้ มันไม่ใช่ทั้งทางไปลำธาร และไม่ใช่ทั้งทางที่จะไปฝึกยิงปืนเลย ถ้าเป็แบบที่คิดไว้ในหัวจูเลียนไม่ทำแน่ๆ ไม่มีทาง
พลันััแ่เบาเกิดขึ้นที่มือเล็ก แฟรงค์จับมือของจูเลียนและลูบหลังมือด้วยนิ้วโป้งเบาๆราวกับจะปลอบโยนให้หายตื่นกลัว ทว่าไม่เป็ผลสักเท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่เพียงตัวเดียว หากแต่มีอีกหนึ่งปรากฏอย่างช้าๆ
ลูกกวางตัวจ้อยเดินตามกวางตัวใหญ่มา เดาว่าคงเป็กวางแม่ลูก เขาของมันยังเรียกว่าแคระแกร็นกว่าอีกตัวมากโข จูเลียนบีบมือของแฟรงค์แน่นจนอีกคนรู้สึกได้ ถ้าหากมัน…
“นายก่อน”
เป็ดังที่คาดไว้ไม่มีผิด ปืนกระบอกเดิมที่แสนคุ้นเคยถูกยื่นมาตรงหน้าจูเลียน แฟรงค์ผละมือออกโดยทันทีที่มันหันมา คนตัวเล็กยืนนิ่งไม่ไหวติง จ้องหน้ามันด้วยแววตาตระหนก เป็แบบที่คิดไว้จริงๆด้วย มันพาเด็กทั้งสองคนมาล่าสัตว์แบบที่มันทำเป็ประจำในทุกวัน มันยัดปืนใส่มือของจูเลียนด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์นัก
“จะให้ฉันทำอะไร” จูเลียนกระซิบถาม
“คิดว่าฉันสอนเธอยิงปืนโดยไม่มีเหตุผลหรอเด็กน้อย คิดซะว่ากวางสองตัวนั่นเป็กระป๋องบนเนินเขา เล็งแล้วยิงซะ”
จูเลียนส่ายหน้าอย่างช้าๆ เขาไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน ไม่ว่ากวางตัวนั้นมันจะโผล่มาแค่ตัวเดียวก็ตาม ลูกกวางตาใสตัวนั้นยิ่งแล้วใหญ่ หากมันต้องขาดแม่แบบที่เขาขาดมาตลอดล่ะก็ ถึงแม้จะเป็แค่สัตว์แต่มันก็มีชีวิตจิตใจ มีความเศร้าโศกได้แบบมนุษย์เช่นกัน และสิ่งที่มนุษย์ต่างจากสัตว์คือการรู้ผิดชอบชั่วดี เหตุผลนี้มันทำให้จูเลียนทำอะไรแบบนั้นไม่ได้แน่นอน
“เร็วๆ อย่าทำเสียเื่” มันดูท่าทางจะเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ขืนจูเลียนยึกยักอยู่แบบนี้มีหวังกวางสองตัวแม่ลูกนั่นหลุดลอยลำไปแน่ และโอกาสแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะประจวบเหมาะแบบนี้บ่อยๆ
“ฉันไม่ทำ โอ๊ย”
ดูเหมือนว่าเสียงขัดขืนของจูเลียนจะดังเกินไปจนสัตว์ป่าที่มันหมายไว้หันมาทางที่มาของเสียงเล็กน้อย มันรีบเอามือป้องปากของคนหัวรั้นอย่างแรงจนจูเลียนอุทานออกมาด้วยความเจ็บ แฟรงค์เองยืนนิ่งไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง ได้แต่ยืนมองแบบนั้น
“ขี้ขลาดตาขาว”
มันละมือออก สบถออกมาอย่างไม่พอใจ หันไปมองทิศที่กวางสองแม่ลูกตัวนั้นยืนอยู่พบว่ามันยังไม่ได้หายไป หากแต่ยังคงพากันเล็มใบไม้ใบหญ้าไปตามประสาสัตว์ป่า
“ถ้าแกไม่ทำ ฉันจะเป่าสมองแกให้กระจุยแทนที่จะเป็กวางสองตัวนั้น”
มันไม่พูดเปล่าหากแต่ยกปลายกระบอกปืนจ่อที่ขมับของจูเลียนทันที คนตัวเล็กมองจ้องอย่างไม่เกรงกลัวทั้งที่ใจสั่นจนแทบทะลุออกมานอกอก จูเลียนไม่หลบตาแม้จะแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แฟรงค์เองตระหนกไม่แพ้กัน เด็กหนุ่มเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก
“จะเอายังไง จะทำหรือไม่ทำ” มันไม่เพียงกดเสียงต่ำลงหากแต่กดปลายกระบอกปืนแรงมากขึ้นลงบนขมับของคนตัวเล็ก
“พะ พ่อ ปล่อยจูเลียนเถอะ ผมทำเอง”
มันหันขวับมองใบหน้าของคนเป็ลูกด้วยสีหน้าและแววตาเรียบเฉย ละสายตามองดวงตากลมของจูเลียนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนปลายกระบอกปืนออกจากขมับของคนที่กลัวจนแทบตัวสั่นแต่ทำใจสู้ไปอย่างนั้น มันส่งกระบอกปืนที่สะพายอยู่บนไหล่ให้แฟรงค์
“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองกระบอกนี้ไปเลยเป็ไง”
ยิ้มมุมปากแสนเ้าเล่ห์ส่งมอบไปยังเ้าของดวงตาสีมรกตอย่างชัดเจน แฟรงค์ไม่พูดอะไรทว่าสันกรามนูนเด่นจากการกัดฟันกรอด โทสะเริ่มคุกรุ่นเล็กน้อย หากแต่ไร้วาจาใดเอื้อนเอ่ยออกมา จูเลียนมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาอันสับสน
แฟรงค์รับปืนลูกซองลำเก่งของพ่อมาถือ ท่าทางไม่ได้เก้กังหากแต่ดูชำนาญจนจูเลียนใ ดวงตาสีมรกตที่เคยอ่อนต่อโลกแปรเปลี่ยนเป็แววตาอันคมกริบและเยือกเย็นจนคนที่ลอบมองอยู่อย่างจูเลียนไม่กล้ากะพริบตา ต่างจากคนแก่สุดในนี้ มันกอดอกมองความเป็ไปต่อหน้าด้วยสายตาอันเ้าเล่ห์
จุดอ่อนของแกมันคือตรงนี้เองสินะ
“แฟรงค์ อย่าทำมันเลยนะ ฉัน…”
ปั้ง!
ไม่ทันจะจบประโยคขอร้องของจูเลียน เ้าของดวงตาสีมรกตเหนี่ยวไกปืนใส่กวางตัวใหญ่เป็ที่เรียบร้อยจนมันล้มลงไป แววตาและท่าทางของแฟรงค์ที่จูเลียนมองอยู่ในตอนนี้มันก่อมวลความรู้สึกอันแปลกประหลาด ความรู้สึกหวาดกลัวประเดประดังเข้าโอบล้อมอย่างไม่รู้ตัว
ลูกกวางเมื่อได้ยินเสียงปืนดังสนั่นก็วิ่งหนีกระเจิง ทว่าแฟรงค์แนบปืนไว้กับลำตัวและกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมันไปทันที เพียงไม่กี่ก้าวเ้ากวางตัวน้อยก็ล้มลงไปต่อหน้าต่อตาจูเลียน คนตัวเล็กมองภาพตรงหน้าด้วยความพร่าเบลอ ม่านน้ำตาจากความสงสารเอ่อคลอเต็มดวงตากลม
“ตามไปดูผลงานเขาสักหน่อยดีกว่า” มันกระซิบก่อนจะเดินนำหน้าไป ผิวปากสบายใจในขณะที่อีกคนอกสั่นไหวจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
“ผลงานเป็ที่น่าพอใจนะ ลูกชาย”
มันเอ่ยชมหลังกอดอกดูศพของกวางแม่ลูกสองตัว จูเลียนยืนมองเงียบไม่เอ่ยอะไรสักคำ วางฝังสายตานิ่งที่ความเศร้าโศกตรงหน้า พร่ำสวดภาวนาในใจให้แก่สองชีวิตที่ต้องดับสูญไป แต่แล้วบางอย่างที่กำลังเพ่งมองอยู่นั้นก็ดันทำให้ฉุกคิดถึงอะไรบางอย่าง
กวางตัวใหญ่นั้นปกติดี ะุเข้าที่กลางลำตัว
แต่กวางตัวลูกมีรอยะุที่ขาทั้งสองข้างและกลางลำตัว
ทำไมแฟรงค์ถึงเล็งไม่เหมือนกัน
หรือเพราะว่าลูกกวางมัน…
วิ่งหนี
วิ่งหนีอย่างงั้นหรอ
ดวงตากลมค่อยๆช้อนเงยมองเด็กหนุ่มเรือนผมสีมะฮอกกานีอย่างช้าๆ ดวงตาสีมรกตนั่นกำลังทอดมองผลงานตัวเองด้วยสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข รอยยิ้มมุมปากค่อยๆเผยอขึ้นจนกลายเป็ว่าแฟรงค์กำลังยิ้มกว้างอยู่ ทำไมกัน ทำไมเขาถึงได้ดูมีความสุขกับมัน ทำไมเขาถึงได้ใช้ปืนอย่างเก่งกาจยิ่งกว่าตอนที่อยู่บนเนินเขานั่น ทำไมเขาถึงได้เล็งยิงอย่างมั่นใจ ทำไม
ทว่าจู่ๆสายตาที่ทอดมองฝีมือของตัวเองก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็คนตัวเล็กที่จ้องเขาอยู่แทน เยือกเย็น เรียบเฉย และไม่ยี่หระต่อความน่ากลัว แฟรงค์จ้องนิ่งพร้อมหอบหายใจเล็กน้อย จูเลียนเริ่มรู้สึกถึงขนคอที่ลุกชันยามสบสายตากับเขา เป็ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพียงครู่ความแข็งกร้าวก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด แฟรงค์ทิ้งปืนลงกับพื้น สายตาของเขากลับมาหวาดหวั่นและตระหนกใอีกครั้ง
ฉันกลัว
ฉันกลัวนายเข้าแล้ว
เธอเห็นหรือเปล่านะเมื่อกี้นี้
จะทันเห็นหรือเปล่านะว่าฉันมองมันแบบไหน