เวลาผ่านไปชั่วพริบตาเดียว จุนห่าวทำพันธะสัญญากับสายฟ้าได้หนึ่งเดือนแล้ว ในหนึ่งเดือนนี้สายฟ้ากินดี อารมณ์ดี ขนเป็ประกายเงางาม ควบคู่ไปกับการฝึกเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรที่เสี่ยวไป๋มอบให้ สมรรถภาพทางกายดีขึ้นอย่างก้าวะโ หลังจากฝึกเคล็ดวิชานั้น สายฟ้าพบว่ากรงเล็บของมันแหลมคมขึ้นมาก สายฟ้ายิ่งกระตือรือร้นที่จะบำเพ็ญเพียร
ใน่เดือนนี้สายฟ้าปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ และเข้ากับสมาชิกในครอบครัวได้ดี ทุกคนชอบเขายกเว้นจุนฟาน จุนฟานและสายฟ้าเป็ศัตรูคู่แค้นกันตลอด จุนฟานจะยั่วยุสายฟ้าเป็เวลาสั้นๆ ในทุกวัน แต่สุดท้ายก็ถูกสายฟ้าคำรามจนวิ่งกระเจิงเข้าบ้าน
จุนห่าวและหานรุ่ยเตรียมตัวเป็เวลาหนึ่งเดือน เื่ที่ควรจัดการ ได้จัดการจนหมดสิ้น อีกไม่กี่วันจะออกเดินทาง พวกเขายังไม่มีจุดหมายที่แน่ชัด วางแผนไปท่องโลกและเพิ่มประสบการณ์ก่อน
“เสี่ยวรุ่ย ได้ยินว่าดอกเหมยในหมู่บ้านเบ่งบานแล้ว ผู้คนจากเมืองใหญ่จำนวนมากแห่กันมาชื่นชมดอกเหมยที่ออกดอกที่นี่ ครึกครื้นยิ่งนัก เราไปเดินเล่นกันเถอะ เดินเล่นแล้วเราค่อยจากไป” จุนห่าวพูดกับหานรุ่ย หลายวันมานี้หมู่บ้านครึกครื้นมาก คนในหมู่บ้านกำลังยุ่งกับการตระเตรียมของขาย ได้ยินว่าดอกเหมยเบ่งบานไม่กี่วัน ก็มีคนนอกหมู่บ้านจำนวนมากมาวางแผงขายของ เกิดเป็ตลาดซื้อขายเสรี
“งั้นไปดูกันเถอะ ดอกเหมยที่นี่แปลกประหลาดอยู่บ้าง ดอกเหมยในหมู่บ้านนี้จะเบ่งบานทุกๆ สิบปี ในเดือนแห่งดอกเหมยบานนั้น พลังิญญาในป่าเหมยหลินจะหอมกรุ่นยิ่ง และบริสุทธิ์มาก ฉะนั้น นักพรตที่มีรากิญญาไม้ต่างพากันมาบำเพ็ญเพียรที่นี่ พลังิญญาไม้ที่บริสุทธิ์ของที่นี่ มีส่วนช่วยให้นักพรตบุกทะลวงตรงคอขวดได้ ขณะที่บำเพ็ญเพียรยังได้เพลิดเพลินไปกับดอกเหมย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ” หานรุ่ยกล่าว เห็นได้ชัดว่าหานรุ่ยรอบรู้มากกว่าจุนห่าว เนื่องจากหานรุ่ยไม่มีรากิญญาไม้ เขาจึงไม่เคยไป และเขาก็ไม่สนใจที่จะดูดอกเหมย แต่ทว่า เขายังรู้เื่ราวบางอย่างอยู่บ้าง
“ข้ายังคิดว่านักพรตที่มาที่นี่ เพราะชื่นชอบดอกเหมยหรือชื่นชอบธรรมชาติเสียอีก คิดไม่ถึงว่ามีเื่เช่นนี้ด้วย ช่วยให้ผู้คนบุกทะลวงได้ ช่างน่าดึงดูดจริงๆ กลายเป็ว่านี่เป็สิ่งดึงดูดผู้คนอย่างแท้จริง” จุนห่าวพูดกับหานรุ่ย “น่าเสียดาย ข้าเพิ่งจะเลื่อนขั้นได้ไม่นาน พลังปราณยังสะสมไม่ถึงระดับปลาย เลยเสียโอกาสที่ดีนี้ไป”
“ขอบเขตการเลื่อนขั้นนั้นไม่ได้มีประโยชน์ต่อเ้ามากนัก เ้าควรดูดซับพลังิญญาทั้งห้าชนิดพร้อมกัน ดูดซับแค่ชนิดเดียวจะทำให้พลังิญญาทั้งห้าชนิดขนาดความสมดุล” หานรุ่ยกล่าว
“ไม่นานมานี้ ข้าพบว่าพลังิญญาภายในทั้งห้าชนิดแปรสภาพได้ พลังิญญาชนิดไหนที่ถูกดูดซับได้มาก เมื่อถึงจุดตันเถียน ก็จะแปรสภาพกลายเป็พลังิญญาอีกสี่ชนิด ดังนั้นจึงไม่มีเสียสมดุล” จุนห่าวพูดอย่างเบิกบานใจ เป็เช่นนี้ ต่อไปเขาคงดูดซับพลังิญญาได้ตามใจชอบ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของเขาคงเพิ่มขึ้นบ้าง
“เป็เื่ดีจริงๆ จากนี้ไปหากพบแหล่งที่พลังิญญาชนิดใด เ้าก็ไม่ต้องคิดคำนึงแล้ว ดอกเหมยเบ่งบานคราวนี้ สำหรับเ้าแล้ว ถือเป็โอกาสหนึ่ง หนึ่งเดือนจะบอกว่ายาวหรือสั้น หนึ่งเดือนของการบำเพ็ญเพียรในป่าเหมยหลิน ไม่แน่ว่าเ้าอาจบุกทะลวงเข้าสู่ขั้นที่เจ็ดก็เป็ได้” หานรุ่ยกล่าว ผู้คนในเมืองเย่ว์เซียนต่างบอกว่าเขาคืออัจฉริยะ แท้จริงแล้วจุนห่าวต่างหากที่เป็อัจฉริยะ ต่างกล่าวว่าพลังปราณยิ่งสูง ยิ่งบุกทะลวงได้ยาก ทว่าจุนห่าวกลับไม่มีคอขวดสักนิด ตราบใดที่สะสมพลังปราณมากพอ ย่อมเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อย่างง่ายดาย เพียงเพราะแผ่นดินชางหลานนั้นมีพลังปราณเบาบาง จุนห่าวเลื่อนขั้นต้องใช้พลังิญญาจำนวนมาก ทุกครั้งที่เลื่อนขั้น ใช้เวลาไม่น้อย หานรุ่ยเริ่มต้นบำเพ็ญเพียรใหม่ จึงตามความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของจุนห่าวไม่ทัน หานรุ่ยจึงได้แต่แข่งกับเวลา
“หากข้าบำเพ็ญเพียรในนั้นเป็เวลาหนึ่งเดือน ก็ไม่อาจไปชมดอกเหมยกับเ้าได้ น่าเสียดายอยู่นะ” จุนห่าวพูดด้วยเสียงทอดถอนใจ เขามิใช่คนที่โรแมนติก ทว่าคิดๆ ดู หากได้เดินชมดอกเหมยกับหานรุ่ย คงโรแมนติกมากแน่ เขาไม่อยากเสียโอกาสอันดีนี้
“น่าเสียดายอะไร แค่ดอกเหมยเอง สวยงามตรงไหน หากมิใช่เพราะป่าเหมยหลินส่งผลดีต่อเ้า ข้าจะไม่ไปด้วยซ้ำ บำเพ็ญเพียรที่บ้านเสียดีกว่า” หานุร่ยพูดอย่างไม่เคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศ เื่สำมะเลเทเมานั้นหานรุ่ยไม่ได้คลั่งไคล้นัก ตอนนี้เื่ที่เขาคลั่งไคล้ก็คือการบำเพ็ญเพียร แม้แต่จุนห่าว เขาก็ไม่แยแส
จุนห่าว : ภรรยาไม่เคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศทำยังไงดี? ภรรยาคลั่งไคล้แต่เื่บำเพ็ญเพียรทำยังไงดี? ภรรยาไม่แยแสข้าแล้วทำยังไงดี? ขอคำตอบหน่อย
จุนห่าวพูดอย่างสิ้นหวัง “เสี่ยวรุ่ย เ้าต้องมีสมดุลระหว่างการบำเพ็ญเพียรกับการพักผ่อน ควรพักผ่อนบ้าง อย่าคิดถึงแต่เื่บำเพ็ญเพียร”
“ข้าไม่เหนื่อย เหตุใดข้าต้องพักผ่อน อีกอย่างการบำเพ็ญเพียรก็เปรียบเสมือนการพักผ่อน บำเพ็ญเพียรทั้งคืนยังไม่เหนื่อยเลย ทำไมต้องเสียเวลาไปกับการนอนด้วย” หานรุ่ยพูดกับจุนห่าว เขาก็รู้ว่าหลายวันนี้เขาละเลยจุนห่าว ทว่าหากเขาไม่ขยัน จุนห่าวก็คงไม่แยแสเขา เขาต้องขยัน ต้องโทษที่จุนห่าวมีพร์ในการบำเพ็ญเพียรดีเกินไป
“บำเพ็ญเพียรแบบไหนถึงทำให้เ้าหลับสบายล่ะ” จุนห่าวพูดเบาๆ คิดในใจ หากมีเคล็ดวิชาวันหยุดคงจะดี ถึงจะเป็เื่ที่เขาชอบ ทั้งได้บำเพ็ญเพียรและไม่เสียเวลา น่าเสียดาย เคล็ดวิชาบนแผ่นดินชางหลานมีน้อยเหลือเกิน เคล็ดวิชาวันหยุดได้ยินแต่ชื่อ ไม่รู้ว่าเป็วัตถุอะไร เขาอยากตามหาก็ไม่ได้ทำ อย่างที่เสี่ยวไป๋บอกจริงๆ ว่า รีบออกจากแผ่นดินที่เป็แหล่งขี้นกนี่เสียดีกว่า
ถึงแม้ว่าจุนห่าวจะพูดเบาๆ ทว่าหานรุ่ยยังได้ยิน คิดในใจ จุนห่าวชอบออกแรงบนเตียงนอนมากเหลือเกิน เขาคิดว่าต้องควบคุมหน่อยแล้ว มิฉะนั้นคงเสียเวลามากทีเดียว
หานรุ่ยคิดเช่นนี้ ทว่าไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป เขามองท่าทีของจุนห่าวที่มองต่ำลง พลางเอ่ยขึ้น “คืนนี้ข้าจะไม่บำเพ็ญเพียร ข้าจะอยู่กับเ้า นอนกลิ้งไปกับเ้า ทำให้เ้าเพลิดเพลิน” หานรุ่ยและจุนห่าวเป็สามีภรรยากันมานาน หานรุ่ยพูดออกมาเช่นนี้ไม่ได้น่าอายนัก บัดนี้หน้าก็หนาขึ้น บางครั้งยังกล้าหยอกล้อจุนห่าวเล่น
ได้ฟังคำพูดของหานรุ่ย ั์ตาของจุนห่าวก็พลันเปล่งประกาย อาการซึมเศร้าก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น พร้อมพูดอย่างตื่นเต้นว่า “จริงหรือ นอนกลิ้งไปกับข้า? งั้นเ้าห้ามบอกว่าไม่ทำละนะ”
หานรุ่ย : ...... พูดคำส่วนตัวในห้องโถงเช่นนี้ ดีจริงๆ หรือ?
“ทำไมจะไม่ได้?” ก่อนที่จุนฟานจะเดินเข้ามาได้ยินประโยคท้ายพอดี
จุนห่าวได้ยินคำของจุนฟาน คิดในใจ จุนฟานช่างหลับหูหลับตาจริงๆ เข้ามาได้จังหวะพอดี ทั้งยังได้ยินประโยคท้าย
“เสี่ยวรุ่ยบอกว่าจะทำอาหารค่ำมื้อใหญ่ให้พวกท่าน แต่ข้าบอกว่าไม่ได้” จุนห่าวพูดกับจุนฟาน หลังจากจุนฟานได้ทานอาหารฝีมือจุนห่าว ก็เฝ้าคิดถึงเสมอ หากมีเวลาก็จะให้จุนห่าวทำ เวลาส่วนใหญ่ของจุนห่าวคือทำให้เขาพอใจ ทว่าวันนี้ไม่อยากทำให้เขาพอใจแล้ว
“เหตุใดไม่ได้ล่ะ ข้าชอบอาหารมื้อใหญ่ที่เ้าทำที่สุด” จุนฟานพูดกับจุนห่าว ั้แ่เขาทานอาหารฝีมือจุนห่าว เขาถึงเข้าใจความรู้สึกของจุนหนาน จุนห่าวเป็ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ แม้แต่กับข้าวก็ยังทำได้เอร็ดอร่อย เขากินมื้อนึงก็คิดถึงมื้อต่อไป น่าเสียดาย จุนห่าวยุ่งเหลือเกิน ทำได้ไม่บ่อยนัก เวลานี้พวกเขาจึงผลัดกันปรุงอาหาร หากไม่ยอมทำก็จะดื่มยาบำรุงกำลัง
“เพราะข้าคิดว่าท่านสบายเกินไป นักพรตไม่ควรให้ความสำคัญกับเื่ปากท้องนัก ไม่ดีต่อการบำเพ็ญเพียร ข้าคิดว่าเรากินยาบำรุงกำลังก็พอแล้ว ทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการและสะดวก” จุนห่าวกล่าวต่อจุนฟาน ยาบำรุงกำลังคือยาที่จุนห่าวปรุงใน่นี้ เขาศึกษาอยู่หลายวันกว่าจะสำเร็จ บางครั้งพวกเขาต่างยุ่ง ไม่มีเวลาทานข้าว ได้ดื่มยาบำรุงกำลังก็แก้ปัญหาได้ ทั้งสะดวกกว่าอาหารแห้งอยู่มาก
“ข้าไม่กินยาิญญา กินแล้วเหมือนน้ำดื่ม ไม่มีรสชาติ น้องสี่ควรปรุงยาบำรุงกำลังที่มีรสชาติหลากหลาย ยอดขายถึงจะดี” จุนฟานเอ่ยแนะนำ หากยาบำรุงกำลังมีรสเนื้อย่าง เขาถึงจะอยากดื่ม
“ข้าเพิ่งจะบอกว่าท่านสนใจเื่ปากท้องจนเกินไป เวลานี้ท่านยังไม่ไปไกลจากเื่นี้อีก บัดนี้ท่านกำลังยืนอยู่บนขอบหน้าผา และเท้าข้างหนึ่งได้ก้าวออกไปแล้ว ข้าต้องดึงท่านกลับมาให้ทัน มิฉะนั้นท่านคงตกอยู่ในอันตราย” จุนห่าวพูดกับจุนฟาน ด้วยวิธีนี้จุนห่าวก็หวาดกลัว เขากลัวจริงๆ ว่าจุนฟานที่เป็คนเซ่อๆ ซ่าๆ จะซักถามจนถึงที่สุด
“ข้าคิดว่าน้องสี่พูดถูก เ้าลดหย่อนเื่การบำเพ็ญเพียรจริงๆ บัดนี้ข้าบุกทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สี่ได้แล้ว แต่เ้ายังติดอยู่ที่ขั้นที่สามระดับปลาย หลายวันมานี้ ไม่มีความคืบหน้าใดๆ สักนิด ยังจะพูดจาไร้สาระกับน้องสี่ ที่อุตส่าห์มอบยาิญญาชั้นดีให้เ้า” จางหนิงตัดบทพูดของจุนฟาน เอ่ยกับจุนฟาน จุนฟานไม่เข้าใจเื่ราวเสียจริง แค่มองก็รู้แล้วว่าเมื่อครู่นี้ต้องเป็บทสนาส่วนของจุนห่าวกับหานรุ่ย มิใช่เวลาที่เขาและจุนฟานจะเข้ามารบกวนคนทั้งสอง
“พี่สาม ท่านโชคดีทีเดียว โอกาสอตรงหน้าท่าน ความน่าจะเป็ที่จะบุกลวงของท่านเพิ่มขึ้นแล้ว พี่สามท่านต้องคว้ามัน โอกาสไม่รอเรา พลาดแล้วก็พลาดเลย” ฟังจางหนิงแล้ว จุนห่าวพูดกับจุนฟาน
“โอกาสอันใด? น้องสี่เ้ารีบบอกข้าเร็วเถอะ ข้าต้องคว้ามันให้ได้ จะไม่ให้เืเนื้อและจิตใจของเ้าเสียเปล่า” จุนฟานประจบจุนห่าว เขายังเป็ทุกข์อยู่ นอกจากจุนตงและจุนหนาน เด็กสองคนที่ไม่ได้บำเพ็ญเพียร พลังปราณของคนที่เหลือต่างสูงกว่าเขา แม้แต่จางหนิงเองก็บุกทะลวงสำเร็จ เขารู้สึกว่าพลังิญญาในจุดตันเถียนของเขามีมากพอแล้ว หากบุกทะลวงไม่ได้ เขาก็เป็กังวล
“โอกาสนี้มิใช่ข้าที่สร้างมาให้ท่าน อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้? โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว” จุนห่าวพูดอย่างประหลาดใจ จุนฟานเป็ชาวเมืองอวี้หวาโดยกำเนิด โอกาสอยู่ตรงหน้าเขากลับไม่รู้ ควรจะบอกว่าจุนฟานเลอะเลือนหรือเขากันแน่ที่เลอะเลือน
“ตรงหน้า? ไหนล่ะ? ทำไมข้ามองไม่เห็น” จุนฟานเอ่ยขึ้นพลางมองไปรอบๆ ไม่ว่าจุนห่าวจะพูดยังไง เขาก็หาไม่พบ
“เ้าช่างโง่เง่า น้องสี่แค่อุปมา เ้ายังคิดว่าโอกาสอยู่ในห้องนี้จริงๆ ข้าว่าที่เ้ากินเข้าไปตั้งมากมาย คงเสียเปล่า สมองไม่ได้ดีขึ้นเลย” จางหนิงพูดอย่างไม่เกรงใจ บัดนี้จุนฟานยิ่งใสซื่อขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช้สมองเลย พูดถึงจุนฟานจบ จางหนิงกล่าวต่อจุนห่าวอีกครั้งว่า “น้องสี่ โอกาสอะไรหรือ เราไม่รู้จริงๆ”
หานรุ่ยเอ่ยไปทางจุนห่าว “ไม่แปลกที่พวกเขาไม่รู้ เื่นี้มีเพียงตระกูลใหญ่ไม่กี่ตระกูลของอาณาจักรสุ่ยเยว์ที่รู้ อันที่จริง พลังปราณของป่าเหมยหลินมีไม่สิ้นสุด หากรู้เพิ่มคนนึง ย่อมเกิดการ่ชิงเพิ่มคนนึง ดังนั้น เื่นี้จึงถูกตระกูลใหญ่ใส่กลอนไว้”
“ป่าเหมยหลิน ที่น้องสี่พูดถึงโอกาส อยู่ในป่าเหมยหลินหรือ? จางหนิงค่อนข้างระวังตัว ฟังหานรุ่ยพูดจบ ครู่เดียวก็เข้าใจได้ในทันที เพราะป่าเหมยหลินหรือพี่สะใภ้กันแน่ ที่ฉลาดปราดเปรื่อง เข้าใจได้ชัดเจนในทันที ไม่เหมือนพี่สามไม่พูดให้เข้าใจก็จะไม่มีทางเข้าใจ” จุนห่าวกล่าวต่อจางหนิง จางหนิงเป็คนฉลาดหลักแหลม การอยู่กับจุนฟานจะเต็มเติมกันละกันพอดี จุนห่าวพูดจบ ก็เล่าข่าวคราวที่ฟังจากหานรุ่ยให้แก่จางหนิงและจุนฟาน
หลังจากฟังคำพูดของจุนห่าว จางหนิงเอ่ยขึ้น “นั่นเป็โอกาสอันยิ่งใหญ่จริงๆ เราควรขอบคุณโอกาสนี้หรือขอบคุณหานรุ่ยดี” ก่อนหน้านี้จางหนิงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าลูกหลานตระกูลขุนนาง ทว่าหลังจากได้รู้จักหานรุ่ย เขารู้สึกว่าตัวเองกับ ล้วนสู้หานรุ่ยไม่ได้ ความลับที่ลูกหลานตระกูลขุนนางเก็บงำไว้ มิใช่ว่าคนที่มาจากครอบครัวเล็กๆ ั้แ่เด็กอย่างเขาจะสู้ได้
