“อ๊ะ...!! หรือว่าจะเป็ตอนนั้น”
ฉันพูดพร่ำกับตัวเอง ก่อนจะเอ่ยบอกกับเขาออกไปด้วยความตื่นเต้น
“นะ...นี่นาย...ฉะ...ฉันจำได้แล้ว ต้องเป็วันนั้นแน่ ๆ นายตั้งใจฟังฉันก่อนนะ...เื่มันเป็แบบนี้ วันนั้นหัวหน้าของฉันใช้ให้ฉันมาเซ็นเอกสารที่บริษัทนี้...ใช่...บริษัท DLKK นี่แหละ ชื่อบริษัทก็เป็ชื่อเดียวกับหัวกระดาษในใบสัญญานี่เลย” ฉันรีบกุลีกุจอยื่นเอกสารพร้อมกับชี้มือชี้ไม้ให้เขาดู ก่อนที่ตัวเองจะรีบอธิบายเพิ่มเติมด้วยความร้อนรนเพราะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก
“แล้ววันนั้นฉันจำได้ว่าฉันรีบมาก และด้วยเพราะความรีบร้อนนี่แหละที่ทำให้ฉันไม่ทันได้ระวัง...และตอนนั้นมันก็คงเป็จังหวะที่เกิดความผิดพลาดขึ้นฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ดูให้ดี แต่นาย...ฉันไม่ได้ไปเซ็นค้ำประกันให้ใครที่ไหนจริงๆ นะ แล้วอีกอย่างนายเห็นไหมว่าฉันเองก็ไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับคนในสัญญานี่เลย ฉันอธิบายให้นายฟังหมดแล้ว นายลองไปตรวจสอบดูซิ ฉันรับรองได้เลยว่านายจะได้รู้ความจริงตรงตามที่ฉันบอกอย่างแน่นอน ถึงเื่ที่ว่าฉันไม่ได้เป็คนค้ำประกันให้กับใครทั้งนั้น ฉันยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยว่า ฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ นายเชื่อฉันเถอะนะ...นะ” ฉันอธิบายด้วยความหวังที่ผุดขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมกับเอ่ยปากอ้อนวอนต่อเขาอีกครั้ง หลังจากที่ตัวเองเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าได้ถูกไหว้วานจากหัวหน้าให้ไปเซ็นเอกสารครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ และครั้งนั้นแหละน่าจะต้องเป็จุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันต้องมาซวยแบบนี้
และในขณะที่ฉันจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความหวังอยู่นั้น...ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังหลังจากที่พยายามอธิบายไปมากมายอีกทั้งยังมั่นใจมากว่าตัวเองจะต้องรอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปได้...
แต่ทว่า...ทุกอย่างกลับต้องมาพังทลายลง...เมื่อประโยคที่เขาตอบกลับมาถึงกับทำให้ฉันเข่าทรุดแทบไปไม่เป็ในทันที...
“หึ...มึงจะเลิกปั้นน้ำเป็ตัวกี่โมง”
คำพูดที่พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ทว่า...การทำลายล้างช่างสูงเหลือเกิน ได้ถูกส่งฟาดลงมายังกลางศีรษะของฉันจนฉันมึนไปหมด และคำพูดนั้นก็ดูท่าว่าจะทำให้ฟางของความอดกลั้นเส้นสุดท้ายที่มีของฉันได้ขาดสะบั้นลง...
“โอ๊ย...!! นี่พูดไม่รู้เื่หรือไง ก็บอกอยู่นี่ไงว่าได้ว่าไม่ได้เป็คนค้ำ ฉันไม่ได้ค้ำประกันให้ใครทั้งนั้น แล้วชื่อของไอ้บ้าที่อยู่ในเอกสารนั้นฉันก็บอกไปแล้วว่าไม่รู้จัก รูปร่างหน้าตาเป็ยังไงก็บอกไปแล้วว่าไม่เคยเห็น จะต้องให้พูดอีกสักกี่รอบกัน...ห๊ะ...และอีกอย่างใครนะ ตามหลักแล้วไอ้คนที่มันเป็หนี้นาย ทำไมนายไม่ไปทวงมันก่อนล่ะ มาทวงฉันทำไม!!” ฉันออกปากโวยวายด้วยอารมณ์ที่สุดจะกลั้นเอาไว้อีกต่อไปแล้ว
“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ทวง” เขาแค่นเสียงเยือกเย็นมาให้ฉัน คล้ายกับว่าตัวเองก็พยายามข่มอารมณ์หลังจากถูกฉันตอกคำพูดใส่หน้าอยู่เหมือนกัน
สิ้นประโยคที่เขาตอบกลับมานั้น ร่างของชายคนหนึ่งก็ถูกลากเข้ามาในห้องทันที
ตุ๊บ...!!
ร่างของผู้ชายคนหนึ่งถูกโยนให้มากองนั่งอยู่ที่ด้านข้างของฉัน ด้วยสภาพสะบักสะบอม
“โอ๊ะ โอ๊ยยยย...นะ...นายท่านครับ...นายท่านขอเวลาให้ผมอีกหน่อยได้ไหมครับ ผะ...ผมจะรีบหามาคืนให้นายท่านโดยเร็วที่สุดเลยครับ” คนที่เพิ่งถูกลากเข้ามายกมือไหว้ร้องวิงวอนขอความเมตตาปลก ๆ โดยที่ใบหน้าปูดบวมจนแทบจะมองใบหน้าที่แท้จริงไม่ออก
“หึ...มึงนะหรือจะมีปัญญาเอาเงินมาคืนกูแค่นี้มึงยังคิดหนีกูเลย...แล้วมึงรู้เอาไว้เลยนะว่าที่กูให้มึงกู้เนี้ย ก็เพราะกูเห็นว่ามึงเปิดบริษัทหรอกนะ เห็นว่าจะเอาไปลงทุนต่อยอด...แต่ที่ไหนได้มึงเสือกเอาไปถลุงในบ่อนซะหมด ทุกอย่างเป็เพราะว่ามึงทำตัวของมึงเองทั้งนั้น แล้ววันนี้มึงจะมาอ้อนวอนกูทำไม...ห๊ะ!!” คนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะไม่เหลือความเมตตาให้กับคนที่ร้องขอตรงหน้าถึงกับตวาดใส่ลั่น
ส่วนฉันที่พอได้ยินถึงเหตุผลที่เขาให้กู้ยืมเงิน ก็ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมเขานิด ๆ จากนั้นก็ได้เหลือบมองไปยังคนข้าง ๆ ที่สภาพถูกซ้อมมาอย่างสะบักสะบอมจนเืเกรอะกรังเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด อีกทั้งยังนึกเวทนาตัวเองอยู่ในใจว่าที่ฉันต้องมาถูกจับตัวมาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแบบนี้มันเป็เพราะผู้ชายที่เป็ผีพนันคนนี้นะเหรอ
(เห้อออออ...ก็ยังดีเขาเจอตัวแล้ว ในเมื่อทวงหนี้กันได้แล้ว เขาก็คงยอมปล่อยฉันให้กลับบ้านได้แล้วซินะ...หืออออ...อยากกลับบ้านจัง แถมเริ่มหิวแล้วด้วย) ในขณะที่ฉันกำลังนึกเพ้อฝันดีใจที่จะได้ไปให้พ้น ๆ จากสถานการณ์อันตรายตรงนี้แล้ว เสียงทุ้มกังวานจากผู้มีอำนาจตรงหน้าก็ได้เอ่ยพูดขึ้นมากับคนด้านล่างอีกครั้ง
“อีกอย่าง...คนอย่างกูคำพูดต้องเป็คำพูด กูให้เวลามึง 1 เดือนแล้ว แต่มึงกลับไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถจะหาเงินมาคืนกูได้ แล้ววันนี้มึงจะมาพูดเอาอะไรอีก” เสียงเย็นเหยียบเอ่ยเหี้ยมโหดไร้ความปรานี จนฉันเองที่ได้ยินยังอดหวาดหวั่นแทนคนที่ถูกน้ำเสียงนั้นพูดใส่ไม่ได้เหมือนกัน
“นะ...นายท่านครับนาย ขอร้องเถอะนะครับ เมตตาผมสักครั้งเถอะครับนายท่าน” ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างของฉันยังคงเอ่ยขอร้อง ยกมือขึ้นไหว้ปลก ๆ ดูน่าสงสาร
สิ้นประโยคคำขอร้องของชายที่อยู่ด้านข้างของฉัน คำตอบของคนร่างโตที่ตอนนี้เป็เหมือนกับเ้าชีวิตของผู้คนไปแล้ว ก็ได้เอ่ยคำพูดที่ดูจะไร้หัวใจออกมาอีกครั้ง
“ได้...งั้นมึงก็เซ็นยกบริษัทของมึงให้กู แล้วกูจะไว้ชีวิตมึงกับครอบครัว” เขาเอ่ย พร้อมกับส่งสัญญาณไปให้กับลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกายของเขา ก่อนที่ลูกน้องของเขาที่ตั้งท่ารออยู่ก่อนแล้วจะนำเอกสารการโอนหุ้นมาให้ผู้ชายตรงหน้าเซ็น
ส่วนผู้ชายที่เป็ลูกหนี้เริ่มลังเลเล็กน้อย นั่นก็คงจะเป็เพราะว่าถึงยังไงบริษัทนี้เขาเองก็เป็คนปลุกปั้นขึ้นมาเองกับมือมันย่อมมีความหวงแหนและอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ใช่แค่ตัวเองจะไม่รอดเท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวที่อาจจะโดนร่างแหไปด้วย ทำให้เขาจำต้องเลือกสิ่งที่สำคัญกว่า
และในขณะที่ผู้ชายด้านข้างของฉันเขากำลังสองจิตสองใจอยู่นั้น...
“เซ็นซะ...!!” เสียงลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านข้างของผู้มีอำนาจตะคอกจนฉันเองยังอดสะดุ้งไม่ได้
ด้วยสถานการณ์คับขันทำให้จากตอนแรกที่ผู้ชายคนนั้นที่มียังท่าทีลังเลไม่อยากเซ็นด้วยความเสียดาย กลับรีบกุลีกุจอจรดปากกาลงลายมือแทบไม่ทัน สาเหตุก็เพราะว่าไม่ใช่แค่เสียงตะคอกอันดังกังวานที่ถูกตวาดใส่หน้าเท่านั้น
แต่ทว่า...ข้างขมับของเขานั้นยังมีมัจจุราชสีดำมันวาวจ่อกดลงที่หัวของตัวเองอีกด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้