แม่ของโจวเฉิงช่างอ่อนโยนเสียจริงๆ
ในเวลาแบบนี้ ยังคงถามเธอว่าชอบอะไรในตัวโจวเฉิงอีก
แน่นอนว่าเธอชอบที่โจวเฉิงหล่อเหลา นี่คือจุดกำเนิดของความประทับใจแรก มนุษย์ต่างให้ความสำคัญต่อค่าของความงาม ไม่แบ่งแยกชายหญิง ถ้าไม่ใช่เพราะโจวเฉิงหน้าตาดี เซี่ยเสี่ยวหลานก็คงไม่มีเวลาว่างมาทำความรู้จักกับเขาอย่างลึกซึ้งด้วยซ้ำ คาดว่าโจวเฉิงชอบเธอโดยมีเหตุผลนี้เช่นกัน ชะตาสัมพันธ์ของทั้งสองก็คือการพานพบโดยบังเอิญที่เขตอันชิ่ง หลังจากนั้นโจวเฉิงกลับปักกิ่ง ส่วนเธออยู่ในอันชิ่งต่อไป
เธอมีแนวโน้มจะไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เซี่ยงไฮ้มากกว่า ทว่าโจวเฉิงประจำการในกองทัพที่ปักกิ่งนี้ ไม่น่าจะมีรายการละครอย่าง ‘พบเธออีกครั้งในปักกิ่ง’ อยู่
เธอชอบหน้าตาของโจวเฉิง ลักษณะท่าทางร้ายกาจนั่นบนตัวของโจวเฉิง และโจวเฉิงยังริเริ่มรุกโจมตีเธอก่อนด้วย
ฮอร์โมนของเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังสร้างความปั่นป่วนเหมือนกัน ในเมื่อเธอก็มีความรู้สึกที่ดีให้โจวเฉิง เช่นนั้นก็คบหาดูใจแล้วกัน รักบริสุทธิ์เรียบง่ายแบบนี้ที่ชาติก่อนเฝ้าใฝ่หา ชายหญิงคบกันเพราะความชอบ และเลิกราจากกันต่อเมื่อไม่ชอบ
“คุณน้า ฉันชอบโจวเฉิงนะคะ และคุณน้ามีสิทธิ์ขอให้ฉันไปจากโจวเฉิงอย่างแน่นอน แต่ฉัน...”
“แต่ความชอบของเธอนั้นไม่ได้คิดคำนึงถึงเขาแม้แต่น้อย โจวเฉิงไม่ใช่ใบประกาศรางวัลหนึ่งแผ่นที่เธอสามารถอวดโอ้ได้ และไม่ใช่ลูกหมาที่เธอคิดจะหยอกเล่นยามว่างได้ สิ่งที่เขา้าคือคนรักที่เข้าใจในอาชีพของเขา เชื่อว่างานของเขาทรงเกียรติ ยินดีสนับสนุนหน้าที่การงานของเขา ไม่ใช่ทำตามใจชอบ เดี๋ยวก็ส่งแพะไปที่กองทัพ เดี๋ยวก็ส่งแตงโมให้หน่วย... นี่เธอใช้ของที่เงินซื้อได้พวกนี้มาแสดงออกว่าเธอชอบโจวเฉิงหรือ? ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็ประโยชน์กับอาชีพของโจวเฉิง เช่นนั้นไม่จำเป็ต้องให้เธอไปทำด้วยซ้ำ ตระกูลโจวก็สามารถทำแบบนี้ได้ตั้งนานแล้ว!”
กวนฮุ่ยเอ๋อพูดถึงจุดที่ทำให้อารมณ์ของเธอพลุ่งพล่าน การจะหยุดลงเพื่อชะลออัตราการหายใจ
เป็เพราะสาเหตุนี้อย่างที่คาด เื่ราวคราวนี้นำปัญหามาให้โจวเฉิงจริงๆ และไม่ง่ายดายอย่างที่โจวเฉิงว่า
ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานส่งข้าวของไปนั้น เธอไม่ได้ไตร่ตรองมากขนาดนี้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอรู้ตัวโดยจิตใต้สำนึกว่าตนเองทุ่มเทให้ความสัมพันธ์นี้ไม่เท่าโจวเฉิง เธอคิดว่าอย่างไรเสียโจวเฉิงก็จะไม่หนีเธอไป ทั้งสองยังอายุน้อยขนาดนี้ เวลาในอนาคตยังอีกยาวไกล ปัจจุบันควรมุ่งมั่นตั้งใจต่อสู้เพื่อหน้าที่การงานของแต่ละคน และเพราะว่าปกติเธอมักละเลยโจวเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอยากจ่ายเงินเพื่อเอาอกเอาใจโจวเฉิง ในด้านอายุทางจิตใจ เซี่ยเสี่ยวหลานโตกว่าโจวเฉิง
การที่เธอส่งเนื้อแพะให้กองทัพ ส่งแตงโม ซื้อนาฬิกาข้อมือโรเล็กซ์ให้โจวเฉิง สิ่งเหล่านี้ก็คือ ‘ประสบการณ์’ จากชีวิตก่อนนั่นเอง
แน่นอนว่าชาติก่อนเธอไม่ได้มอบของให้ผู้อื่นเช่นนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนรู้มาจากเพื่อนร่วมงานชายที่เงินเดือนสูงเ่าั้ หลังจากละเลยภรรยาหรือแฟนสาว ก็ซื้อลิปสติก ซื้อกระเป๋า ซื้อเครื่องประดับมาชดเชยไม่ใช่รึ?
ครั้งแรกที่ส่งเนื้อแพะให้ โจวเฉิงรู้สึกยินดีปรีดา บรรยากาศภายในหน่วยก็ดีมากเหมือนกัน
ครั้งที่สองเธอค่อนข้างสำรวมการกระทำ แตงโมราคาแสนถูก สำหรับเซี่ยเสี่ยวหลานเป็เพียงเงินไม่กี่สิบหยวน... ทว่าเกาเฟยเกิดคลั่ง เซี่ยเสี่ยวหลานถือว่าอีกฝ่ายใจแคบได้ ต่อมาสะใภ้กองทัพหลายคนผลักไสไล่ส่งเธอ เซี่ยเสี่ยวหลานถึงรู้สึกว่าเื่ราวมันดูผิดจากปกติ
เหมือนว่าการทำตามใจตนเองของเธอจะไม่ค่อยเหมาะกับกองทัพในปี 84 สักเท่าไร
เซี่ยเสี่ยวหลานเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของคนอื่นได้ ทว่าสำหรับความคิดเห็นของกวนฮุ่ยเอ๋อ เธอยังต้องให้ความสำคัญ
กวนฮุ่ยเอ๋อยังคงไม่หยุด “...เธอและโจวเฉิงเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เื่บางเื่เธอทำลงไปแล้วไม่เป็ไร แต่โจวเฉิงทำไม่ได้ ถ้าเธอชอบโจวเฉิงจริง เข้าใจโจวเฉิงจริง สนับสนุนความตั้งใจในหน้าที่การงานของเขาจริง ก็จะไม่ทำให้เขาอยู่อย่างลำบากในกองทัพ! ฝ่ามือนั้นน่ะ ไม่ใช่แค่การระบายความโกรธแทนเธอ ไม่ใช่แค่การปกป้องเธอ แต่มันยังเป็การทำลายอนาคตของโจวเฉิงด้วย! ปู่ของเขาบอกว่าอย่างน้อยเขาต้องติดอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันนี้ถึงสองสามปี ช่างเถอะ ฉันพูดกับเธอมากมายขนาดนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เธอเป็ผู้หญิงที่เก่ง แต่เธอกับโจวเฉิงอาจจะไม่เหมาะสมกันจริงๆ ”
เซี่ยเสี่ยวหลานสะดุดตาเพียงใดน่ะหรือ? มีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเยอะแยะขนาดนี้ กวนฮุ่ยเอ๋อปรายตามองแวบเดียวก็สังเกตเห็นเธอแล้ว
ไม่ใช่แค่หน้าตาสะสวย ตัวเธอยังมีพลังอีกด้วย ชายชราผู้าุโประจำตระกูลพูดถูก เซี่ยเสี่ยวหลานคือดาบหนึ่งเล่ม อีกทั้งยังเป็ดาบที่ถูกลับจนคมแล้ว!
กวนฮุ่ยเอ๋อเองก็ไม่คาดหวังให้เซี่ยเสี่ยวหลานเปลี่ยนแปลงแล้ว เธอมีสิทธิ์อะไรขอให้อีกฝ่ายเปลี่ยน? ขุนเขาและสายน้ำยังเปลี่ยนแปลงได้ ทว่ายากที่จะเปลี่ยนธรรมชาติของคน สำหรับวัยอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานนี้คงยืนยงถาวรแล้ว คนบางคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับเซี่ยเสี่ยวหลานยังคงสับสนหลงทางอยู่ ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีจุดยืนหนักแน่นเป็อย่างยิ่งแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานตัดสินใจเงียบ ไม่ชี้แจงต่อกวนฮุ่ยเอ๋อ
เพราะแรงกระแทกที่เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับนั้นรุนแรงมากทีเดียว
หากสลับกัน เป็เพราะโจวเฉิง ทำให้การงานหรือการเรียนของเธอพบอุปสรรค ต้องย่ำอยู่ที่เดิมสามปี อย่าว่าแต่ลุงของเธอเลย ต่อให้อัธยาศัยดีอย่างมารดาของเธอ จะไม่กล่าวโทษโจวเฉิงได้หรือ?
แม้ไม่ใช่เจตนาแท้จริงส่วนตัวของโจวเฉิง แต่ผลลัพธ์ภาพรวมได้เกิดขึ้นแล้ว ก็จะถือโทษโกรธเคืองเหมือนกันอย่างแน่นอน
นี่เป็เหตุผลที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่หันหลังกลับทันที เธอเคารพกวนฮุ่ยเอ๋อ และมิอาจโต้แย้งคำพูดของกวนฮุ่ยเอ๋อได้เลย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เซี่ยเสี่ยวหลานถึงเงยหน้าขึ้นมาถามกวนฮุ่ยเอ๋อ
“คุณน้าคะ ฉันสามารถทำอะไรเพื่อชดเชยได้ไหม?”
“ได้ ไปจากโจวเฉิงเสีย”
----------------------------------------
เวลาเปิดภาคเรียนของสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศส่วนใหญ่รวมกันอยู่ใน่ปลายเดือนสิงหาคมและต้นเดือนกันยายน วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งก็ไม่ต่างกัน
หวังเจี้ยนหัวลงทะเบียนเปิดเรียนเสร็จเรียบร้อย ก็มอบซองกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุเงินไว้จนเต็มให้หลิ่วซาน
“รุ่นพี่ สำหรับความช่วยเหลือที่คุณมีให้ผม ผมไม่รู้ว่าควรขอบคุณรุ่นพี่อย่างไรดี”
หลิ่วซานรับซองจดหมายมาอย่างสบายๆ “ระหว่างเพื่อนนักศึกษาก็ควรสามัคคีเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่ใช่รึ? ถ้าเธออยากขอบคุณฉันจริงๆ เลี้ยงฉันที่โรงอาหารสักมื้อเป็อย่างไร อย่าเข้าใจผิดนะ เธอเรียกแฟนเธอไปด้วยกันได้!”
หลิ่วซานมีนิสัยต่างกับเซี่ยจื่ออวี้
ถ้าจะแบ่งประเภทให้เธอจริงๆ เธอนั้นละม้ายคล้ายคลึงกับเซี่ยเสี่ยวหลาน มีอะไรก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ชอบก็คือชอบ ไม่มีทางขวยเขินดัดจริต
การอยู่กับเซี่ยจื่ออวี้คือความสบายใจ ส่วนการอยู่กับหลิ่วซานนั้น ดูจะเป็ความอิสระเสรี ผ่อนคลายไปทั่วสรรพางค์กาย... หลิ่วซานเหมือนเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าเธอได้รับการศึกษา ไม่ได้ ‘เ้าอารมณ์’ อย่างเซี่ยเสี่ยวหลาน
“กินที่โรงอาหารจะใช้ได้อย่างไร? คุณก็รู้ เงินนี่ผมไม่ได้ใช้ไปเฉยๆ มันช่วยทั้งครอบครัวพวกผมไว้มาก ตอนนี้พ่อของผมการงานแน่นอนมั่นคงแล้ว ท่านจึงอยากขอบคุณครอบครัวรุ่นพี่สักหน่อย แทนที่จะหาวันดีๆ ก็ไปเสียวันนี้เลยสิ ไม่รู้ว่าเย็นนี้ศาสตราจารย์กับภรรยามีเวลาว่างหรือเปล่า?”
หลิ่วซานถึงกับตะลึงงัน
จะขอบคุณเธอ แล้วเชิญครอบครัวเธอรับประทานอาหารเพื่ออะไร?
ถึงกระนั้นหลิ่วซานก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่านี่เป็เื่ดี เธอเผยรอยยิ้มอย่างยินดี
“ได้สิ ฉันจะกลับไปถามคุณพ่อดู ตอนบ่ายพวกเธอมีเรียนไม่เยอะสินะ เช่นนั้นตอนบ่ายฉันจะให้คำตอบเธอ”
เหมือนว่าพ่อของเธอต้องไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่ง?
ช่างเถอะๆ ธุระอย่างเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงนี่ สำคัญเท่ากินข้าวกับครอบครัวหวังเจี้ยนหัวที่ไหนกัน
ในใจของหลิ่วซานยินยอมพร้อมใจเต็มร้อย คำตอบที่ส่งต่อให้หวังเจี้ยนหัวในตอนบ่ายย่อมคือมีเวลาว่าง สถานที่รับประทานอาหารค่อนข้างน่าสนใจ ที่บ้านของหวังเจี้ยนหัวนั่นเอง หร่านซูอวี้เข้าครัวทำอาหารที่ถนัดหลายอย่างด้วยตัวเอง การปฏิบัติที่เซี่ยจื่ออวี้ยังไม่เคยได้รับ คนบ้านหลิ่วได้เพลิดเพลินกับมันแล้ว
แน่นอน ในความคิดของหร่านซูอวี้ เซี่ยจื่ออวี้และพ่อแม่ของเธอก็ไม่คู่ควรที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้อยู่ดี
บิดาของหลิ่วซานเป็ศาสตราจารย์ มารดาก็เป็รองศาสตราจารย์ที่สถาบันอุดมศึกษาอีกแห่งหนึ่ง ช่างเป็ตระกูลพหูสูตโดยแท้จริง
ด้านฐานะครอบครัวก็เหนือชั้นกว่าเซี่ยจื่ออวี้มากโข ถ้าจะพูดถึงความชอบที่มีต่อเจี้ยนหัว ใครตาไม่มืดบอดล้วนมองเห็นความรู้สึกที่หลิ่วซานมีให้หวังเจี้ยนหัวทั้งนั้น สำหรับความรักที่เซี่ยจื่ออวี้มีต่อเจี้ยนหัว? การที่เธอรู้ตัวและสมัครใจจากไปเองได้ต่างหากถึงจะเป็การช่วยเจี้ยนหัวแล้ว