“ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าตอนเช้ามีรถไฟขบวนไหนผ่านมาบ้างคะ”
เด็กสาวคนหนึ่งอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปีในชุดมอซอขาดวิ่น ใบหน้าแดงก่ำ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผากเนื่องจากวิ่งมา แววตาใสกระจ่างดุจลูกแก้วเอ่ยถามเ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟ
เด็กสาวคนนี้มีชื่อว่าเซี่ยโม่
วันนี้คือวันที่น้องชายของเธอ เซี่ยเฉินเฟิงถูกลักพาตัว เมื่อชาติที่แล้วเธอรู้เื่นี้ตอนกำลังจะเสียชีวิต แม่เลี้ยงให้คนพาน้องชายของเธอที่อายุเพิ่งจะห้าขวบมาทิ้งไว้ที่สถานีรถไฟแห่งนี้ และนับั้แ่นั้นเธอก็ไม่ได้ข่าวของน้องชายอีกเลย
แม้จะผ่านไปหลายสิบปี เธอก็ยังเอาแต่โทษตัวเองว่า ทำไมวันนั้นเธอถึงไม่พาน้องชายขึ้นเขาไปหาไม้มาทำฟืนด้วยนะ!
ขณะนั้นชายหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปี หน้าตาหล่อเหลา สวมชุดเ้าหน้าที่ของสถานีรถไฟเดินเข้ามา ชายหนุ่มมีดวงตาเฉียงขึ้นแลดูเหมือนพวกอันธพาล ซึ่งมันได้ไปทำลายบุคลิกสง่างามและสุภาพบุรุษของเ้าตัวจนหมดสิ้น หลังจากทราบว่าเด็กสาวผู้นี้้าจะทราบเื่ใด ชายหนุ่มรีบเก็บสีหน้าเรียบเฉย กล่าวอย่างกระตือรือร้นออกไปว่า “สาวน้อย เธอใจเย็นๆ ก่อนนะ”
เซี่ยโม่มองชายหนุ่มอย่างคาดหวัง ราวกับคนตรงหน้าคือผู้ช่วยชีวิตของเธอ
ชายหนุ่มกล่าวต่อว่า “เมื่อเช้าตอนแปดโมงสิบนาทีมีรถไฟผ่านมาหนึ่งขบวน จอดที่สถานีนี้แค่สามนาที แล้วอีกเดี๋ยวจะมีอีกขบวน ห้านาทีหลังจากนี้ถึงจะมีการตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ”
เซี่ยโม่เอ่ยถามออกไปอย่างร้อนใจ “ั้แ่แปดโมงสิบนาทีจนถึงตอนนี้ยังไม่มีรถไฟผ่านมาสักขบวนเลยหรือคะ”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ
เซี่ยโม่คำนวณเวลาอยู่ในใจ ตอนที่เธอออกจากบ้านน่าจะเป็เวลาประมาณแปดโมง
บ้านของเธอห่างจากสถานีรถไฟแห่งนี้สิบเอ็ดถึงสิบสองกิโลเมตร ชั่วเวลาสิบนาที ต่อให้บินมาก็ยังไม่ทันเลย
นั่นหมายความว่าน้องชายของเธอไม่ได้ถูกพาขึ้นรถไฟขบวนนั้น แต่น่าจะถูกพาขึ้นรถไฟที่กำลังจะมีการตรวจตั๋วในอีกห้านาทีข้างหน้า หลังจากใช้สมองคิดวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว เธอก็ได้คำตอบ
“พี่ชาย น้องชายของฉันถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไป กำลังจะถูกพาขึ้นรถไฟขบวนที่กำลังจะออกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ พี่ชายช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ” สีหน้าของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็เคร่งเครียดในทันใด สมัยนี้มีพวกจิตใจโเี้เช่นพวกค้ามนุษย์เยอะแยะมากมาย สถานีรถไฟแห่งนี้ก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง
“เธอไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันให้เพื่อนร่วมงานของฉันช่วย น้องชายเธออายุเท่าไร แล้วมีลักษณะพิเศษอะไรบ้าง”
เซี่ยโม่ตอบออกไปอย่างรวดเร็ว “น้องชายฉันอายุห้าขวบ สวมเสื้อเก่าๆ รูปร่างเล็กๆ ผอมๆ ค่ะ”
พูดถึงตรงนี้ั์ตาของเธอก็เริ่มแดงก่ำ
เธอนึกถึงคำพูดที่หวางลี่ลี่ แม่เลี้ยงชอบพูดให้ฟังบ่อยๆ ขึ้นมาว่า น้องชายของเธอไม่ค่อยชอบกินข้าว ตัวถึงได้เล็กและผอมแห้ง
น้องชายของเธอมักจะมีแววตาหวาดกลัว ทั้งยังพูดน้อยจนเป็นิสัย เห็นได้ชัดว่าถูกแม่เลี้ยงข่มขู่จนทำให้เป็คนขี้กลัว
เธอต้องตาบอดเป็แน่ถึงได้เชื่อคำพูดเหล่านี้ของหวางลี่ลี่
ชาตินี้ขออย่าให้เกิดเื่กับน้องชายที่น่าสงสารของเธอเลย
ชายหนุ่มรีบพูดในทันที “พวกเรารีบไปดูตรงทางขึ้นรถไฟเถอะ”
ทว่าเซี่ยโม่กลับเอ่ยอย่างกังวลใจว่า “พี่ชาย ฉันกลัวว่าพวกค้ามนุษย์จะขึ้นรถไฟโดยวิธีอื่น”
ชายหนุ่มเข้าใจในทันที
หมู่บ้านที่อยู่รอบๆ สถานีรถไฟ หลายแห่งเป็หมู่บ้านของผู้มีฐานะยากจน บางคนไม่มีจดหมายแนะนำ บางคนแอบข้ามรั้วกั้นขึ้นมาบนรถไฟ เ้าหน้าที่ที่อยู่ในสถานีก็ทำงานแบบหลับตาข้างลืมตาข้าง
ที่เด็กสาวคนนี้กล่าวมานั้นมีเหตุผล แต่ไม่นานเขาก็คิดแผนอะไรบางอย่างออก “งั้นเอาแบบนี้ เธอไปดูตรงทางเข้าที่มีการตรวจตั๋ว ส่วนฉัน ฉันพอจะทราบอยู่บ้างว่ารั้วตรงไหนมีช่องโหว่ ฉันจะพาเพื่อนไปดูที่นั่น รับรองไม่พลาดแน่นอน”
เซี่ยโม่แอบตำหนิชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ในใจ อีกฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่ารั้วมีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง แต่กลับแสร้งทำเป็มองไม่เห็น
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อยเื่พวกนี้
ไม่รู้ทำไมเหมือนกันเธอถึงรู้สึกเชื่อใจคนตรงหน้าเหลือเกิน
“ขอบคุณพี่ชายกับเพื่อนมากค่ะที่ช่วยเหลือ จบเื่นี้แล้วฉันต้องตอบแทนพี่อย่างแน่นอน”
“เกรงใจอะไรกัน รีบไปตามหาน้องชายของเธอเถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
เซี่ยโม่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร โดยเฉพาะคนแปลกหน้า ทว่าตอนนี้เธอไม่มีอะไรเลย ฐานะก็ยากจน บุญคุณครั้งนี้คงต้องรอหลังจากนี้ค่อยตอบแทนแล้ว
นับั้แ่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง จิตใจของเธอที่เต็มไปด้วยหวาดกลัวพลันรู้สึกปลอดภัยขึ้นเมื่อมีชายหนุ่มอยู่ด้วย ราวกับในที่สุดก็ได้เจอที่พึ่งพิง
ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปตามหา เธอวิ่งไปตรงทางขึ้นรถไฟ เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นก่อนที่ขบวนรถจะเคลื่อนเข้ามาจอดในสถานี ฝูงชนทยอยไปเข้าแถวเพื่อตรวจตั๋วขึ้นรถไฟ เธอยืนมองทุกคนที่กำลังต่อแถวตรวจตั๋วอย่างพิจารณาทีละคน
“ไม่มี…เป็ไปไม่ได้…”
ทันใดนั้นเองเธอเห็นผู้ใหญ่คนหนึ่งอุ้มเด็กชายอายุประมาณสี่ห้าขวบเอาไว้
เด็กชายซุกหน้ากับอกของผู้ชายคนนั้น เซี่ยโม่ไม่รู้จักผู้ชายที่อุ้มเด็กอยู่ เธออยากจะเห็นหน้าของเด็กคนนั้นเหลือเกิน แต่จนปัญญาที่เด็กชายไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
ครั้นเห็นผู้ชายคนนั้นกำลังเดินตรงไปที่จุดตรวจตั๋ว เธอพลันะโออกไป “เฉินเฟิง พี่สาวมารับแล้ว…”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก หากก็แฝงไปความเศร้าอยู่ในที เด็กชายที่ซุกหน้ากับอกของผู้ใหญ่ถูกเสียงนี้ปลุกให้ตื่น เซี่ยโม่เพ่งมอง เมื่อเด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าไม่ใช่น้องชายตัวเอง เธอรีบเลื่อนสายตาไปสำรวจผู้โดยสารคนอื่นทันที ยิ่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร คนที่เดินตรงไปจุดตรวจตั๋วก็น้อยลงเท่านั้น
เซี่ยโม่กระวนกระวายใจจนเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก หรือน้องชายของเธอจะถูกคนแอบพาข้ามรั้วแล้วขึ้นไปบนรถไฟ?
สมองของเธอหมุนคิดอย่างรวดเร็ว หากขึ้นรถไฟทางที่ตรวจตั๋วก็ต้องมีจดหมายแนะนำและต้องไปซื้อตั๋ว แต่หากข้ามรั้ว ไม่เพียงไม่เปลืองเงิน ทั้งไม่ต้องยุ่งยากอีกด้วย
คนที่พาตัวน้องชายของเธอมาไม่มีความจำเป็ต้องพาขึ้นรถไฟ แค่พามาทิ้งไว้ที่สถานี เพียงเท่านี้ก็ถือว่าทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว
ตามปกติคนคนนั้นไม่น่าขึ้นรถไฟทางช่องตรวจตั๋ว และไม่น่าออกจากรถไฟตามช่องทางปกติ อาจจะแอบข้ามรั้วเพื่อขึ้นลงรถไฟ คิดได้ดังนั้นท่าทีของเซี่ยโม่ร้อนใจกระวนกระวายขึ้นมาทันใด ไม่รู้ว่าพี่ชายคนเมื่อสักครู่ไปอยู่ไหนแล้ว เธอลืมถามชื่อเอาไว้เสียด้วยสิ
เธอะโขึ้นลงเพื่อมองหา และในที่สุดเธอก็เจอเ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นท่ามกลางผู้โดยสารมากมาย
เธอะโเรียกเสียงดัง “พี่ชาย ฉันอยู่นี่ หาเจอไหมคะ”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มเองก็กำลังหาเธออยู่เช่นกัน ครั้นได้ยินเสียงเธอ เขาก็กวักมือพร้อมเอ่ยเรียก “รีบตามฉันมา ฉันจะพาไปยืนยันตัว”
กล่าวเช่นนี้แสดงว่าหาเจอแล้ว ในใจเธอรู้สึกปีติยินดีอย่างยิ่ง รีบวิ่งตรงไปหาอีกฝ่าย
เ้าหน้าที่ตรวจตั๋วได้ยินเพื่อนร่วมงานซ่งมู่ไป๋กล่าวเช่นนี้ ชวนให้นึกว่าเด็กสาวคนนี้คือคนรู้จักของอีกฝ่าย
ได้ยินมาว่าซ่งมู่ไป๋คนนี้มีที่มาไม่ธรรมดา อีกฝ่ายย้ายมาจากเมืองหลวง ทุกคนที่นี่ล้วนให้ความเคารพ
เขาเองก็อยากผูกมิตรกับซ่งมู่ไป๋ เรียกอีกฝ่ายว่าพี่ใหญ่อย่างยำเกรง ดูไปแล้วเด็กสาวคนนี้น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับพี่ใหญ่ เขาเลยปล่อยให้ผ่านเข้าไปโดยง่าย
หลังจากเซี่ยโม่เดินผ่านจุดตรวจตั๋วเข้ามาแล้ว เธอชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ได้ซื้อตั๋ว เดินเข้ามาเช่นนี้ดูไม่ถูกต้อง
ทว่าชีวิตของน้องชายของเธอสำคัญกว่าเื่นี้มาก ชะงักเพียงครู่เดียวเธอก็ออกวิ่งต่อ
“พี่ชาย เป็อย่างไรบ้างคะ”
“รีบตามฉันมา พวกเรากักตัวผู้ใหญ่คนหนึ่งที่พาเด็กผู้ชายอายุประมาณห้าขวบมาด้วยเอาไว้แล้ว ไม่รู้ว่าจะใช่น้องชายของเธอไหม รีบตามฉันไปดูเถอะ”
เซี่ยโม่วิ่งตามพี่ชายผู้นี้ไปยังรั้วที่มีรูรั่วอยู่
ที่นั่นมีชายอายุประมาณสามสิบกว่า หน้าตาเนื้อตัวสกปรกมอมแมมกำลังอุ้มเด็กผู้ชายอายุประมาณห้าหกขวบเอาไว้
ชายคนนั้นอธิบายด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “คุณเ้าหน้าที่ เด็กคนนี้คือหลานของฉันเอง ฉันกำลังจะพาไปเยี่ยม… คือพวกเราไม่มีเงินจริงๆ เลยต้องมาแอบขึ้นรถไฟด้วยวิธีนี้ ฉันขอร้องละ ปล่อยพวกเราไปเถอะ…”
เซี่ยโม่มองเด็กชายในอ้อมแขนคนผู้นี้ ใจที่เคยร้อนรนของเธอพลันเย็นลง ก่อนจะเอ่ยอย่างผิดหวังว่า “ไม่ใช่…”
เวลานี้เองที่เ้าหน้าที่หนุ่มสองคนวิ่งเข้ามา “พี่ใหญ่ ทางเราก็หาไม่เจอเลยครับ”
ดูจากหน้าตาสองคนนี้แล้วอายุน่าจะมากกว่าพี่ชายที่ช่วยเธอตามหาน้องชายเสียอีก ใจของเธอเริ่มเต้นรัวแรง ดูท่าพี่ชายที่เธอเพิ่งรู้จักคนนี้น่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา
ก็อย่างว่า ชายหนุ่มที่มีออรามักจะเป็ัหงส์ในฝูงชน[1]
ทันใดนั้นเองเสียงหวูดสัญญาณรถไฟก็ดังขึ้นเป็จังหวะยาว “ปู๊นนน…” เหล่าพนักงานต้อนรับที่ยืนประจำชานชาลาเริ่มทยอยเก็บแท่นวางเท้า
เซี่ยโม่เอ่ยอย่างร้อนรนว่า “พี่ชาย น้องชายของฉันอยู่บนรถไฟ ทำยังไงดีคะ”
“เธอแน่ใจนะ?”
[1] ัหงส์ในฝูงชน หมายถึง เด่นสะดุดตากว่าใครทุกคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้