ขบวนเกียรติยศ ไม่ใช่ว่าฝึกซ้อมกันมาหลายเดือนแล้วหรอกหรือ
ให้นักศึกษาใหม่ปีหนึ่งเข้าร่วมกะทันหันตอนนี้ ไม่กลัวรูปขบวนยุ่งเหยิงรึ?
เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงครุ่นคิดอยู่ ในขณะที่คนอื่นตอบตกลงทันทีด้วยความประหลาดใจ
“พวกเราร่วมเดินขบวนเกียรติยศได้หรือคะ?”
อาจารย์ยิ้มกว้าง “ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเธอจะตามการฝึกซ้อมทันหรือเปล่า”
สมาชิกปีหนึ่งมีอยู่รวมห้าหกสิบคน จะทำพลาดได้อย่างไรกันเล่า ทุกคนต่างพากันพยักหน้ารับราวกับไก่จิกเมล็ดข้าว วันนี้วันที่ 28 แล้ว ยังเหลือเวลาอีกสามวันก่อนงานเฉลิมฉลองวันชาติ ทุกคนร่วมขบวนเกียรติยศได้จริงๆ หรือ? พวกเขาอยากให้อาจารย์ฝึกซ้อมเสียเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานมองนักศึกษาใหม่เหล่านี้ที่ถูกเรียกมา ผู้หญิงมีความสูงเฉลี่ยราว 165 เิเ หน้าตางามแฉล้มกันทุกคน
ส่วนมาตรฐานความสูงของนักศึกษาชายคือ 178 เิเ ทุกคนมีความสุูงอยู่ระหว่าง 178-183 เิเ เครื่องหน้าสมสัดส่วนดีเช่นกัน
รูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อสวย อีกทั้งไม่มีใครหลังงอ มิน่าทางมหาวิทยาลัยถึงได้คิดจะจัดพวกเขาไว้แถวแรกของขบวน ไม่้าให้ทุกคนทำอะไร แค่ปฏิบัติหน้าที่เป็หน้าตาของมหาวิทยาลัย?
เซี่ยเสี่ยวหลานมีการคาดเดาอยู่ในใจ นักศึกษาราวหกสิบคนที่ถูกเรียกมาด้วยกัน ไม่ต้องร่วมการฝึกทหารวันสุดท้าย สามารถกลับเข้าเมืองก่อนได้ทันที?
สาขาสถาปัตยกรรมมีเพียงเซี่ยเสี่ยวหลานกับหนิงเสวี่ยที่ถูกเลือก ทั้งสองจึงเก็บข้าวของของตน จากนั้นขึ้นรถของมหาวิทยาลัย
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีโอกาสกล่าวลาโจวเฉิงเป็การส่วนตัวด้วยซ้ำ!
หลังจากการเจรจาครั้งนั้นเป็ต้นมา ทั้งสองทำได้แค่ส่งตาเล็กตาน้อยให้กันเท่านั้น ไม่มีโอกาสพูดถึงท่าทีของคนตระกูลโจวแม้แต่น้อย เซี่ยเสี่ยวหลานไม่้าให้โจวเฉิงปะทะกับครอบครัวของเขาโดยตรง ในเมื่อครอบครัวของเขาเสนอข้อคิดเห็น ก็ควรลองแก้ไขดูสักตั้ง แต่การที่โจวเฉิงทะเลาะกับครอบครัวใหญ่โตเพื่อเธอ นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลาน้าเห็น เธอไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนละครแม่สามีลูกสะใภ้ คอยแต่วุ่นกับเื่ขี้ประติ๋วไร้แก่นสารพวกนี้ทั้งวัน
ถ้ามีแรงเหลือเฟือขนาดนั้น ทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือ เช่นการเข้าร่วมขบวนเกียรติยศ
และอีกอย่าง ใกล้จะถึงวันชาติแล้ว เมื่อเธอเดินทางถึงมหาวิทยาลัยคงต้องต่อสายโทรศัพท์หาใครหลายคนเชียวล่ะ
ติดต่อหาครอบครัวสักหน่อย
โทร. ไปถามสถานการณ์ของร้านค้าวัสดุที่เผิงเฉิง
และยังมีด้านเฉินซีเหลียง ชุดกีฬาสองพันชุดขายไปถึงไหนแล้ว วันที่ 1 ตุลาคมต้องจ่ายเงินค้างชำระก้อนสุดท้ายให้ทางโรงงานเสื้อผ้าแล้วน่ะสิ!
รถมหาวิทยาลัยแล่นโคลงเคลงผ่านถนนลูกรังข่งเจียจวง เซี่ยเสี่ยวหลานวางแผนเื่พวกนี้ในใจ จี้เจียงหยวนที่นั่งอยู่ในรถคันเดียวกันกำลังมองเธอ
สยฺงไป่เหยียนลดเสียงลงหยอกเย้าเขา
“ฉันว่านะ นายคงไม่ได้ชอบดอกไม้มหาวิทยาลัยแซ่เซี่ยจริงๆ ใช่ไหม เธอจีบยากจะตาย... เธอบอกนายว่ามีคนรักแล้วไม่ใช่รึ? ตอนเข้าเรียนมีคนมารายงานตัวเป็เพื่อน อีกทั้งยังขับรถจี๊ปติดทะเบียนกระทรวงเชียวล่ะ”
อันที่จริงจี้เจียงหยวนกำลังคิดถึงทักษะยิงปืนของโจวเฉิง เขาโปรดปรานการยิงปืน นานๆ ครั้งจะได้พบคนมีฝีมือโดดเด่นสักคน จึงยังไม่อาจคลายความตะลึงในเวลาอันสั้นได้
สยฺงไป่เหยียนเข้าใจผิด จี้เจียงหยวนก็ไม่อธิบายเช่นกัน เขาย้อนถามแทน “นี่นายไปฟังมาจากใครกัน ไร้สาระ ข่าวลือหยุดที่คนมีปัญญา ไม่ได้เห็นด้วยตาก็อย่าเผยแพร่ซี้ซั้ว ขนาดสิ่งที่ตาเห็นอาจไม่จริงเสมอไป นับประสาอะไรกับการฟังมาจากปากคนอื่น อีกอย่างนะ การเคารพความเป็ส่วนตัวของผู้อื่น คือมารยาทที่สุภาพบุรุษคนหนึ่งพึงมี”
สยฺงไป่เหยียนอ้าปากค้าง เขารู้ว่าจี้เจียงหยวนกลับมาจากอเมริกา มีนิสัยส่วนตัวบางอย่างที่ไม่เข้ากับสภาพสังคมภายในประเทศ
แต่คำพูดนี้ของจี้เจียงหยวนถูกต้อง เขากระจาย ‘ข่าวลือ’ เกี่ยวกับสหายเซี่ยเสี่ยวหลานลับหลัง เป็พฤติกรรมที่ไร้ซึ่งคุณธรรมจรรยายิ่งนัก
“ฉันผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่พูดอีกแล้ว!”
จี้เจียงหยวนรู้ดีกว่าใครทั้งนั้น แฟนหนุ่มที่ขับรถจี๊ปทะเบียนกระทรวงอะไรกัน คนรักของสหายเซี่ยเสี่ยวหลานคือครูฝึกโจวเฉิงต่างหากเล่า
ด้วยแนวทางการปฏิบัติที่อนุรักษ์นิยมภายในประเทศแบบนี้ ความเท็จจึงถูกกระจายออกไปอย่างผิดๆ และคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือสหายเซี่ยเสี่ยวหลาน
เมื่อกลับถึงมหาวิทยาลัย การฝึกซ้อมพิเศษก็เริ่มขึ้นทันที
กลางวันก็ซ้อม ตอนเย็นก็ซ้อม จัดพวกเขาเหล่านี้เข้าร่วมขบวนเกียรติยศที่วางรูปแบบเสร็จสมบูรณ์แล้ว สมาชิกเดิมจำนวนหนึ่งถูกเปลี่ยนตัวมาเป็ตัวสำรอง
นักศึกษาใหม่รุ่น 84 เหล่านี้ได้รับการคัดเลือกทั้งหมด เป็ไปตามการคาดเดาของเซี่ยเสี่ยวหลาน แถวแรกไม่ต้องถือแผ่นป้ายใด สิ่งที่ฝึกก็คือจะเดินขบวน อย่างไรเสียก็เหมือนความรู้ที่ตอนฝึกวิชาทหารสอนมากว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะมีเวลาว่างใช้โทรศัพท์ก็เป็เช้าวันที่ 30 กันยายนเข้าไปแล้ว
เธอต่อสายแรกไปยังร้านที่ซางตู ทว่ามารดาเธอกลับไม่อยู่
“แม่หลานไปรับสินค้าที่หยางเฉิงน่ะ ป้าฝากเขาแวะไปเยี่ยมลุงด้วย”
“ป้า ทำไมป้าไม่ไปเองล่ะ?”
“ให้แม่หลานไปบ่อยๆ หน่อย พอเขาคุ้นเคยกับที่นั่นแล้ว พวกเราสองคนจะสามารถผลัดกันไปได้”
หลี่เฟิ่งเหมยนึกถึงสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานเคยพูด อาจจะเปิดร้านสาขาในปักกิ่ง ดังนั้นในอนาคตร้านสาขาแห่งนี้ต้องให้หลิวเฟินไปดูแลอย่างแน่นอน หากหลิวเฟินไม่หมั่นเรียนรู้ตอนนี้จะไหวได้อย่างไร! หลี่เฟิ่งเหมยถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าอยู่ที่มหาวิทยาลัยเป็อย่างไร ทำความรู้จักกับเพื่อนนักศึกษาเป็อย่างไร เซี่ยเสี่ยวหลานแจ้งแต่ข่าวดี ทุกอย่างที่เธอบอกเป็เื่ดีทั้งสิ้น
อีกทั้งยังบอกว่าตนเองเพิ่งฝึกวิชาทหารจบ
“ไม่ลำบากไม่ลำบาก แต่ไหม้แดดนิดหน่อย ครึ่งเดือนก็กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ป้าอย่าเป็ห่วงเลย ทุกคนเขาต้องฝึกทหารกันหมด แค่ไปออกกำลังกายในค่ายทหารนิดหน่อยเอง... ถ้าบอกไปป้าคงไม่เชื่อแน่ โจวเฉิงคือหัวหน้าครูฝึกของพวกฉันล่ะ”
หลี่เฟิ่งเหมยรู้สึกวางใจโดยพลัน
โจวเฉิงห่วงใยเสี่ยวหลานจะตายไป ไม่มีทางปล่อยให้เสี่ยวหลานลำบากแน่นอน
พอเอ่ยถึงโจวเฉิง หลี่เฟิ่งเหมยก็เตือนเซี่ยเสี่ยวหลาน ‘ถ้าสุดสัปดาห์หลานมีเวลาว่าง ก็ไปเยี่ยมครอบครัวโจวเฉิงเขาหน่อยเถอะ คราวก่อนเจอผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว คนบ้านโจวเฉิงชอบหลานทีเดียวไม่ใช่หรือ? โจวเฉิงเขาไม่ได้อยู่บ้านตลอดทั้งปี หลานที่เป็คนรักก็ควรอยู่เคียงข้างครอบครัวแทนโจวเฉิงนะ...’
เซี่ยเสี่ยวหลานแอบถอนหายใจอยู่ในใจของตน พบกันครั้งแรกความประทับใจดีเยี่ยมก็จริง ไม่ใช่แค่คนตระกูลโจวรู้สึกต่อเธอ เธอเองก็เกิดความรู้สึกดีต่อคนตระกูลโจวเหมือนกัน
นอกจากโจวอี๋ที่มักพูดจาค่อนขอด ตระกูลโจวคนอื่นๆ ล้วนสุภาพมาก
ใครจะรู้ว่าสถานการณ์กลับเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ทันตั้งตัว เื่ที่เกิดขึ้นในหน่วยงานของโจวเฉิง ทำให้ตระกูลโจวเกิดท่าทีเคลือบแคลงและคัดค้านต่อความสัมพันธ์ของเธอกับโจวเฉิงทันที
ก่อนฝึกทหาร อันที่จริงเธอเคยคิดจะหาเวลาว่างไปบ้านโจวเช่นกัน พอเปิดภาคเรียนกวนฮุ่ยเอ๋อมาหาถึงมหาวิทยาลัย เซี่ยเสี่ยวหลานเขียนจดหมายให้โจวเฉิงก็ไม่ได้รับการตอบกลับ เธอยังจะมีหน้าไปบ้านโจวได้อย่างไร
ตอนนี้ลั่นวาจาแล้วว่าจะเป็แฟนสาวที่ได้มาตรฐาน ช่างท่าทีของคนตระกูลโจวก่อน เป็อย่างที่หลี่เฟิ่งเหมยเตือน เธอควรปฏิบัติตามมารยาทพื้นฐานให้ได้
แม้แต่ลูกค้าในชาติก่อนของเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็ต้องเอาใจถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเพื่อรักษาความสัมพันธ์ไว้เหมือนกันมิใช่หรือ
โจวเฉิงไม่เคยวางท่ากับคนในครอบครัวของเธอ ดังนั้นเธอควรใช้ทัศนคติแบบเดียวกันในการปฏิบัติตนต่อครอบครัวโจวเฉิงเช่นกัน
“ป้า ฉํนจำไว้แล้วน่า เอาตามป้าว่านั่นแหละ!”
ก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานวางสาย เธอเตือนหลี่เฟิ่งเหมยว่าต้องดูโทรทัศน์ในวันชาติ สถานีโทรทัศน์จะถ่ายทอดสดขบวนเฉลิมฉลอง
กลุ่มคนแน่นขนัดบนท้องถนน โอกาสที่จำเธอได้จริงนั้นน้อยมาก กล้องจะผ่านไปโดยเร็วอย่างแน่นอน แต่ประธานเซี่ยก็อดที่จะมีความรู้สึกเป็เกียรติและภาคภูมิใจเล็กๆไม่ได้—หากมองเห็นจริงๆ เป็ดังที่หยางหย่งหงกล่าวไว้มิใช่หรือ มีส่วนร่วมในงานเฉลิมฉลองวันชาติปี 84 ด้วยวิธีเช่นนี้ จะลืมไม่ลงเลยทีเดียว!
เซี่ยเสี่ยวหลานต่อสายที่สองไปยังหยางเฉิง เฉินซีเหลียงรับสายโทรศัพท์จากเธอ เสียงเหมือนมีคนกำลังออกแรงสูบหีบลม [1]
“คุณผู้หญิงเซี่ย บรรพบุรุษเซี่ย ในที่สุดเธอก็มีเวลาว่างใส่ใจธุรกิจของพวกเราสองคนแล้วสินะ? เธอรู้หรือเปล่า พรุ่งนี้ฉันจะต้องชำระเงินที่ค้างให้โรงงาน นี่เธอคิดว่ามันเป็ธุรกิจเล็กมูลค่าสองสามพันหยวนรึ เงินค้างชำระสองแสนสี่ ต้องใช้เวลานับเงินสักพักเชียวล่ะ—”
“เดี๋ยว ฉันจำได้ว่าพวกเราค้างชำระเงินกับเฉินอวี๋แค่หนึ่งแสนไม่ใช่หรือ สองแสนสี่หมื่นมันโผล่ออกมาได้อย่างไร?”
เฉินซีเหลียงที่เมื่อครู่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่านพูดจาตะกุกตะกักทันที
“...เธอฟังฉันอธิบายนะ”
เชิงอรรถ
[1]风箱 หีบลม คือ เครื่องมือสร้างแรงลมซึ่งเป็ทรงหีบและทำจากไม้ ใช้สูบลมปล่อยเข้าเตาไฟ อาจเป็เตาทำอาหารในครัวเรือนหรือเตาหลอมเหล็กก็ได้ ปัจจุบันมีคนใช้น้อยมากแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้