“ผม...ผม...”
ซ่งหานเจียงพูดไม่ออก เขารู้ว่าเขาไม่ใช่สามีและพ่อที่ดีนัก เขาทุ่มเทแรงใจทั้งหมดไปกับการศึกษา เขาขาดความเอาใจใส่ต่อครอบครัวและเขายังรู้อีกว่าบิดามารดาของตนนั้นไม่ชอบภรรยาและลูกๆ ของเขา ตอนแรกที่เขาพาลูกเมียกลับมาด้วยบิดามารดาก็ค้านหัวชนฝา ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาซย่านีไม่เคยบ่นถึงความทุกข์ยากภายในบ้านกับเขาเลย เขาจึงคิดมาตลอดว่าภรรยาและลูกๆ ต่างก็สุขสบายดี เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วภรรยาของเขานั้นเริ่มทนอยู่ที่บ้านหลังนี้ไม่ไหวอีกต่อไป เธอจึงวางแผนที่จะพาลูกๆ ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น
“บ้าน...บ้านเช่านั้น อยู่ที่ไหนหรือ?” ซ่งหานเจียงถาม
เฝิงหย่งหยิบจานมาหนึ่งใบ ตักแผ่นมันฝรั่งทอดออกจากกระทะแล้วกล่าวว่า “อยู่ใกล้ๆ กับโรงเรียนของเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางนั่นแหละ เดี๋ยวรอฉันกินข้าวเสร็จก่อน แล้วจะพานายไป”
ซ่งหานเจียงคว้าข้อมือของเฝิงหย่งพลางกล่าวว่า “คุณบอกที่อยู่มาเถอะ ผมจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง”
เฝิงหย่งสบตากับซ่งหานเจียง ั์ตาของชายหนุ่มตรงหน้าเต็มไปด้วยแววมุ่งมั่นและจริงจัง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “เอาเถอะ เดิมทีควรให้ซย่านีเป็คนบอกเื่นี้กับคุณเอง...”
หลังจากซ่งหานเจียงได้ที่อยู่ใหม่มาแล้ว เขาก็รีบตรงกลับบ้านทันที เพื่อไปเอาจักรยานของตนเอง
หวังซิ่วอิงได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในลานบ้านจึงแหวกม่านประตูออกมา เธอบังเอิญเห็นแผ่นหลังของซ่งหานเจียงพอดีจึงเดินตรงไปที่เขาสองก้าว แล้วเอ่ยถาม “นี่ หานเจียง มืดค่ำป่านนี้ ลูกจะไปไหนอีก มากินข้าวได้แล้ว!”
ซ่งหานเจียงไม่ได้ตอบอะไร เขาขี่รถจักรยานและหายลับออกไปจากประตูบ้านอย่างรวดเร็ว
หวังซิ่วอิงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “เ้าคนอกตัญญูเอ๊ย ฉันเลี้ยงดูมันโดยเปล่าประโยชน์มาหลายปีเลยจริงเชียว ในสายตาของมันตอนนี้คงจะมีแต่เมียมันเท่านั้นแหละ!”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นกัดหมั่นโถวไปหนึ่งคำแล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “ก็ไม่แน่หรอก ซย่านีหอบลูกของพี่รองหนีไปตั้งสามคนเลยนี่นา ไม่แน่ว่าพี่รองอาจจะไปตามลูกชายของเขากลับมาก็ได้?”
หวังซิ่วอิงใบหน้าหมองลงเธอหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วฝาดลงไปที่ศีรษะของซ่งเหม่ยอวิ๋น “ตอนกินข้าวก็หัดเงียบปากเสียบ้าง!”
ตอนนี้ซ่งเป่าเถียนเห็นลูกสาวเริ่มโตเป็ผู้ใหญ่แล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะแต่งงาน เขาก็เริ่มไม่ชอบใจซ่งเหม่ยอวิ๋นขึ้นมาบ้างเขากล่าวว่า “โจวเจี๋ย เธอรีบแนะนำผู้ชายให้เหม่ยอวิ๋นรู้จักสักคนสิแล้วก็จับเธอแต่งงานออกไปซะ จะได้มีต้องมาอยู่สร้างปัญหาที่บ้านทั้งวี่ทั้งวันแบบนี้!” แล้วเขายังกล่าวอีกว่า “ซุนซาน แกก็รีบตามน้องชายแกไปสิ มืดค่ำป่านนี้เขาจะไปหาคนที่ไหนได้อีก!?”
“ห้ะ? อ่อครับ” ซ่งซุนซานมีสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจนักแต่เขาก็ไม่กล้าขัดขืนคำพูดของซ่งเป่าเถียน เขาดื่มน้ำแกงในชามรวดเดียวจนหมดแล้ววางตะเกียบกับหมั่วโถวลงจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วตามน้องชายออกไป
ซ่งซุนซานขี่จักรยานไล่ตามไปเรื่อยๆ เมื่อเขาออกจากประตูบ้านก็ไม่เห็นเงาของซ่งหานเจียงในซอยบ้านแล้ว
“จะไปหาคนที่ไหนได้อีก?!” ซ่งซุนซานเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ในใจนึกโทษน้องสาวที่ก่อปัญหาขึ้นมา เขาได้แต่ก่นด่าน้องสาวกับน้องชายของตนที่เอาแต่ทำเื่เล็กให้กลายเป็เื่ใหญ่และน้องรองก็มีตาแต่หามีแววไม่
หลังจากวุ่นวายมาทั้งวันซย่านีก็เริ่มหิวขึ้นมาบ้างแล้ว พอส่งเซี่ยงเหมยกลับบ้าน ซย่านีก็เดินไปที่ห้องทางปีกตะวันตกเพื่อเรียกซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่มาทานอาหาร
เธอก้มลงไปอุ้มลูกชายคนเล็กขึ้นมา พอหันกลับมาเธอก็เห็นว่าซ่งวั่งซูดูท่าทางไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก เธอจึงเอ่ยถามลูกสาวขึ้นว่า “ลูกเป็อะไรไป? ทำไมถึงดูไม่มีความสุขเล่า?”
ซ่งวั่งซูจ้องมองซย่านีด้วยสายตาคาดหวัง “แม่คะ ตอนนี้พวกเราถือว่าย้ายบ้านกันแล้วใช่ไหม?”
ซย่านีเดินมาถึงลานบ้าน หาพื้นที่ว่างๆ ให้ลูกชายคนเล็กได้ปัสสาวะ แล้วจึงตอบลูกสาว “ใช่แล้ว เราย้ายบ้านกันแล้ว”
“พวกเราจะไม่กลับไปบ้านย่าอีกแล้วใช่ไหมคะ?”
“อืม ไม่กลับไปแล้ว”
“แต่ว่า...แล้วพ่อเล่า? พ่อเขาจะรู้ว่าพวกเราย้ายมาอยู่ที่นี่ไหมคะ?”
ซย่านีผิวปาก มิได้เอ่ยตอบอันใด
ซ่งวั่งซูยังคงกล่าวต่อว่า “วันนี้เป็วันอาทิตย์ ถ้าพ่อกลับบ้านมาแล้วไม่เจอพวกเราจะทำอย่างไรดี? แม่คะ เรากลับไปเรียกพ่อดีไหม?”
หลังจากที่ซิงซิงปัสสาวะเสร็จแล้ว ซย่านีก็ก้มลงเช็ดก้นและพันผ้าอ้อมให้เด็กน้อย ก่อนเธอจะหันไปพูดกับลูกสาวว่า “พ่อของลูกน่ะ ฉลาดจะตาย เขาจะหาพวกเราไม่เจอได้อย่างไร ป้าเซี่ยงเหมยกลับบ้านไปแล้ว เดี๋ยวป้าเขาก็คงจะบอกพ่อของลูกเองแหละว่าพวกเราอยู่ที่ไหนกัน”
ซ่งวั่งซูค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย เธอกล่าวกับมารดา “งั้นพ่อจะมาเมื่อไหร่คะ? ตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว พ่อน่าจะใกล้มาแล้วหรือเปล่า? ถ้าพวกเราไปกินข้าวกันแล้วพ่อมาไม่เจอพวกเราเล่า? หนูว่ารอพ่อก่อน แล้วค่อยไปกินข้าวกันดีไหมคะ?”
ซย่านีพูดไม่ออกเลยทีเดียว “…” ลูกสาวของเธอคนนี้ช่างเป็ลูกรักของพ่อจริงๆ เลยเชียว! ปกติซ่งหานเจียงก็ไม่ค่อยจะกลับบ้านเท่าไหร่ ทำไมเ้าลูกสาวถึงสนิทกับพ่อได้ขนาดนี้กันนะ? ปกติแล้วเด็กคนนี้ไม่ควรเป็เหมือนซ่งตงซวี่หรอกหรือ?
ซย่านีมองไปทางซ่งตงซวี่ เด็กคนนี้ไร้ความเอาใจใส่ผู้อื่น เมื่อได้ยินว่าต้องรอซ่งหานเจียงกลับมาก่อนถึงจะไปกินข้าวกันได้ เขาก็ไม่ยอมทันที “ไม่เอา ผมหิวแล้ว! แม่ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะนะ วันนี้ผมอยากกินปีกไก่เปรี้ยวหวาน! คราวก่อนผมได้ยินเพื่อนร่วมชั้นบอกว่า ปีกไก่เปรี้ยวหวานอร่อยมากเลยนะ ผมอยากกินปีกไก่เปรี้ยวหวาน!”
แน่นอนว่าครั้งนีซย่านียืนอยู่ข้างลูกชาย เธอกล่าวขึ้นว่า “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ น้องหิวแล้วนะ พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ เอาแบบนี้ดีไหม เดี๋ยวพวกเราเขียนข้อความทิ้งไว้ที่หน้าประตูก็แล้วกัน ถ้าพ่อเห็นเดี๋ยวเขาก็ตามพวกเรามาเองแหละ”
ซ่งวั่งซูตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจนัก “เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ...งั้นหนูไปเขียนข้อความก่อนนะ”
หลังจากที่ซ่งวั่งซูเขียนข้อความเรียบร้อยแล้ว ซย่านีก็พาพวกเด็กๆ เดินออกจากประตูบ้าน เมื่อลงกลอนประตูเสร็จซ่งวั่งซูก็มองไปทางซ้ายทีขวาทีเพื่อพยายามมองหาสถานที่ที่ลมจะไม่พัดกระดาษข้อความใบนั้นปลิวหายไป
ซย่านีกำลังอุ้มซิงซิงพลางยืนรอลูกสาวของตน ขณะนั้นเอง...
“ซย่านี?”
เสียงที่แสนคุ้นเคย...
ซย่านีหันหน้ากลับไปมอง
“พ่อ!” ซ่งวั่งซูรีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจและมีความสุขในคราเดียว เด็กสาวกอดเอวซ่งหานเจียงแล้วร้องะโอย่างตื่นเต้นดีใจ “พ่อ! พ่อ! พ่อมาแล้วจริงๆ!” เมื่อครู่แม่ไม่ได้โกหกเธอ พ่อมาหาพวกเราแล้วจริงๆ ด้วย!
ซ่งหานเจียงลูบหัวลูกสาวเบาๆ เขาลงจากรถจักรยานแล้วมองไปทางซย่านีอีกครั้ง “ซย่านี”
ซย่านีสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอคิดไม่ออกเลยว่าเวลานี้ตนเองยังจะพูดอะไรได้อีก! เอาเถอะ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว...
“เอาล่ะ พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”
ซย่านีเดินนำอยู่ด้านหน้า ส่วนซ่งหานเจียงก็จูงรถจักรยานตามอยู่ข้างหลัง เขาอ้าปากขึ้นหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะมีลูกอยู่ข้างๆ
เมื่อมาถึงร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซย่านีก็สั่งอาหารมาสามจานเหมือนกับตอนกลางวัน คราวนี้เธอไม่ได้สั่งข้าวแต่สั่งหมั่นโถวกับโจ๊กข้าวฟ่างมาสี่ชามแทน
ระหว่างรออาหารมาส่ง ซ่งวั่งซูก็พูดคุยกับซ่งหานเจียงอย่างมีความสุข เธอพูดคุยเกี่ยวกับเื่ที่โรงเรียนมากมายแล้วยังพูดว่า “แม่เก่งมากเลยนะคะ หลังจากที่แม่เรียนพินอินด้วยตนเองแล้ว ตอนนี้แม่ก็เริ่มหัดอ่านหนังสือเองได้แล้วด้วย แม่จำคำศัพท์ได้ร้อยกว่าคำเลยนะคะ อีกทั้งหนูยังถามคำถามเื่การบวกลบภายในหนึ่งร้อย แม่ก็ตอบถูกหมดเลยค่ะ!”
ซ่งหานเจียงดวงตาเป็ประกายขึ้นมา “จริงหรือ?” เขาหันไปมองซย่านีด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม “ซย่านี ผมคิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะยืนหยัดมาได้ขนาดนี้เลยจริงๆ”
ซย่านีถูกเขามองเช่นนั้น ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย เธอกล่าวตะกุกตะกักว่า “กะ...ก็...ก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้นนี่นา”
ซ่งหานเจียงยังชื่นชมซย่านีต่อไปว่า “สามารถยืนหยัดพากเพียรได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าเป็ก้าวแรกแห่งชัยชนะแล้ว แม้ว่าความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของคุณในสัปดาห์แรกจะช้าหน่อยแต่ผมเชื่อว่าคุณจะค่อยๆ ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างแน่นอน”
อยู่ๆ ซย่านีพลันพูดอะไรไม่ออก “…”
