"ทุกคนล้วนเป็คนในหมู่บ้านเดียวกัน เ้าไม่ต้องทำดีเกินไป ผัดผักสองจาน เนื้อหนึ่งจาน น้ำแกงหนึ่งชามก็พอแล้ว หากอาหารดีจนเกินไป วันข้างหน้าหากมีคนจะปลูกบ้านสร้างเรือนก็จะเอาที่เ้าทำให้มาเปรียบเทียบ เป็การมีปัญหากับผู้อื่นโดยใช่เื่"
นี่คือคำพูดของป้าหวัง
ป้าหวังใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวมาหลายปี เข้าใจคนในหมู่บ้านเป็อย่างดี หากชีวิตของทุกคนอยู่ในระดับเดียวกันไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบก็จะไม่มีผู้ใดพูดอะไร แต่เวลานี้ซ่งอวี้ทั้งซื้อทาส ทั้งซื้อที่ดิน แล้วยังจะปลูกบ้านสร้างเรือนอีก ชีวิตของนางรุ่งโรจน์กว่าทุกคนจึงยากที่จะเลี่ยงไม่ให้ผู้คนอิจฉาตาร้อน
ซ่งอวี้เม้มริมฝีปาก "พวกเขาทำงานให้ข้า แค่มื้อเที่ยงหนึ่งมื้อเท่านั้น ไม่จำเป็ต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้นกระมัง"
เดิมทีตามความคิดของซ่งอวี้ แม้จะสร้างเรือนหนึ่งเดือน ค่าอาหารหนึ่งเดือนจะเท่าใดกัน? ทำงานใช้แรงหากกินไม่อิ่มแล้วคนงานจะตั้งใจทำได้อย่างไร
แต่ความคิดของนาง ในสายตาของป้าหวังน่าขันเล็กน้อย
"เ้าอย่าคิดว่าคนในหมู่บ้านจะเป็คนดี หากวันนี้เ้านำอาหารดีๆ มากมายมาต้อนรับพวกเขา วันข้างหน้าพวกเขาจะเอาอาหารเหล่านี้เป็พื้นฐานรังแต่จะขอของดีๆ จากเ้ามากยิ่งขึ้น มนุษย์โลภมาก หลักการนี้เ้าไม่เข้าใจหรือ?" ป้าหวังพูดด้วยท่าทีที่เหมือนซ่งอวี้ไม่ได้ดั่งใจ
ตระกูลใดมีของดีๆ ล้วนต้องเก็บซ่อนเอาไว้ กลัวผู้อื่นรู้ เหตุใดปกติซ่งอวี้ฉลาดหลักแหลม แต่ในยามสำคัญเช่นนี้กลับผิดพลาดได้เล่า
ป้าหวังอธิบายหลักการให้ซ่งอวี้ฟัง "อีกอย่าง อาหารที่ข้าให้เ้าเตรียมก็มากมายพอแล้ว หากทำงานที่บ้านอื่น ให้เศษเนื้อสักชิ้นก็ถือว่าเป็อาหารที่ดีแล้ว จึงอย่าได้พูดถึงอาหารของเ้าที่เป็เนื้อทั้งจาน หรือว่ายังไม่พอให้พวกเขากิน?"
ซ่งอวี้ถูกเกลี้ยกล่อมจนยอม ไม่คิดอยากจะเตรียมอาหารมากมาย อย่างมากก็แค่เปลี่ยนจากน้ำแกงไก่มาเป็น้ำต้มกระดูกซึ่งก็มีรสชาติของเนื้อสัตว์ เพิ่มเห็ดหอมและต้นหอม รสชาติก็เอร็ดอร่อยแล้ว
สุดท้ายหลังจากยกน้ำต้มกระดูกไปที่โต๊ะ ซ่งอวี้เห็นทุกคนตักน้ำต้มกระดูกไม่หยุด นางเพิ่งรู้ว่าที่แท้คนยุคสมัยนี้ไม่คุ้นเคยกับการดื่มน้ำต้มกระดูก คนส่วนมากเมื่อได้กินก็ถามว่านี่คือน้ำแกงอะไร
ต้องรู้ว่าในโลกยุคปัจจุบันมีสูตรอาหารบำรุงร่างกายมากมายซึ่งโดยมากล้วนเกี่ยวข้องกับกระดูก หากกินเป็ประจำทุกวันจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก อีกทั้งไม่มีเนื้อติดกระดูก ดังนั้นจึงราคาถูกมาก กระดูกสามชิ้นเพียงสิบอีแปะเท่านั้น
"นี่คือน้ำต้มกระดูก วัตถุดิบหลักคือกระดูกหมูเท่านั้น หากพวกเ้ารู้สึกอร่อย ไปซื้อที่ร้านขายเนื้อหมูได้ กระดูกสามชิ้นราคาเพียงสิบอีแปะเท่านั้น เก็บไว้ทานได้นาน อีกทั้งน้ำต้มกระดูกนี้ดีต่อร่างกาย โดยเฉพาะเด็กเล็ก หากกินเป็ประจำทุกวันจะสูงเร็วทั้งยังป่วยน้อย"
ตอนซ่งอวี้ทานอาหาร นางอธิบายประโยชน์ของน้ำต้มกระดูกให้ทุกคนฟัง ทุกคนถึงกับดวงตาทอประกายโดยเฉพาะสองประโยคหลัง
ในชนบทไม่มีน้ำมัน เด็กส่วนมากล้วนขาดสารอาหาร ผู้ใหญ่ในเรือนต่างรู้ดีแต่ก็จนปัญญาเพราะฐานะทางการเงินมีจำกัด
ลองคิดดูเล่า หลายครอบครัวมีเพียง่เทศกาลตรุษจีนเท่านั้นที่จะทำใจซื้อเนื้อหมูมากินสักครึ่งกิโล เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าคุณภาพชีวิตของพวกเขายากลำบากเพียงใด
แต่เวลานี้ หลังจากซ่งอวี้บอกประโยชน์ของน้ำต้มกระดูกให้ทุกคนฟัง กระดูกสามชิ้นราคาเพียงสิบอีแปะ แม้จะเป็คนที่ยากจนที่สุดก็พอจะเค้นเงินออกมาซื้อได้
"น้องซ่งอวี้ สิ่งที่เ้าพูดเป็ความจริงหรือ? น้ำต้มกระดูกดีจริงๆ หรือ?" หนึ่งในบุรุษถือถ้วยแล้วพูดกับซ่งอวี้อย่างมีความหวัง
ซ่งอวี้พยักหน้า "ทุกคนต่างรู้ดี ข้าเป็หมอ ข้ามีความรู้เื่เหล่านี้เป็อย่างดี ยกตัวอย่าง ทุกคนล้วนเลี้ยงหมู หากอยากจะให้หมูโตเร็วและตัวอ้วน ต้องให้พวกมันกินแกลบมากๆ เพราะเหตุใด? เพราะในแกลบมีสารอาหารที่พวกหมู้า พวกหมูกินแล้วจึงอวบอ้วน ในน้ำต้มกระดูกมีสารอาหารที่ดีต่อเด็ก เด็กดื่มแล้วช่วยให้ตัวสูงและกำยำ ร่างกายแข็งแรง"
ถึงแม้การเอาหมูมาเปรียบเทียบกับเด็กจะไม่ชวนฟังเท่าใดนัก คล้ายว่าจะเป็คำพูดหยาบคายทว่ามีเหตุผล ทุกคนฟังแล้วก็เข้าใจทันที พวกเขาตัดสินใจว่า เมื่อกลับถึงเรือนจะเอาเื่นี้ไปบอกภรรยา จะซื้อกระดูกหมูให้ลูกๆ กิน
เพราะเื่นี้่บ่ายทุกคนจึงทำงานด้วยความขยันขันแข็งมากยิ่งขึ้น ไม่มีผู้ใดโอดครวญว่าเหนื่อยและไม่มีผู้ใดบอกว่าจะพัก
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าน้ำต้มกระดูกได้ผลจริงตามที่พูดหรือไม่ แต่พวกเขาซาบซึ้งในน้ำใจของซ่งอวี้จากใจจริงแล้ว
"น้องซ่ง เ้าช่างรู้มากจริงๆ ไม่แปลกที่พวกลูกๆ ของข้าตัวเล็ก ที่แท้ก็ขาดที่เ้าบอก สารอาหารอะไรนั่น"
วันนี้เป็วันแรก ซ่งอวี้จึงไม่ได้กลับไปโขลกสมุนไพรของนาง นางอยู่ในที่ก่อสร้างคอยเติมน้ำให้ทุกคนเสมอและยื่นอิฐให้เป็ครั้งคราวด้วย
เหตุเพราะคำพูดเมื่อตอนกลางวันทุกคนจึงชื่นชอบซ่งอวี้เป็อย่างมาก ความเหินห่างในอดีตจางหายไปแล้ว ตอนจิบน้ำก็ส่งยิ้มและพูดคุยด้วยเป็ครั้งคราว
"ลูกของท่านอายุเท่าใด หรือว่าจะให้โตเป็บุรุษตัวใหญ่เหมือนพวกเราในชั่วพริบตาเช่นนั้นหรือ?" บุรุษอีกคนหนึ่งพูดขึ้น ทุกคนต่างก็หัวเราะ
บุรุษที่พูดหยอกล้อเช็ดเหงื่อ เขาเองก็หัวเราะ เวลานี้ลูกของเขาเพิ่งอายุห้าขวบ ยังไม่ซูบผอม
ซ่งอวี้ฟังแล้วใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เทียบกับบรรยากาศร้อนระอุรอบๆ แล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หรงจิ่งเห็นภาพนี้ผ่านหน้าต่าง หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมากะทันหัน เขาเอามือทาบอกโดยไม่อาจหักห้าม แต่กลับไม่รู้ว่าตนจะทำอะไร พูดอะไร นานพักใหญ่ เขาก็พูดพึมพำเสียงเบา "มีน้ำต้มกระดูกหรือไม่?"
"น้ำต้มกระดูกอะไรกัน?" ตอนซ่งอวี้เดินเข้ามา นางได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีจึงเอ่ยถาม
เสียงของซ่งอวี้ขัดจังหวะความคิดของหรงจิ่ง เขาหันไปมอง เม้มปากเป็เส้นตรง "เมื่อครู่แม่นางบอกว่าน้ำต้มกระดูกดีกับร่างกาย โดยเฉพาะเด็ก แม่นางรู้ได้อย่างไร"
เสียงของหรงจิ่งเค้นถามอย่างไม่รู้ตัว หลังจากพูดไปแล้วเขาค่อยนึกขึ้นได้ว่าซ่งอวี้ไม่ใช่บริวารของเขา จึงรีบเปลี่ยนคำพูด "ไม่เคยมีผู้ใดบอกมาก่อนว่าน้ำต้มกระดูกดีกับร่างกาย มีเพียงแม่นางเท่านั้นที่พูดเช่นนี้ ข้าจึงแปลกใจ"
พูดจบเขาก็ลอบอุทานในใจว่าเกือบไปแล้ว เกือบเปิดเผยตัวตนแล้ว
ซ่งอวี้ไม่ได้สงสัยเพราะถึงอย่างไรเมื่อครู่ตอนที่นางเพิ่งพูดนั้นชาวบ้านต่างก็สงสัย ด้วยเหตุนี้นางจึงเล่าสิ่งที่ตนเองรู้ให้เขาฟังอย่างละเอียด "ร่างกายของมนุษย์มีสารอาหารที่ร่างกายจำเป็ต้องใช้ หากไม่มีสารอาหารเหล่านี้แล้วร่างกายจะล้มป่วย ในกระดูกมีคุณประโยชน์เล็กน้อย นำไปต้มกับน้ำ เมื่อกินทุกวันเป็เวลานาน ร่างกายก็จะแข็งแรงขึ้น"
หลักการนี้ช่างแปลกใหม่ยิ่งนัก หรงจิ่งนึกสนใจขึ้นมาทันทีจึงเอ่ยถาม "คุณประโยชน์ที่แม่นางพูดถึง เหตุใดจึงมีผลลัพธ์เช่นนี้? อธิบายให้ฟังได้หรือไม่?"
"เอ่อ...." ซ่งอวี้ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้