ลานประลองเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ผู้รับผิดชอบงานประลองสำนักยุทธ์ในครั้งนี้คือผู้าุโใหญ่พรรคเทียนจี เฉินเซี่ยงเทียน
เฉินเซี่ยงเทียนค่อนข้างมีฐานะในพรรคเทียนจี หัวหน้าพรรคเทียนจีจึงให้ความสำคัญ ทั้งยังเคยได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลกิจกรรมหลายงานของสำนักยุทธ์ งานประลองปลายปีนี้ก็ยังได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบอีกครั้ง เห็นชัดว่าเฉินเซี่ยงเทียนมีอิทธิพลมากเพียงใดในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ขณะนั้นเห็นเฉินเซี่ยงเทียนลุกขึ้นยืน แหงนหน้ามองพระอาทิตย์พร้อมกับมีแสงจ้าปะทุออกจากดวงตา
“ได้เวลาแล้ว งานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเริ่ม ณ บัดนี้!” เฉินเซี่ยงเทียนประกาศ เสียงนี้ทำให้ผู้คนตาเป็ประกาย พวกเขารอคอยเวลานี้มานาน ในที่สุดก็จะได้ประลองฝีมือกับอัจฉริยะคนอื่น ๆ แล้ว
“งานประลองสำนักยุทธ์ครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อทดสอบความก้าวหน้าของเหล่าศิษย์ใน่หนึ่งปีที่ผ่านมา การประลองของศิษย์ขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่จะดำเนินไปพร้อมกัน โดยแบ่งเป็สองเขตการประลอง แข่งกันสามรอบ สุดท้ายสิบอันดับแรกจะได้จัดอยู่ในอันดับสุดท้ายในรายนามขั้นบ่มเพาะกายาและรายนามขั้นรวมชี่ การประลองรอบแรก ทุกคนจะถูกส่งไปที่แดนมายา จากขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่จะมีคนผ่านแค่ 2,000 คนเท่านั้น รวมเป็ 4,000 คน เริ่มได้ ณ บัดนี้!” เสียงของเฉินเซี่ยงเทียนดังกังวานทั่วลานประลอง ทำให้ทุกคนต่างชะงักนิ่ง
“คนนับหมื่นนับแสนเข้าแดนมายา แต่สุดท้ายมีแค่ 4,000 คนเท่านั้นที่จะได้ผ่านเข้ารอบที่สอง การคัดออกเช่นนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!” ผู้คนคิดในใจ มีบางคนเริ่มไม่เชื่อมั่นในพลังตนและเผยสีหน้าเคร่งเครียด จากหลายแสนคนแต่มีเพียง 4,000 คนที่จะได้ผ่านเข้ารอบ การคัดออกเช่นนี้สามารถเห็นได้ถึงความโหดร้ายของการประลองรอบนี้
ขณะนั้นมีหลายเงาร่างลุกขึ้นจากที่นั่งตนไปยังใจกลางลานประลอง ก่อนจะเข้าแถว ซึ่งมีสองแถว แบ่งเป็ขั้นบ่มเพาะกายาและขั้นรวมชี่ ในนั้นมีตู๋กูหลง นี่จ้านเทียน เฉินอ้าวเทียน เว่ยจี้ และอัจฉริยะคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าสุดของแถว
จู่ ๆ เหล่าผู้าุโสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเดินลงจากอัฒจันทร์ พร้อมกับถืออาวุธหนึ่งชิ้นในมือ ทั้งยังปลดปล่อยแสงแห่งมายาออกมา จากนั้นผู้าุโเหล่านี้เข้าประจำตำแหน่งแต่ละที่ในลานประลอง เพื่อเตรียมสร้างแดนมายาสำหรับการประลองให้กับเหล่าศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียน
“ผู้าุโเฉิน ข้าลู่เจียงมาสาย หวังว่าท่านจะอนุญาตให้ข้าเข้าร่วมการประลองรอบแรก” ขณะนั้นลู่เจียงและพวกของเขาเดินมา เย่เฟิงและฉินเยียนหรานก็มาเช่นกัน เฉินเซี่ยงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ขณะมองลู่เจียงก็พูดขึ้นว่า “หากมีครั้งต่อไป ข้าจะไม่ให้โอกาสเ้าอีก เข้าประจำตำแหน่งตัวเองเสีย!”
ในฐานะผู้าุโใหญ่ที่ดูแลงานประลองครั้งนี้ น้ำเสียงของเฉินเซี่ยงเทียนจึงดูน่าเกรงขามและดุดัน
“ขอบคุณผู้าุโเฉิน” ลู่เจียงโค้งคำนับให้เฉินเซี่ยงเทียนที่อยู่บนอัฒจันทร์หลัก จากนั้นเหลือบมองเย่เฟิงเวบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปเข้าแถวฝั่งขั้นรวมชี่พร้อมกับสหายของเขา ส่วนเย่เฟิงเหยียดยิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินตามไป หากไม่ใช่เพราะมีเื่กับพวกลู่เจียง เขากับฉินเยียนหรานไม่มีทางมาสายได้
“ช้าก่อน!” พวกเย่เฟิงยังไม่ทันเข้าแถวฝั่งขั้นรวมชี่ ก็ได้ยินเสียงของเฉินเซี่ยงเทียนดังขึ้น “พวกเ้าเป็ใคร? ยังไม่ได้รับอนุญาตจากข้า แต่คิดจะเข้าเขตการประลองโดยพลการหรือ?”
ในขณะที่เฉินเซี่ยงเทียนพูด เย่เฟิงที่ก้มหน้าอยู่ก็ได้เงยหน้าขึ้น ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาปรากฏแก่สายตาของผู้คน เมื่อเฉินเซี่ยงเทียนเห็นเย่เฟิงก็นิ่งอึ้งไปก่อนกล่าวว่า “เ้าคือเย่เฟิง เ้ายังไม่ตายหรือ!”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตะลึงงันขณะมองเย่เฟิงอย่างไม่วางตา “เป็ไปได้อย่างไร เย่เฟิงถูกสัตว์อสูรเขมือบกินในคลื่นสัตว์อสูรเมื่อหลายสิบวันก่อนไม่ใช่หรือ? แต่บัดนี้เย่เฟิงกลับปรากฏตัวที่นี่ นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ หรือว่านั่นจะเป็ผี?”
ผู้คนค่อย ๆ เห็นใบหน้าของเย่เฟิงอย่างชัดเจนและแต่ละคนดูตื่นตระหนกมาก นั่นเพราะเย่เฟิงเป็อัจฉริยะของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน การตายของเขาจึงดึงดูดความสนใจจากเหล่าผู้คนมากเป็พิเศษ แม้แต่ข่าวที่เขาถูกสัตว์อสูรเขมือบกินก็ยังได้ยินกันเกือบทุกคน ทั้งยังมีคนบางส่วนเห็นกับตาตัวเอง ไหนเลยจะเป็ข่าวปลอม? ทว่าเย่เฟิงตัวเป็ ๆ กลับปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ครั้งนี้พวกเขาไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ทางฝั่งขั้นรวมชี่ จงเทาต้องหน้าซีดเผือด สองมือเช็ดตาตัวเองไปมา เพราะไม่อยากเชื่อว่านี่เป็ความจริง เมื่อหลายสิบวันก่อนเขาเห็นกับตาตัวเองว่าเย่เฟิงถูกวานรสุวรรณเขมือบกิน ตามหลักแล้วเย่เฟิงไม่มีทางรอดชีวิตกลับมาได้อย่างแน่นอน
“จงเทา เ้าบอกว่าหมอนี่ตายแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?” จ้าวเฉินอ๋องเล็กที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามจงเทา
“ตอนนั้นหมอนี่ถูกสัตว์อสูรกลืนกินจริง ๆ ตายแล้วจนตายไม่ได้อีก บัดนี้ฟื้นจากความตาย ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าผิดพลาดตรงจุดไหน” จงเทาเผยสีหน้าไม่สู้ดี
“เลิกสับสนได้แล้ว ในเมื่อมันไม่ตาย เช่นนั้นก็รอเวลาฆ่ามัน!” จ้าวเฉินกล่าวด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าในสายตาเขา การฆ่าเย่เฟิงเป็เพียงเื่ง่าย ๆ ไม่ต่างจากปอกกล้วยเข้าปาก
“อ๋องเล็กพูดถูก ไว้ขึ้นเวทีประลองข้าจะฆ่ามันด้วยมือของข้าเอง” ดวงตาของจงเทาส่องประกายแสงแห่งความชั่วร้าย แม้แต่แผนอันแยบยลของเขาก็ยังฆ่าเย่เฟิงไม่ตาย จำต้องพูดว่าเย่เฟิงคนนี้ดวงแข็งยิ่งนัก แต่นั่นแล้วอย่างไรเล่า วันนี้คือวันงานประลองสำนักยุทธ์ เขาจะต้องฆ่าเย่เฟิงให้จงได้
เฉินอ้าวเทียน ตู๋กูหลง และนี่จ้านเทียนที่อยู่ด้านหน้าของแถวขั้นรวมชี่ต่างมองเย่เฟิงด้วยสายตาเยือกเย็นแฝงด้วยจิตสังหาร พวกเขาได้ยินข่าวที่เย่เฟิงถูกสัตว์อสูรเขมือบกินแล้ว แต่เย่เฟิงก็ยังไม่ตาย ไว้ขึ้นเวทีประลองเมื่อไร พวกเขาจะทำให้เย่เฟิงต้องเสียใจที่ยังมีชีวิตอยู่
ทางฝั่งพรรคเทียนเสวียน หลาย ๆ คนเห็นเย่เฟิงไม่ตายก็ดูดีใจกันมาก เยว่กู่พยักหน้าไม่หยุด คนที่เขาสนใจไม่มีทางตายง่ายขนาดนั้น
“ศิษย์น้องเย่เฟิงยังไม่ตาย ช่างดียิ่งนัก!” เฉิงเฟยกล่าวด้วยความดีใจพลางยิ้มกว้าง
“ศิษย์น้องเย่เฟิงไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอก ครั้งนี้เขาต้องทำคะแนนได้ไม่เลวเป็แน่ กระทั่งมีความหวังที่จะได้ไปอยู่ในรายนามขั้นรวมชี่ด้วย” ฉู่หานที่อยู่ข้าง ๆ เฉิงเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาเห็นเย่เฟิงกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีใจเป็อย่างมาก
หนานกงหลิงซวงมองเงาร่างนั้นด้วยแววตาสับสน โดยเฉพาะเมื่อเห็นเย่เฟิงมากับฉินเยียนหรานที่เป็ถึงหนึ่งในสองหญิงงามแห่งสำนักยุทธ์ ในใจของนางก็เกิดความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้
“ไม่ว่ายังไง สุดท้ายเขาก็ทัดเทียมเฉินอ้าวเทียนไม่ได้อยู่ดี” หนานกงหลิงซวงคิดในใจ นางยังคงแน่วแน่ว่าสิ่งที่นางเลือกไม่ผิด
“ทำไม? ผู้าุโเฉินนึกว่าข้าตายแล้วงั้นหรือ? หรือว่าเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบวันก่อนจะเกี่ยวข้องกับผู้าุโเฉินด้วย?” เย่เฟิงได้ยินคำพูดของเฉินเซี่ยงเทียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเช่นนั้นโดยไม่สนใจว่าเฉินเซี่ยงเทียนจะจัดการเขาอย่างไร
“ไร้สาระ! คนโอหังอย่างเ้าถูกสัตว์อสูรเขมือบกินแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” เฉินเซี่ยงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าไม่ค่อยดี พร้อมกล่าวต่อ
“การประลองรอบแรกเริ่มแล้ว คนที่ยังไม่เข้าสนามหมดสิทธิ์เข้าร่วม เ้าก็ด้วย ออกไปซะ อย่ามารบกวนงานประลอง!”
“ท่านให้ข้าออกไปงั้นหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เป็เพราะตัวเ้ามีคุณสมบัติไม่ถึงเกณฑ์ของการประลอง อย่าโทษคนอื่น ออกไปได้แล้ว อย่าทำตัวไม่มีมารยาท!” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวเสียงเย็น โดยเขาไม่คิดจะให้โอกาสเย่เฟิง
“น่าขัน!” เย่เฟิงมองเฉินเซี่ยงเทียนด้วยสายตาดูแคลน “ข้าสองคนมาที่นี่พร้อมกับลู่เจียง แต่ท่านปล่อยลู่เจียงเข้าไปได้ เหตุใดพวกเรากลับเข้าไม่ได้?”
“ลู่เจียงเขาคือผู้ฝึกยุทธ์รายนามขั้นรวมชี่ เป็กำลังหลักในบรรดาศิษย์สำนักยุทธ์ ส่วนเ้ามีอะไร? แล้วมีสิทธิ์อะไรมาเทียบเคียง?” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม
“มาสายก็คือมาสาย แต่เหตุใดท่านต้องแบ่งฐานะชนชั้น ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ หากข้าได้เป็ผู้ฝึกยุทธ์รายนามขั้นรวมชี่ ข้าก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองใช่หรือไม่?” เย่เฟิงเอ่ยถาม
“ใช่ แต่ว่าเ้าไม่ใช่ไง จะมาพล่ามไร้สาระอยู่ที่นี่ทำไมกัน?” เฉินเซี่ยงเทียนกล่าวพลางแสยะยิ้มราวกับว่าเขาให้โอกาสเย่เฟิง
“งั้นก็ดี ท่านเป็คนพูดเองนะ!” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นผู้คนเห็นเขาหันไปมองชายหนุ่มคนหนึ่งในแถวขั้นรวมชี่ ก่อนจะเดินไปหาคนผู้นั้นด้วยย่างก้าวมั่นคงราวกับเชื่อมั่นในตนเองเป็อย่างมาก ซึ่งชายผู้นี้เป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 10 ในรายนามขั้นรวมชี่ มีนามว่าเฉินอ้าวิ
“หมอนี่คิดจะทำอะไรน่ะ?” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างแปลกใจ และไม่เข้าใจว่าเย่เฟิงกำลังจะทำอะไร
“เ้า ไสหัวออกมาซะ!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองเฉินอ้าวิ ทำให้เฉินอ้าวิชะงักไปเล็กน้อยและเผยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร เขาถูกท้าทายต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ มันช่างขายหน้ายิ่งนัก
“เย่เฟิงคนนี้บ้าไปแล้วหรือ ท้าเฉินอ้าวิต่อหน้าผู้คน ทำเฉินอ้าวิขายหน้าชัด ๆ เขาจะต้องจ่ายค่าชดใช้มหาศาลเป็แน่!” ผู้คนต่างใจเต้นโครมคราม เฉินอ้าวิเป็อัจฉริยะแห่งตระกูลเฉิน อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 3 มีพร์โดดเด่น ฐานะในตระกูลเฉินไม่ถือว่าต่ำต้อย เพียงแต่แสงเกียรติยศของเขาถูกเฉินอ้าวเทียนบดบัง จึงดูไม่เฉิดฉายมากถึงเพียงนั้น
หากไม่เอ่ยถึงเฉินอ้าวเทียน เฉินอ้าวิผู้นี้นับว่าเป็อัจฉริยะที่โดดเด่นมาก ๆ คนหนึ่ง ถึงอย่างไรอันดับที่ 10 ในรายนามขั้นรวมชี่ไม่ใช่ว่าจะคว้ามาได้ง่าย ๆ สิ่งนี้จึงเพียงพอที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเฉินอ้าวิได้
“เย่เฟิงคนนี้วู่วามมาก แม้เขาจะอยู่ขั้นรวมชี่แล้ว แต่ก็น่าจะห่างชั้นกับเฉินอ้าวิอยู่ไม่น้อย ท้าอีกฝ่ายซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ เป็การรนหาที่ตายชัด ๆ” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งคิดในใจ เพื่อให้ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการประลองรอบแรก เย่เฟิงผู้นี้ไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของตัวเอง
“เ้าพูดกับข้าหรือ?” เฉินอ้าวิแอบชื่นชมในความใจกล้าของเย่เฟิง ในเมื่อกล้าท้าเขา ก็ทำได้เพียงบอกว่าเย่เฟิงรนหาที่ตาย
“เ้ากับข้ามาสู้กัน เพราะข้า้าแทนที่เ้าในรายนามขั้นรวมชี่!” เย่เฟิงกล่าวขณะมองเฉินอ้าวิ เย่เฟิงเปิดเผยความบ้าคลั่งของตนอย่างไม่ลังเล เพราะในเมื่อมีคนบีบคั้นให้เขาบ้า เช่นนั้นเขาก็จะบ้าให้สุด
“วาจาโอหัง!” เฉินอ้าวิได้ยินเช่นนั้นก็เหยียดยิ้ม เขาเป็ถึงผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 10 ในรายนามขั้นรวมชี่ เขาจะไม่มีความมั่นใจได้อย่างไร?
“เ้าโง่ ข้าจะทำให้เ้าได้รู้ว่า ความอวดดีของเ้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมากแค่ไหน!” เฉินอ้าวิกล่าวพลางแสยะยิ้ม ในขณะเดียวกันพลังปะทุออกจากร่างเขาและมีพลังทำลายล้างแผ่ออกมาจากฝ่ามือของเขา จากนั้นเขาซัดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงอย่างไม่ลังเล พลอยทำให้ห้วงอากาศสั่นคลอนไปด้วย และด้วยฝ่ามือนี้ ทุกสิ่งราวกับต้องพังพินาศย่อยยับ!