“จับสตรีงามไปหมดเลยหรือ? คุณหนูเวินซี ต้องระวังตัวนะขอรับ” ต้วนจิงเย่พูดอย่างเป็กังวล
เวินซีเงยหน้าขึ้นมองเขา ตอบรับไปเบาๆ แล้วทานอาหารต่อ
นางไม่เป็ห่วงตนเอง แต่กังวลว่าเมื่อต้วนจิงเย่ถอดหน้ากากออกมาจะถูกเข้าใจว่าเป็สตรีที่โดนพาตัวไปต่างหาก
เพราะเขาเป็ถึงบุรุษที่งามที่สุดในใต้หล้า เขาคงจะดึงดูดใจผู้คนได้มากกว่านาง
“สืออี คืนนี้เ้าต้องปกป้องคุณชายต้วนให้ดี” เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็เงยหน้าสั่งสืออีอีกครั้ง
“ขอรับ คุณหนูเวินซี” สืออีตอบอย่างเคร่งขรึม
เสี่ยวเอ้อที่คอยสังเกตอยู่ไม่ไกลเห็นว่าพวกเขาทานอาหารบนโต๊ะหมดแล้ว ก็เดินเข้ามาอย่างนอบน้อม แล้วถามด้วยความเคารพ “พวกท่านพอใจกับอาหารของเราหรือไม่ขอรับ?”
“พอใจมาก พาเรากลับห้องพักเถิด” จ้าวต้านมีสายตาเ็า เขาวางถ้วยและตะเกียบลงบนโต๊ะ
“พวกท่านทั้งสี่เชิญตามข้าน้อยมาขอรับ”
เสี่ยวเอ้อชี้ไปที่บันได เมื่อเวินซีและคนอื่นๆ เริ่มลุกขึ้นเดิน เขาก็อยู่ขนาบข้าง คอยพูดนำทางตลอด
บนชั้นสาม หลังจากที่ผ่านทางเดินกลางแจ้งที่ดูคร่ำคร่าและทางเลี้ยวสามครั้ง เสี่ยวเอ้อก็พาพวกเขามาถึงทางเดินที่ห่างไกล ที่ตั้งของห้องพักนั้นเงียบสงัด
“ท่านทั้งสี่ขอรับ สองห้องนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อหยุดอยู่ที่มุมห้อง
ทั้งสองห้องมีประตูอยู่ตรงข้ามกัน พวกเขาจึงเปิดประตูห้อง
กลิ่นหอมสดชื่นค่อยๆ ลอยออกมา เวินซีชะโงกหน้าเข้าไปดูด้านใน
สิ่งแรกที่เห็นคืออ่างอาบน้ำที่มีน้ำร้อนใส่ไว้ให้แล้ว ยังมีควันร้อนๆ ลอยอยู่
โต๊ะที่อยู่ในห้องล้วนทำมาจากไม้หงมู่ที่มีราคา มันส่องประกายภายใต้แสงไฟ บนโต๊ะมีธูปหอมจุดอยู่ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งห้อง
เตาผิงกำลังลุกโชน ทั้งห้องมีเพียงความอบอุ่น เมื่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างที่แง้มอยู่เล็กน้อยจะสามารถมองเห็นป่าไผ่ได้
เป็สถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่หาได้ยากจริงๆ
“ข้าไม่รบกวนทั้งสี่ท่านแล้วขอรับ หาก้าสิ่งใดสามารถเรียกข้าได้เสมอนะขอรับ คืนนี้ข้าอยู่ในร้านทั้งคืน” เสี่ยวเอ้อบอกพวกเขา เมื่อไม่มีอันใดแล้วก็วิ่งกลับลงไปที่ชั้นล่าง
เมื่อเห็นว่าร่างของเขาลับสายตาไป เวินซีก็ก้าวเข้าไปในห้อง
นางเดินไปที่ธูปหอมซึ่งเป็เป้าหมายอย่างแรก เปิดมันออก และนำเครื่องหอมด้านในออกมาก่อนจะดับธูป เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีความผิดปกติใดจึงพูดกับสืออีและต้วนจิงเย่
“เข้าห้องไปแล้วอย่าลืมดับธูปหอมเสีย ด้านในใส่ยานอนหลับไว้ หากสูดดมมากอาจจะไม่ตื่นขึ้นเลยตลอดคืน”
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนขอรับ” สืออีกล่าว
“กลับไปพักผ่อนเถิด”
“ขอรับ”
สืออีและต้วนจิงเย่กลับห้องของตน หลังจากที่พวกเขาปิดประตู จ้าวต้านก็เข้าไปในห้องแล้วลงกลอนประตู
“วันนี้เหนื่อยมากสินะ เ้าไปอาบน้ำล้างตัวเถิด ข้าจะเฝ้ายามให้ วางใจได้ ข้าจะไม่แอบมอง” เขาเดินไปข้างกายเวินซีแล้วเอ่ยเบาๆ
“ท่านอาบก่อนเถิด ข้าจะผสมยาให้ ท่านจะได้สบายขึ้นหน่อย”
“หากเนี่ยนหานกู่ตื่นตัวมาก ข้าจะฝังเข็มให้หลังอาบน้ำ”
หลังจากการเดินทางอันยาวนาน เวินซีก็ััได้ถึงความเยือกเย็นจากร่างกายของเขา รวมถึงลมหายใจที่หนักขึ้น
“ไม่มีอันใดหรอก ข้าเพียงรู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยจากภายในร่างกายเท่านั้น ไม่มีปัญหามากหรอก” เมื่อจ้าวต้านได้ยินความกังวลของนาง แววตาของเขาก็สั่นไหว มุมปากโค้งขึ้นอย่างควบคุมมิได้
เขาควบคุมตนเองมาตลอดทาง ไม่ได้เผยให้เห็นถึงความทรมานใดๆ แต่นางก็ยังสังเกตเห็น นี่แสดงถึงความใส่ใจที่นางมีต่อเขาได้หรือไม่นะ...
มิใช่เพียงเขาผู้เดียวที่ตกหลุมรักนาง
“เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ” เวินซีไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอันใด จึงตอบด้วยเสียงนิ่ง
นางใส่ยาลงในอ่างอาบน้ำสองสามเม็ด เมื่อรอจนยาละลายหมดแล้วจึงเดินไปใกล้เตียงนอนพลันดึงผ้าม่านลง
ม่านสีแดงห้อยลงมา กั้นทั้งสองออกจากกัน แต่มิอาจปิดเงาร่างของทั้งสองได้ทั้งหมด
เวินซีหันหลังให้อ่างอาบน้ำ และนั่งลงบนเตียง
นางหยิบตำราหมื่นพิษออกมา ท่องมันอย่างละเอียด
เสียงน้ำกระเพื่อมดังเข้ามาในหู บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ ความสนใจของนางกลับเบนไปอีกทางทันที ในสมองมีเพียงภาพที่จ้าวต้านนั่งอยู่ภายในอ่างอาบน้ำ
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย บังคับให้ตนเองอ่านตำราต่อ แต่ก็ยังมิอาจบังคับความคิดได้เช่นเดิม ภาพที่อยู่ภายในหัวยิ่งลึกล้ำเกินพรรณนา
มีเสียงน้ำดังขึ้นอีกครั้ง เนื้อหาภายในตำรามิได้อยู่ในสายตาของนางอีกต่อไป นางปิดตำราลง ดับเทียนที่หัวเตียงพลันนอนลงบนเตียง
เดิมทีนางเพียงแค่จะหลับตาเพื่อกำจัดภาพในหัว แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานก็ทำให้หลับไปโดยไม่รู้ตัว
ครึ่งชั่วยามต่อมา น้ำภายในอ่างก็ค่อยๆ เย็นลง
จ้าวต้านยืนขึ้นและก้าวออกจากอ่าง หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็เดินออกมาเบาๆ ไปที่ข้างเตียง เมื่อเห็นเวินซีหลับไปแล้ว เขาจึงดับตะเกียงทั้งห้องลง
อีกห้องหนึ่ง ต้วนจิงเย่กำลังเขียนอักษรอยู่บนโต๊ะ
ส่วนสืออีไม่มีความสนใจในเื่พวกนั้น จึงนั่งพิงกำแพงที่อยู่ข้างหลังต้วนจิงเย่ แล้วขัดเช็ดเครื่องประดับของตน
ทั้งสองคนมิได้รู้สึกง่วงนอนแต่อย่างใด
“สืออี เ้าคิดว่าคุณหนูเวินซีเป็คนเช่นไรหรือ?” หลังจากที่กระดาษของเขามีคำว่า ซี ปรากฏขึ้นอย่างควบคุมมิได้ ต้วนจิงเย่ก็พลันขมวดคิ้วแล้ววางพู่กันลง
“ใจดีมีเมตตา เด็ดขาด รักจริงชังจริง ข้าเดินทางมาทั่วใต้หล้า ไม่เคยพบเจอสตรีคนใดเป็เช่นนางเลยขอรับ” สืออีตอบได้อย่างชัดเจน
“นางเป็สตรีที่แปลกจริงๆ” ต้วนจิงเย่มองคำว่าซีก็ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสง่างาม “สืออี เ้ารู้หรือไม่ว่าแม่ทัพต้านกับคุณหนูเวินซีรู้จักและพบรักกันได้เช่นไร? “
“ข้าเคยได้ยินเวินเยียนพูดว่า แม่ทัพต้านมีบุญคุณต่อคุณหนูเวินซี จึงทำให้นางอยู่ข้างกายเขาขอรับ”
“เช่นนั้นทั้งสองมิได้ชอบพอกันหรือ?”
“มิใช่เช่นนั้นขอรับ คุณหนูเวินซีกับแม่ทัพต้านต่างให้ความสำคัญแก่กันมาก พวกเขายอมเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือกันมาหลายครา”
“ให้ความสำคัญ มิได้หมายความว่าจะรักกันนี่ สืออี เ้าเคยเห็นพวกเขาสองคนออกไปเที่ยวเล่นด้วยกันหรือไม่? เคยพูดคำหวานกันอย่างสามีภรรยาหรือไม่?”
“มิเคยขอรับ” เมื่อได้ยินต้วนจิงเย่เอ่ยเช่นนั้น สืออีก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีความรู้สึกต่อกัน ที่นางแต่งงานกับแม่ทัพต้านก็เพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้น” จิตใจที่มัวหมองของต้วนจิงเย่ใน่ที่ผ่านมา พลันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครา
“ที่คุณชายต้วนถามเช่นนี้ หรือว่าคุณชายจะมีใจให้คุณหนูเวินซีหรือ?” น้ำเสียงของสืออีจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“ใช่” ต้วนจิงเย่ไม่คิดจะปิดบังสืออี เขายอมรับตรงๆ
“คุณชายต้วน แม้คุณหนูกับท่านแม่ทัพจะไม่มีความรักต่อกัน แต่พวกเขาก็เป็สามีภรรยา ท่านสำรวมตัวเถิดขอรับ” สืออีเอ่ยเตือนอย่างเคร่งขรึม
“การเลือกภรรยาของแม่ทัพต้าน ใช่ว่าเขาจะสามารถตัดสินใจได้เองเสียหน่อย อีกอย่างเขากับสตรีนางหนึ่งในเมืองหลวงนั้นได้หมั้นหมายกันแล้ว ทั้งสองรักใคร่กันมาก หากมิใช่เพราะเื่ในครานี้ ทั้งสองก็คงได้สมรสครองรักกันไปนานแล้ว”
“...” สืออีเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เื่นี้เขาก็เคยได้ยินมาเช่นกัน สตรีที่จ้าวต้านได้หมั้นหมายไว้ก็มีตัวตนไม่ธรรมดา...
“ข้าหลงรักคุณหนูเวินซีั้แ่แรกพบ หากได้แต่งงานกับนาง ข้าจะรักและเทิดทูนนางเพียงผู้เดียว ข้ามิได้มีตำแหน่งสูงศักดิ์เหมือนแม่ทัพต้าน แต่ก็สามารถให้ชีวิตที่ร่ำรวย ให้นางอยู่อย่างสบายได้ทั้งชีวิต ข้ายังให้ความเป็อิสระแก่นางได้อีกด้วย ข้าจะท่องเที่ยวไปกับนาง” ต้วนจิงเย่พูดพลางคลี่ยิ้ม อักษรซีเบื้องหน้าของเขากลายเป็หน้าเวินซี
เขาหมายปองนางั้แ่วันที่นางออกหน้าช่วยในวันนั้น จากนี้ไปเขา้านางเพียงผู้เดียว
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นของต้วนจิงเย่ สืออีก็มิได้ห้ามปรามใดๆ อีก
เพราะว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว หากคนในร้านเห็นตะเกียงในห้องยังติดอยู่จะสงสัย สืออีจึงดับไฟทุกดวงในห้อง หลังจากนำผ้าห่มคลุมหมอนแล้ว เขากับต้วนจิงเย่ก็หลบอยู่ในมุมห้องที่ไม่เป็ที่สังเกต