ทำไมเป็บ้าแล้วต้องมาหาเื่เซี่ยเสี่ยวหลาน เซี่ยเสี่ยวหลานรู้เพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น ส่วนอีกหนึ่งสาเหตุทังหงเอินไม่เคยบอกให้เธอทราบ
เพราะทังหงเอินอับอายเกินกว่าจะพูดออกไป
สาเหตุนั้นคือจี้หย่าคิดว่าที่ทังหงเอินออกหน้าแทนเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็เพราะเขาชอบพอในตัวเซี่ยเสี่ยวหลาน หรือไม่ก็หลิวเฟินแม่ของเซี่ยเสี่ยวหลาน
ถ้าไม่ใช่เด็กสาวหน้าตาสะสวยอย่างเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็คงเป็แม่ของเด็กสาวคนนั้น คำพูดของจี้หย่าทำให้ทังหงเอินรู้สึกเดือดดาล และเขาก็ไม่ได้ปิดบังความโกรธ เพียงแต่คนตระกูลจี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความโกรธของเขาแม้แต่น้อย
เพราะหากให้ความสำคัญ ตระกูลจี้ก็คงไม่ปล่อยให้จี้หย่าไปตามรังควานเซี่ยเสี่ยวหลานถึงหัวชิงซ้ำสอง
หลังทังหงเอินรู้เื่นี้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้าเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยซ้ำ
ถ้าไม่สะสางเื่นี้ให้เรียบร้อยคงเสียแรงที่เซี่ยเสี่ยวหลานเรียกเขาว่า ‘คุณอาทัง’ มาตั้งนานน่ะสิ
หลังจากนั้นตระกูลโจวก็ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
ตระกูลโจวไม่รู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกับทังหงเอินรู้จักกัน และตอนแรกทังหงเอินเองก็ไม่รู้จักตระกูลโจวด้วยเช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานมีแฟนอยู่คนหนึ่ง ทว่าทังหงเอินไม่เคยเจอโจวเฉิงมาก่อน ดังนั้นเขาย่อมไม่เคยติดต่อกับตระกูลโจว... พอตระกูลโจวยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวกับเื่นี้ เื่ราวก็เปลี่ยนไปในทิศทางใหม่ ตระกูลจี้ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องยอมแพ้ หากพวกเขาเป็คนยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างแท้จริง ตอนนั้นคงไม่บอกให้จี้หย่าหย่าร้างกับเขาเช่นนั้น แม้ปากจะพูดจาแข็งกร้าวแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เป็พวกขี้ขลาดเท่านั้น
ตระกูลจี้เลือกที่จะยอมแพ้กับเขา นั่นนับว่าเป็วิธีการที่ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร
อยากประนีประนอมกับเขา เพื่อให้เขาออกหน้ารับแรงกดดันจากตระกูลโจวแทนอย่างนั้นหรือ?
ทังหงเอินลอบส่ายหน้าในใจ ตระกูลจี้ช่างโลกสวยเสียจริง
หลังเื่มีความคืบหน้า เขาถึงบอกเื่นี้ให้เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับรู้
เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมรู้สึกโกรธจัด แม่ของเธอเป็คนซื่อตรงเสียขนาดนั้น แม่ของเธอไม่กล้าแม้แค่จะสบสายตากับทังหงเอินตรงๆ ด้วยซ้ำ สองคนนี้ถูกเข้าใจผิดเช่นนี้ได้อย่างไร?!
ช่างเป็การคาดเดาที่ชั่วร้ายเหลือเกิน ที่แท้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่เธอแค่คนเดียว แต่ยังรวมถึงหลิวเฟินแม่ของเธออีกด้วย
“คุณอาทัง คุณอาคิดว่าทำแบบนี้เหมาะสมไหมคะ”
หลิวเฟินมีนิสัยแบบไหน เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าคงไม่เหมาะที่จะลากเธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเื่นี้ด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานเรียนหนังสืออยู่ที่ปักกิ่ง มักแจ้งเฉพาะข่าวดีกับที่บ้านอยู่เสมอ ความจริงชีวิตที่ปักกิ่งของเธอหาได้ราบรื่นดั่งที่เธอเล่าให้ที่บ้านฟัง แค่มาเรียนมหาวิทยาลัยกลับไม่ต่างอะไรกับการอยู่สนามรบ อย่างไรก็ตามเซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้สึกหวาดกลัว เธอไม่เคยยอมแพ้ต่อชะตาชีวิต นี่คือสิ่งที่เธอยึดมั่นมาโดยตลอด
เซี่ยเสี่ยวหลานมีความอดทนสูง เพราะประธานเซี่ยเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนในชาติที่แล้ว
ไม่มีเื่ไหนน่าใไปกว่าการนอนหลับแล้วตื่นมาอยู่ในร่างของ ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ อีกคน ซึ่งเป็คนในยุค 80 อีกแล้ว
ฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ แต่กลับต้องมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เื่แบบนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังรับได้ ดังนั้นกับแค่อุปสรรคเล็กน้อยพวกนี้ สำหรับเธอไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร
ทว่าหลิวเฟินนั้นต่างออกไป เซี่ยเสี่ยวหลานอยากให้แม่ของตนใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่ซางตู ทำธุรกิจเล็กๆ จากนั้นค่อยมาเปิดร้านสาขาที่ปักกิ่ง สองแม่ลูกจะได้พบหน้ากันบ่อยครั้งขึ้น ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่หากให้หลิวเฟินต้องมาเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย หลิวเฟินคงปรับตัวไม่ได้อย่างแน่นอน
ทังหงเอินยิ้ม
“เธอเคยบอกว่าอยากเปิดร้านสาขาที่ปักกิ่งไม่ใช่หรือ ถ้าฉันเดาไม่ผิดร้านนี้เธอคงเปิดให้แม่ของเธอสินะ เธอคิดว่าหลังแม่เธอเดินทางมาที่ปักกิ่งแล้วพบว่า ที่จริงแล้วชีวิตมหาวิทยาลัยของเธอไม่ได้ราบรื่นเหมือนกับที่เธอเคยเล่า แบบนั้นมันเหมาะสมแล้วหรือ?”
หลิวเฟินไม่ได้รับการศึกษาที่ดี
หากพูดถึงระดับสติปัญญาย่อมเทียบกับเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ติดแม้แต่นิดเดียว
หากพูดถึงความสามารถรอบด้าน สมัยจี้หย่ายังสาวเธอนั้นโดดเด่นกว่าใครหลายคน
ทังหงเอินไม่มีเพื่อนสนิทเพศหญิง แต่เขาเคยเจอผู้หญิงที่เก่งกาจมาไม่น้อย และทุกคนล้วน ‘ยอดเยี่ยม’ ตามค่านิยมของบริบทสังคมในปัจจุบัน
ทว่าหลิวเฟินไม่มีสักอย่างที่กล่าวมา แต่ทังหงเอินรู้สึกว่าหลิวเฟินมีคุณสมบัติอันดีงามของผู้หญิงชาวจีนที่สืบสานกันมานานหลายพันปี... เธอมีจิตใจดีและเรียบง่าย ทนรับความลำบากได้ และมีความแน่วแน่ หญ้าริมทางที่ไม่สะดุดตา ถูกผู้คนเหยียบย่ำซ้ำไปซ้ำมา ผู้คนอาจไม่เคยสังเกตเห็น และถึงแม้มันจะถูกเหยียบจนใบหักครึ่ง แต่หลังฝนตก ก็กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
แม้ดอกไม้จะร่วงโรย แต่ต้นหญ้ายังคงอยู่
ใครแข็งแกร่งกว่าใคร ไม่อาจมองจากเปลือกนอก พื้นเพครอบครัว หรือความสามารถพิเศษเท่านั้น
หลิวเฟินไม่เคยัักับสังคมที่เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว แต่อนาคตเซี่ยเสี่ยวหลานมีแต่จะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหลิวเฟินจะเลี่ยงไปได้ตลอดหรือ?
เื่อื่นยังไม่เท่าไร แต่หากเซี่ยเสี่ยวหลานแต่งงานเข้าตระกูลโจวจริง ชาตินี้หลิวเฟินจะไม่ไปหาสู่กับครอบครัวลูกเขยเลยหรือ?
หากหลิวเฟินมาเปิดร้านที่ปักกิ่งและจี้หย่าเกิดเป็บ้าขึ้นมาอีกครั้ง จี้หย่าจะทำให้หลิวเฟินใจนรับมือไม่ถูกหรือเปล่า
สิ่งที่ทังหงเอิน้าสื่อคือ เทียบกับการปล่อยให้หลิวเฟินเผชิญหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว สู้ให้คำเตือนกับเธอไว้ก่อนเสียจะดีกว่า
ทังหงเอินเป็คนมีวาทศิลป์และจับประเด็นสำคัญเก่งมาก ทุกประโยคของเขาล้วนทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจเถียงกลับได้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของเขา
“แม่ของเธอเข้มแข็งกว่าที่เธอคิด และมีความคิดเป็ของตัวเองด้วยเช่นกัน”
ครั้งก่อนทังหงเอินถามหลิวเฟินว่า หากอดีตสามีกลับมาติดต่อกับเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้งจะทำอย่างไร คำตอบของหลิวเฟินช่างน่าสนใจยิ่งนัก
หลิวเฟินจิตใจดีและเรียบง่าย แต่กลับไม่บอกว่าจะ ‘ให้อภัย’ ดังนั้นทังหงเอินคิดว่าหลิวเฟินไม่ใช่คนไร้สติ
ทังหงเอินรู้สึกขอบคุณและชื่นชมในตัวหลิวเฟิน ขอบคุณสำหรับการดูแลของหลิวเฟิน และชื่นชมที่เธอมีอุปนิสัยที่ดี เขาเห็นความเป็สตรีชาวจีนที่สมควรเอาเยี่ยงอย่างจากในตัวเธอ
แน่นอนว่ากับเซี่ยเสี่ยวหลาน ทังหงเอินก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน เขารู้สึกเอ็นดูเด็กสาวคนนี้ ขณะเดียวกันเขาก็ชื่นชมในความเฉลียวฉลาดและขยันหมั่นเพียรของเธอเหลือเกิน
ดังนั้นพอจี้หย่าพูดจาเหลวไหลเช่นนั้น ทังหงเอินจึงรู้สึกโมโหมาก จี้หย่าดูถูกเหยียดหยามเขาไม่เป็ไร ทว่าดันลากเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินมาข้องเกี่ยวด้วย หากหลิวเฟินกับเซี่ยเสี่ยวหลานใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาผู้ชายคนอื่นเขาคงไม่รู้สึกโมโหมากขนาดนี้ แต่พวกเธอพึ่งพาตัวเองมาโดยตลอด สมควรได้รับความเคารพและการให้เกียรติมิใช่หรือ
สุดท้ายเซี่ยเสี่ยวหลานก็พยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่คุณอาบอกเถอะค่ะ!”
เป็เธอที่คิดผิดไปเอง แม่ของเธอกล้าตามเธอออกจากบ้านเซี่ย กล้าขอหย่าร้าง การให้แม่มานั่งรับคำขอขมาจากจี้หย่ามีอะไรให้ต้องกังวลกัน?
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานอยากให้แม่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ก็ไม่ควรทำให้หลิวเฟินเป็เพียงของประดับข้างกาย แต่เธอต้องทำให้หลิวเฟินเติบโตขึ้น แต่หากไม่ให้เผชิญหน้ากับปัญหา แล้วจะเติบโตได้อย่างไร!
—--------------------------------------------
“จะให้แม่ไปปักกิ่งหรือ?” หลิวเฟินเองก็คิดถึงลูกสาวมากเช่นกัน ทั้งที่เพิ่งเจอกันตอนไปเผิงเฉิงเมื่อไม่นานมานี้
แต่การเรียกเธอไปปักกิ่งอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้หลิวเฟินรู้สึกประหลาดใจ
“จะไปก็ไปได้เลย ที่ร้านมีฉันคอยดูแลอยู่ เธอไปเยี่ยมเสี่ยวหลานเถอะ!”
ตอนนี้หลี่เฟิ่งเหมยคิดได้แล้ว หาเงินได้แต่ไม่ใช้แล้วจะมีประโยชน์อะไร หลังหลิวเฟินกลับจากปักกิ่ง หลี่เฟิ่งเหมยตั้งใจว่าจะไปเผิงเฉิงอีกสักรอบ สามีทำงานหาเงินอยู่ต่างถิ่น จะปล่อยให้เจอหน้ากันแค่ปีละครั้งได้อย่างไรกัน จิ้งจอกสาวคราวก่อนหลอกล่อหลิวหย่งไม่สำเร็จก็จริง แต่นั่นก็ทำให้หลี่เฟิ่งเหมยระวังตัวขึ้นมาก เธอตัดสินใจแล้วว่าจะให้เอาใจใส่ผู้ชายของตนให้มากขึ้น คนอื่นจะได้ไม่จ้องตาเป็มัน
ย่าอวี๋ได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเรียกหลิวเฟินไปปักกิ่ง ก็คิดในใจว่าต้องมีเื่ผิดปกติเป็แน่
“ฉันไม่เคยไปปักกิ่งมาก่อน ขอไปด้วยได้หรือเปล่า คิดเสียว่าสงสารคนแก่อย่างฉันเถอะนะ อีกไม่นานก็จะตายแล้ว ยังไม่เคยไปถวายดอกไม้ให้ท่านประธานเหมาเลย”
ย่าอวี๋เป็หญิงชรานิสัยแข็งกร้าว แต่พอขอร้องสิ่งใดขึ้นมา หลิวเฟินย่อมไม่อาจหักใจปฏิเสธเธอได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเถอะค่ะ”
ทว่าหญิงชราอายุมากแล้ว จะนั่งรถไฟก็คงลำบากเกินไป
หายากที่หลิวเฟินจะเรียกร้องอะไรจากลูกสาว เธอถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าจะสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินสักสองใบได้หรือไม่
เื่นี้ไม่ต้องให้เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ผู้ลงมือจัดการ เนื่องจากทังหงเอินสามารถหาตั๋วเครื่องบินสองใบให้หลิวเฟินได้อย่างง่ายดาย
วันต่อมา ย่าอวี๋กับหลิวเฟินก็นั่งเครื่องบินมาถึงปักกิ่งพร้อมกันทันที
ปักกิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ย่าอวี๋มองซ้ายมองขวาเหมือนคนเพิ่งเคยมาปักกิ่งครั้งแรกไม่มีผิด ทำให้หลิวเฟินไม่รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้