เจียงเฉิงเยว่มีท่าทีตกตะลึง เขายกมุมปากด้วยความเหยียดหยาม ไม่สนใจอีกฝ่ายแล้วหมุนตัวจากไป
ทุกคนในจวนสกุลสวีต่างทราบว่าคุณชายฉินผู้นี้เป็คนใกล้ชิดจึงไม่มีใครหยุดเขา แม้ว่าเขาจะเข้าออกห้องส่วนตัวของคุณหนูรองก็ตาม
่เวลานี้ สวีอี่ซินฟื้นขึ้นมาแล้ว เมื่อเจียงเฉิงเยว่เข้ามาในห้อง เขามองไปที่ประตูกับหน้าต่าง ถือโอกาสที่ไม่มีใครอยู่สร้างเขตอาคมอย่างเงียบงัน ไม่ให้ถูกผู้ใดรบกวน
นางนอนอยู่โดยไม่ลืมตา แต่เจียงเฉิงเยว่รู้ว่าพิษในดวงิญญาได้รับการชำระล้างแล้ว นางยังสลบต่อไปโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้น เขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้กลมไม่ไกลจากเตียงของนางอย่างเฉยเมย เด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงซึ่งคลุมด้วยผ้าห่มผืนบางนอนอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย มีความสง่างามนัก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ยัง้าแสร้งหลับต่อไปหรือ?”
คนบนเตียงไม่เคลื่อนไหว เป็เวลานานสุดท้ายถึงลืมตาขึ้นเล็กน้อย สวีอี่ซินหันลำคออย่างเชื่องช้ามามองฉิงชางจวินที่นั่งอยู่ห่างออกไปราวกับไร้คำพูด
เจียงเฉิงเยว่มีท่าทีจริงจัง เขากล่าวด้วยใบหน้ามืดมน “ข้าเคยบอกเ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าจะไม่ทุ่มเทปกป้องคนที่ไม่คิดที่จะมีชีวิตต่อไป ข้าบอกเ้าไปแล้ว หากเ้ายังกล้าที่จะไม่ใส่ใจชีวิตของตนเอง จากนี้ไปเ้าจะอยู่หรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า เ้าทำเป็หูทวนลมคำพูดของข้าอย่างนั้นหรือ?”
สวีอี่ซินนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ เป็เวลานานจึงค่อยๆ ลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง พิงอยู่บนเตียงแล้วมองเขา
นางไม่พูดไม่จา เจียงเฉิงเยว่เองจึงไม่เปิดปากพูดอีก ทั้งสองคนประสานดวงตา เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้ซ่อนความโกรธกับความผิดหวังในดวงตาแม้แต่น้อย ปลายนิ้วเคาะที่หัวเข่าเบาๆ ทีละนิ้ว มีฐานะเป็าาผีมาหลายปี รัศมีที่สง่างามบนร่างของฉิงชางจวินนั้นไม่จำเป็ต้องกล่าวให้มากความ ทว่าสวีอี่ซินราวกับจะไม่ได้รับผลกระทบใด นางมองเขาอย่างเหม่อลอย ดวงตาที่เคยมีชีวิตชีวาเวลานี้กลับนิ่งสนิท
ทั้งสองคนนิ่งเงียบอยู่นาน นางถามอย่างอ่อนแรง “ท่านช่วยข้าไว้หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบกลับ สวีอี่ซินจึงหันมายิ้มอย่างเหยียดหยามตนเอง
เจียงเฉิงเยว่ลุกขึ้น เขาเดินเข้าไปใกล้เตียงก้าวหนึ่ง บอกอย่างเ็า “เ้าเป็เช่นนี้ ้ากลับไปผีตนหนึ่งจริงๆ ใช่หรือไม่?”
สวีอี่ซินเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาขุ่นเคืองเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะเสียงเย็น แต่สายตากลับมองผ่านนางไปมองไปที่พระอาทิตย์นอกหน้าต่าง จากนั้นถอนหายใจเล็กน้อย พูดพึมพำกับตนเอง “เ้ารู้ไหมว่าข้าอยากกลับไปเป็มนุษย์มากเพียงใด?” สวีอี่ซินเผยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย เจียงเฉิงเยว่หันสายตากลับมาบนใบหน้าของนาง สบตาด้วยแววตาเย็นเยียบ “เ้ารู้หรือไม่ว่าการมองเห็นศพของตนเองเน่าเปื่อย หนอนแมลงชอนไชทีละนิดอยู่ตรงหน้านั้นรู้สึกอย่างไร? เ้ารู้หรือไม่ ต่อให้เ้าพยายามซ้ำๆ ทุกวันเป็พันเป็หมื่นรอบก็หยิบเถ้ากระดูกของตนเองขึ้นมาไม่ได้นั้นเป็ความรู้สึกอย่างไร? เ้ารู้หรือไม่ว่ายามแสงแดดส่องลงบนร่างราวกับว่า้าจะแผดเผาิญญาให้ดับสิ้นนั้นรู้สึกอย่างไร? เ้ารู้หรือไม่ การถูกทรมานวันแล้ววันเล่ารู้สึกอย่างไรกัน? ถึงกระนั้น สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงการเฝ้ารอและอดทนอยู่ใต้ดินในปรโลกที่มืดมิดไร้แสงสว่างตลอดกาล เช่นนี้ เ้ายัง้าที่จะเป็ผีให้จงได้เชียวหรือ?”
สวีอี่ซินถอนสายตา ก้มศีรษะลงแล้วไม่มองเขาอีกต่อไป “ท่านไม่อนุญาตให้ข้าตาย ข้าเข้าใจแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งเงียบ
สวีอี่ซินถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า นางค่อยๆ หลับตาลงแล้วบอก “ท่านไปเถิด”
หลังถ้อยคำนี้เอ่ยออกมา เจียงเฉิงเยว่ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อ ถอนเขตอาคมแล้วหมุนตัวจากไป
เจียงเฉิงเยว่ออกมาจากห้องของสวีอี่ซิน เดินผ่านทางเดินที่เขาพูดคุยกับหยวนฝานเป้ยเมื่อครู่ กลับเห็นว่าเหล่าข้ารับใช้ขององค์รัชทายาทยังคงยืนเฝ้าอยู่ที่เดิมจึงลอบคิดในใจ หรือว่าองค์รัชทายาทโง่เง่าผู้นั้นยังคงยืนอยู่ข้างในไม่ยอมออกมาหรือ?
ขณะที่คิดเขาถือโอกาสที่ไม่มีใครอยู่โดยรอบ เงาร่างของฉิงชางจวินหายไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งเขาอยู่ตรงหน้าหยวนฝานเป้ยแล้ว
ฝ่าาแห่งวังตะวันออกก้มศีรษะลง หลังค่อม มีท่าทีสับสน ใบหน้าซีดเซียว อีกฝ่ายไม่ได้สังเกตเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉิงชางจวิน จนกระทั่งเจียงเฉิงเยว่ค่อยๆ เดินมาถึงตรงหน้าจึงเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ก่อนกำหมัดแน่นพร้อมกัดฟัน ในที่สุดก็ตัดสินใจได้จึงพูดอย่างเคร่งขรึม “ฉิงชางจวิน! ข้าตัดสินใจแล้ว! ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต ข้ายินดี!”
เจียงเฉิงเยว่อ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ เขานิ่งค้างเป็เวลานานแล้วจึงพูด “ท่านคิดดีแล้วหรือ?”
หยวนฝานเป้ยยืดหลังตรง บอกด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ข้าคิดดีแล้ว!”
ฉิงชางจวินไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็เวลานาน เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าเ้าเด็กนี่เป็ผู้ที่จริงจังกับความรู้สึกจริง “ฝ่าา ท่านมีชะตาที่จะครองใต้หล้า ท่านยินดีใช้ชีวิตตนเองแลกกับซินเอ๋อร์เพื่อให้นางกลับสู่โลกจริงหรือ?”
หยวนฝานเป้ยยกยิ้มเล็กน้อย “ฉิงชางจวิน ข้าไม่กลัวว่าเซียนจวินหัวเราะเยาะ พี่ใหญ่ของข้าเกิดจากนางสนม พี่รองเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จึงถึงคราวของข้าที่เกิดจากอัครมเหสีถึงได้อยู่ในวังตะวันออก ข้ารู้ว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ผิดหวังกับข้ามาก พวกเขาเกลียดที่ข้าโง่และไร้เดียงสาเกินไป พี่น้องเ่าั้ของข้าทุกคนกลับฉลาดมีไหวพริบ รู้วิธีเอาอกเอาใจเสด็จพ่อ วิชาทฤษฎีการปกครองประเทศหรือคติธรรมาาที่เหล่ามหาราชครูสั่งสอน ข้าก็ตั้งใจเรียนและ้าทำความเข้าใจมากจริงๆ แต่ไม่ว่าข้าจะพยายามมากเท่าใด กลับทำให้เสด็จพ่อขมวดคิ้วอยู่เรื่อยเชียว” เขาถอนหายใจ “ข้าพยายามสุดความสามารถแล้วจริงๆ แม้แต่เสด็จแม่ที่ช่วยให้ข้าอยู่ในตำแหน่งนี้ด้วยมือของตนเองก็คิดว่าข้าไม่เหมาะสมที่จะเป็จักรพรรดิเช่นกัน ผู้ติดตามจากตระกูลขุนนางหรือรัฐมนตรีขั้นผู้ใหญ่ที่อยู่เบื้องล่างซึ่งดูเหมือนจะให้ความเคารพและมีมารยาทกับข้า ลับหลังแล้วข้าทราบดี มีใครบ้างที่ไม่เห็นว่าข้าเป็ตุ่มหนองที่ไม่ได้เื่ได้ราวบ้างเล่า
ทุกครั้งที่ข้ากลัดกลุ้มจนไม่อาจแก้ไขได้ ข้าจะชอบฟังผู้คนบรรเลงพิณ ด้วยบทเพลงที่งดงามราวบทเพลงจาก์ ทำให้ลืมความกังวลในที่สุด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงพยายามเรียนมันเป็เวลานาน อาจเป็เพราะข้าโง่จริงๆ เหมือนกับวิชาเ่าั้ ไม่ว่าจะเรียนอย่างไรก็เรียนไม่ได้ มักจะทำให้ผู้าุโเหยียนโกรธเป็ฟืนเป็ไฟอยู่เสมอ อาจารย์เขามักเปรียบเทียบข้ากับศิษย์คนโปรดของเขา หรือก็คือ ‘คุณหนูรองแห่งฮุยโจว’ ข้ากับนางเหมือนกับเป็สองขั้วที่แตกต่างกันระหว่างเมฆกับโคลนในสายตาของอาจารย์ ดังนั้น ก่อนหน้านี้ข้าจึง้าพบนางมาโดยตลอด แต่ข้าไม่คาดคิดเลยจริงเชียว...ว่าหลังจากได้พบนางแล้วต่อมาจะเกิดเื่เหล่านี้ขึ้น สิ่งที่ฉิงชางจวินพูดนั้นถูกต้อง เป็ข้าที่ผิดั้แ่แรก ข้าชอบซินเอ๋อร์และข้ารู้ว่านางไม่ชอบข้า เป็ข้าที่ไม่ควรใช้สถานะบังคับนาง การกระทำเหล่านี้ต่ำช้าเกินไป ในเมื่อข้าติดหนี้นาง เช่นนั้นก็ขอคืนให้นาง ถึงอย่างไรคนโง่อย่างข้าก็ไม่สามารถเป็จักรพรรดิในภายภาคหน้าได้ และอาจเป็เื่ที่น่ายินดีของประชาชนชาวซีเฉียนก็เป็ได้กระมัง”
เมื่อเจียงเฉิงเยว่ฟังเขาอธิบายอย่างยืดยาวจนจบก็ตกตะลึงเป็เวลานาน แล้วจึงรู้ว่าเ้าเด็กนี่จริงจังอย่างคาดไม่ถึง! เขาเพียงแต่พูดเรื่อยเปื่อยเพื่อ้าให้ตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าหยวนฝานเป้ยจะคิดว่าเป็ความจริง
เจียงเฉิงเยว่ลูบหน้าผาก
หยวนฝานเป้ยเดินเข้ามาใกล้ ทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความกลัว แต่หลับตาทั้งสองข้างแน่นอย่างไม่ยี่หระต่อความตายพลางเชิดหน้าเผยลำคอ พูดอย่างเคร่งขรึม “ฉิงชางจวิน ข้าพร้อมแล้ว! ท่านมาเลย!”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
“เป็ข้าที่สมัครใจเอง! ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด!”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
หยวนฝานเป้ย “ขอเพียงสามารถช่วยซินเอ๋อร์ได้ หากนางตื่นแล้วรบกวนท่านบอกนางแทนข้า ว่าข้าน่ะ...มากจริงๆ ช่างเถอะ ท่านอย่าได้บอกนางเลย”
ฉิงชางจวินเหงื่อไหลอาบ เขาโน้มร่างเข้าไปผลักองค์รัชทายาทโง่เง่าตรงหน้าให้ออกไปไกลเล็กน้อย “เอาล่ะๆๆ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของท่าน ท่านกลับไปก่อนเถิด รอให้ข้าคิดวิธี หากไม่มีวิธีอื่นจนจำเป็ต้องใช้ชีวิตแลกจึงจะมาเรียกท่านอีกครั้ง ตกลงหรือไม่?”
ทันใดนั้น หยวนฝานเป้ยลืมตา เขาเผยความประหลาดใจที่รอดชีวิต “อา ยังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่คร้านที่จะสนใจเขาอีก จากนั้นโบกมือให้แล้วจากไปโดยเร็ว
.............................
นับั้แ่แยกจากสวีอี่ซินในวันนั้น เจียงเฉิงเยว่จงใจไม่ไม่ถามไถ่เื่ของนางเป็เวลาหลายเดือน อย่างไรก็ตาม เขาให้เสวียนชิงลอบตรวจสอบ จึงรู้ว่านางไม่มีอาการอะไรร้ายแรงจริง ฉิงชางจวินคิดในใจว่าครั้งนี้ต้องยืนหยัดให้จงได้ แสดงท่าทีชัดเจนต่อเด็กคนนั้นอย่างหนักแน่น เพื่อเลี่ยงไม่ให้นางกล้าเล่นกลอุบายปลิดชีพตนเองเช่นนี้กับเขาอีก
หลายเดือนต่อมา สุดท้ายแล้วสวีอี่ซินทนไม่ไหวจึงเรียกหาเขาก่อน ก่อนหน้านี้หลังจากที่สวีอี่ซินลงมาจากระเบียงสูงเพื่อบังคับให้เขาปรากฏตัวเพราะไม่ได้พบเป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่จึงทิ้งผู้ติดตามจากปรโลกไว้ที่จวนสกุลฉิน หากนาง้าพบเขาเพียงส่งคนไปที่จวนสกุลฉินเพื่อแจ้ง
หลังจากได้ยินรายงานจากผีรับใช้ผู้นั้นในจวนสกุลฉิน เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
กล่าวตามความจริงแล้ว ยามที่เขามีชีวิตในชาตินี้ก็ดีหรือหลังความตายก็ช่าง ล้วนไม่สันทัดในการทะเลาะหรือขุ่นเคืองผู้ใด ยามนี้สวีอี่ซินมาหาเขาก่อนคงจะหายโกรธแล้วใช่หรือไม่? นางคงได้รับบทเรียนแล้ว ณ ตอนนี้จึงหาทางลงด้วยกัน ควรจบเื่นี้เสีย ฉิงชางจวินคิดเช่นนั้น
เขาไปจวนสกุลสวีอีกครั้งในนามของฉินจินฮุย พอดีกับที่สามีภรรยาสกุลสวีและพี่ชายทั้งสองคนของสวีอี่ซินล้วนไม่อยู่ เหล่าสาวใช้รอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นเขาจึงย่อตัวทำความเคารพ ก่อนรีบนำทางเขาไปด้านใน “คุณชายฉิน คุณหนูรองรอท่านอยู่แล้ว รีบตามเหล่าสาวใช้มาเถิดเ้าค่ะ”
สาวใช้สองคนนำเขาไปที่ลานด้านหลัง แต่กลับไม่ได้พาเขาไปที่โถงรับรองแขกที่เขามักจะพบกับพี่น้องสกุลสวีเช่นเคย นางพามาที่ระเบียงสูงที่สวีอี่ซินเคยตกลงมาสองครั้ง
ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ เสียงพิณที่นุ่มนวลดังแว่วออกมา เสียงเพลงนั้นราวกับร่ำไห้ ้าระบาย มีความเลื่อมใสและราวกับคับแค้นใจนัก จนกระทั่งทำให้ใจของผู้คนที่ได้ฟังอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านตามไปด้วย เจียงเฉิงเยว่หยุดเดิน ใบหน้าเผยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง สาวใช้ทั้งสองรออย่างเงียบงันอยู่ด้านหนึ่ง จากนั้นโค้งคำนับเล็กน้อยแล้วจากไป
เจียงเฉิงเยว่ยืนรับฟัง เขาขึ้นบันไดทีละขั้นไปอย่างเงียบงัน ค่อยๆ ขึ้นไปบนระเบียงสูง
สวีอี่ซินหันหลังให้เขา ่ท้ายของเพลงนางลูบสายพิณอย่างสั่นสะท้าน จากนั้นเงยหน้ามองออกไปไกลแล้วถอนหายใจยาว
สายลมพัดธูปที่จุดบนขอบของพิณ ควันกระจายอบอวลในอากาศจนไม่เห็นเงา ก่อนที่ควันธูปจะค่อยๆ จางหายไป
นางคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่หันศีรษะกลับมา กล่าวพึมพำ “ข้าเขียนบทเพลงนี้มาหลายปีแล้ว แก้แล้วแก้อีก ไม่พอใจอยู่เสมอ คิดว่าสุดท้ายจะเสร็จสมบูรณ์ได้ในวันหนึ่ง และเมื่อถึงวันนั้นจะบรรเลงให้ท่านฟังอีกครั้ง น่าเสียดายที่มันจะไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์ได้ ดังนั้น ข้าขอโทษ…สิ่งที่ข้าบรรเลงทั้งหมดในวันนี้ ยังเป็เพียงเศษเสี้ยว่แรกของบทเพลง”
ใช้บทเพลงสื่อความรู้สึก แม้ว่าเป็คนหัวช้าอย่างฉิงชางจวินก็เข้าใจความหมายได้ว่านั่นหมายความว่าอย่างไร ภายในอกของเจียงเฉิงเยว่เต็มไปด้วยถ้อยคำนับพันหมื่นแต่กลับไม่มีคำใดตอบโต้ เขาถอนหายใจแ่เบา เพียงนั่งที่พื้นบนระเบียงสูง มองออกไปไกลยังทิศทางเดียวกันกับนางอย่างเงียบเชียบ
คนทั้งสองไม่มีคำพูดใด
เจียงเฉิงเยว่รู้เจตนาของอิ๋งเอ๋อร์ เกรงว่าเขาจะต้องทำให้ผิดหวังเสียแล้ว สำหรับเหตุผลนั้น ตนเองอธิบายไปอาจเข้าใจได้อย่างไม่ชัดเจน สิ่งเดียวที่แน่นอนคือ ที่เขาปฏิบัติต่ออิ๋งเอ๋อร์ไม่ได้มีความหมายในเชิงนั้น เพียงเพราะไม่้าให้นางผิดหวังและหลอกลวงนางอีกต่อไป ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
สวีอี่ซินยื่นมือไปลูบบนสายพิณอย่างแ่เบาด้วยความอาลัยอาวรณ์ สายพิณที่กำลังจะสั่นหยุดลง ส่งเสียงอู้อี้ราวกับถูกบีบลำคอ อารมณ์นับพันนับหมื่นที่้าจะบรรเลงกลับไม่อาจถ่ายทอดผ่านเสียงเพลงได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร สวีอี่ซินจึงเปิดปากพูด “ครั้งนี้ที่นัดพบท่าน เพราะมีเื่ที่้าบอกกับท่าน”
เจียงเฉิงเยว่รีบถาม “เื่อะไร?”
สวีอี่ซินพูดประชดประชัน “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอบคุณสำหรับการดูแลของพี่ฉิน พี่ฉินปฏิบัติต่อข้าราวกับน้องสาวแท้ๆ และก่อนที่น้องสาวจะแต่งงาน ปกติแล้วต้องบอกพี่ชายด้วยไม่ใช่หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง
สวีอี่ซินหันศีรษะไปด้านข้าง บอกด้วยรอยยิ้มขมขื่น “องค์รัชทายาทแห่งวังตะวันออกทรงมีรับสั่งแต่งตั้ง หากขัดขืนพระราชโองการจะเป็การไม่เคารพ ต้นเดือนหน้าข้าจะเข้าวังแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่เงียบเป็เวลานาน เขากล่าวได้เพียง “คุณชายหยวน...ปฏิบัติต่อเ้าอย่างจริงใจ”
สวีอี่ซินยิ้ม เอ่ยอย่างเ็า “ข้าเข้าใจ”
ทั้งสองคนเงียบไปชั่วขณะ สวีอี่ซินเอ่ยอีกครั้ง “หลังจากเข้าวังแล้วจะไม่ได้อยู่ในจวน เกรงว่าการพบกันอาจไม่ใช่เื่ง่าย พี่ฉิน ท่านกับข้า...จากกันตรงนี้เถอะ”
เจียงเฉิงเยว่เข้าใจในถ้อยคำของนาง ราวกับมีความความเกลียดชังที่แน่วแน่อยู่ในนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเ็ปในใจ แต่เขาไม่สามารถตอบโต้ได้ เขาคิดว่าที่นางเกลียดตนเป็เื่ที่สมควร หลังจากนั้นเจียงเฉิงเยว่ลุกขึ้น หมุนตัวอย่างเชื่องช้าก้าวลงบันไดด้วยจังหวะฝีเท้าที่หนักแน่น
ทันใดนั้นมีเสียง ‘ชิ้ง’ แว่วมาจากด้านหลัง เจียงเฉิงเยว่หยุดฝีเท้าชั่วคราว มีเสียงคมมีดตัดสายพิณทีละเส้นๆ รวมทั้งหมดเจ็ดเสียงโดยไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้
สวีอี่ซินฟุบลง เสียงถูกระงับจนไม่ชัดเจน “ข้า...ไม่้า...เล่นพิณอีกแล้ว...”
เจียงเฉิงเยว่ยืนอยู่ครู่หนึ่งอย่างข่มกลั้นความเ็ปในใจโดยไม่ได้หันกลับไป เพียงเดินจากไปไกลทีละก้าวอย่างมั่นคง หายไปอย่างไร้ร่องรอย
------------------------
