หนี่ซวงยิ้มจนรู้สึกเมื่อยมุมปากไปหมด กว่าจะพูดคุยกับแขกทางฝั่งสตรีจนครบทุกคน แม้บางคนนางจะไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อ และเพิ่งพบเป็ครั้งแรกก็ตาม
"เสี่ยวซวงมาแล้วหรือ พวกข้านั่งรอเ้านานมาก"
"ขอโทษที่ให้พวกเ้ารอนาน กว่าจะทักทายกับเหล่าฮูหยินครบทุกคนต้องใช้เวลาพอดู" หลังทำหน้าที่เ้าของงานจนครบถ้วน หนี่ซวงจึงได้โอกาสขอตัวแยกมานั่งยังศาลาที่จัดเตรียมไว้ให้สหาย
หญิงสาวทั้งสามคนที่นั่งรวมตัวกันอยู่ นับว่าเป็สหายทั้งหมดที่นางมีในเมืองหลวงกว้างใหญ่นี้ก็ว่าได้
"ไม่เป็ไร พวกข้าเข้าใจ เอานี่ทานรองท้องเสียก่อน ั้แ่เช้าคงยุ่งจนไม่ได้ทานอะไรเลยละสิ" อู๋เยว่หานยื่นจานขนมให้สหาย ห่วงว่าอีกฝ่ายจะเป็ลมเพราะความหิวไปเสียก่อน
"ไม่ค่อยเท่าไหร่ ก่อนเริ่มงานท่านพ่อมีให้ทานผลไม้กับน้ำแกงไปบ้างแล้ว แต่อย่างไงก็ขอบใจนะ"
"ใต้เท้าโม่ยังคงใส่ใจเ้าดีไม่เปลี่ยน ดูจากงานวันนี้คงทุ่มเงินไปไม่น้อย ได้ยินว่ากระทั่งแม่ครัวก็ยังจ้างมาจากเหลาเอี้ยมซา ที่ว่ากันว่าฝีมือทำอาหารชั้นเลิศ ขนาดในวังยังเรียกตัวหา นับว่าเป็ลาภปากของข้าดีแท้ที่ได้ทาน" หรูเจินเจินที่รักการกินเป็ชีวิตจิตใจ เื่อาหารนับเป็อันดับหนึ่งในชีวิต แม่ครัวในห้องครัวจึงได้รับความใส่ใจจากนางมากเป็พิเศษ
"ท่านพ่อแค่ไม่อยากได้ยินภายหลัง ว่าในงานเลี้ยงจัดเตรียมอาหารให้ไม่ดี พอได้ยินว่าเหลาเอี้ยมซาขึ้นชื่อเื่อาหาร ก็เลยจ้างแม่ครัวมาทำอาหารในงานเท่านั้น เ้าก็ทำเป็เื่ใหญ่ไปได้"
"เสี่ยวซวงอย่าใส่ใจกับคนเห็นแก่กินอย่างเจินเจินเลย เปลี่ยนเื่คุยกันดีกว่า ชุดของเ้าสั่งตัดที่ไหน ใช่ร้านเถาแก่เนี้ยอวิ๋นเหมือนเดิมไหม
ตอนข้ามองอยู่ไกล ๆ เดาว่าเนื้อผ้าต้องดีมากแน่ ๆ พอได้เห็นใกล้ ๆ ก็เป็อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด เนื้อผ้านุ่มลื่นสบายผิวดีมาก ดูภายนอกเหมือนบางแต่กลับให้ความอบอุ่น หรือว่านี่จะเป็ผ้าไหมราตรีที่ทอจากหนอนไหมราตรีที่เขากำลังตามหากัน"
"ข้าไม่รู้หรอกว่าใช่ไหม ทุกครั้งที่สั่งตัดชุดใหม่ ท่านพ่อจะเป็คนเลือกเนื้อผ้าให้เถ้าแก่เนี้ยอวิ๋น ข้ามีเพียงหน้าที่สวมใส่เท่านั้น
ไว้วันหน้าข้าได้พบเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจะถามให้นะ ว่าใช่ผ้าไหมที่เ้าว่าหรือเปล่า" หนี่ซวงคลี่รอยยิ้มอ่อนใจให้กับสหายทั้งสอง คนหนึ่งก็สนใจเื่อาหาร อีกคนก็สนใจเื่เนื้อผ้าที่นางสวมใส่ เป็อย่างนี้ทุกครั้งไปเมื่อได้พบหน้า
"แล้วเสี่ยวซิงเล่า ไม่มีเื่ถามข้าบ้างหรือ"
"ข้าไม่มีเื่ถาม แต่มีความสงสัยแทน เ้าหนะ คำก็ท่านพ่อทำให้ สองคำก็ท่านพ่อเลือกให้ ทำให้ข้าชักสงสัยแล้ว ว่าที่เ้าเคยบ่นบ่อย ๆ ว่าใต้เท้าโม่ชอบเข้มงวดกับเ้า เป็ความจริงแท้แค่ไหนกัน เพราะข้าเห็นว่าเขาก็ดีกับเ้าทุกอย่างมิใช่หรือ"
"จริง หากข้ามีบิดาอย่างใต้เท้าโม่นะ จะดีใจกราบไหว้ขอบคุณฟ้าดินทุกวันเลย"
"มันก็ใช่ที่เขาดีกับข้า แต่..."
"ทำไม มีเื่ใดที่เขาทำไม่ดีกับเ้าหรือ"
"ดูพวกเ้าทำเข้า เขาดีกับข้าอย่างที่พวกเ้าว่าจริง ๆ ไม่มีตรงไหนเลยที่ทำไม่ดี ข้าแค่ไม่ชอบที่เขาชอบบ่นเป็คนแก่เท่านั้นเอง" นิ้วเรียวจำต้องจิ้มศีรษะสหายแต่ละคน ที่ยื่นเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้ให้กลับเข้าที่
"แต่ซวงเอ๋อร์ ข้าได้ยินเ้าว่าใต้เท้าโม่แก่อยู่ตลอด เขาเพิ่งอายุยี่สิบเก้าเองมิใช่หรือ หากเ้ามองเขาแก่ ท่านพ่อข้าที่อายุสี่สิบห้าปีนี้ มิเป็ตาเฒ่าใกล้ตายแล้วหรือ"
"ไม่ใช่ เ้าจะเอาไปรวมกับบิดาเ้าได้อย่างไรเจินเจิน สำหรับข้าใต้เท้าหรูยังไม่แก่เสียหน่อย"
"แล้วข้าแก่"
หญิงสาวทั้งสี่คนหันหลังกลับไปมองพร้อมกันด้วยความใ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำลอยตามลมมาในความมืด ก่อนจะรีบยืนตัวตรงขึ้นพร้อมกัน หลังเห็นร่างสูงโปร่งค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ จนแสงไฟสาดมองให้เห็นว่าเป็ผู้ใด
"ทะ ท่านพ่อ"
"ใต้เท้าโม่"
คราแรกฮั่นหยางแค่คิดเดินมาดูทางด้านหญิงสาวเท่านั้น ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ แต่ไม่คิดว่าจะมาได้ยินนางคุยกับสหายลับหลัง ว่าเขาเป็คนแก่ชอบบ่นเสียได้ ทำให้หัวคิ้วกระบี่อดที่จะกระตุกไม่ได้
ปีนี้เขาอายุเพียงยี่สิบเก้าปีเต็มเท่านั้น แต่นางกลับบอกว่าเขาแก่ ช่างดีเหลือเกิน
"ฮ่า ๆ ๆ ก็เ้าชอบบ่นเป็คนแก่จริง ๆ จะโทษซวงเอ๋อร์ได้อย่างไร"
ร่างสูงปัดมือสหายที่จับไหล่ทิ้ง โดยไม่ลืมส่งสายตาเข้มห้ามปรามไม่ให้หัวเราะ ทั้งที่เขาตั้งใจเดินมาคนเดียว แต่อีกฝ่ายยังไม่วายเดินตามมาด้วย
"ท่านพ่อมีเื่ใดเ้าคะ หรืออยากให้ซวงเอ๋อร์ไปช่วยรับรองแขกต่อเ้าคะ" หนี่ซวงคลี่รอยยิ้มหวานเท่าที่ทำได้ แสร้งทำเป็ไม่เห็นแววตาคุกรุ่นที่ร่างสูงส่งมาให้
"ถึงพ่อแก่แล้วก็ยังพอรับรองแขกให้ไว้ พ่อเพียงเดินมาดูเท่านั้นว่าซวงเอ๋อร์อยู่กับสหายเรียบร้อยดีหรือไม่ ขาดเหลือสิ่งใดได้ให้สาวใช้จัดมาให้เพิ่ม"
ร่างบางรู้สึกขนอ่อนลุกชันขึ้นในทันที หลังจากได้ยินสรรนามที่อีกฝ่ายแทนตนเองกับนาง
หากเขาได้แทนตนว่า 'พ่อ' เมื่อใด นั่นแสดงว่าเขากำลังโกรธนางอยู่เมื่อนั้น
"ขอบคุณใต้เท้าโม่เ้าค่ะ พวกเราได้รับการดูแลอย่างดีมากแล้ว ไม่มีสิ่งใดขาดเลยเ้าค่ะ" เยว่หานรู้สึกถึงบรรยากาศขุ่นมัวระหว่างสหายกับใต้เท้าโม่ เลยช่วยพูดเพื่อหวังให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แม้จะรู้สึกหวั่นเกรงอีกฝ่ายไม่น้อยก็ตาม
ใต้เท้าโม่แม้จะมักมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าเป็นิจ ภายนอกดูเป็คนเรียบง่ายน่าคบหา วางตัวเป็คนรักสงบไร้พิษภัย แต่บิดามักเตือนนางอยู่เสมอ ว่าอย่าเผลอทำสิ่งใดให้เขาเคืองโกรธเป็อันขาด
เพราะตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็อย่างไรนั้นยากแท้หยั่งถึงได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่ขึ้นเป็เสนาบดีกรมกลาโหมทั้งที่มีอายุเพียงยี่สิบสี่ปี โดยไร้แม้แต่บิดามารดาหรือตระกูลช่วยหนุนหลัง
การที่บิดาเลือกอยู่ข้างฝั่งเขา ก็เพราะเห็นในข้อนี้ด้วยเช่นกัน
"คุณหนูอู๋พอใจข้าก็สบายใจ ส่วนซวงเอ๋อร์อีกครึ่งชั่วยามก็กลับเข้าไปร่วมงานด้านใน ได้ช่วยพ่อส่งแขกกลับบางส่วน พ่อแก่แล้วคงทำได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก"
หนี่ซวงยังไม่ทันตอบรับหรือปฏิเสธ สิ้นเสียงที่เต็มไปด้วยกระแสแรงกดดันแกมประชด ร่างสูงโปร่งก็หันหลังเดินสะบัดชายเสื้อจากไปในทันที เหลือไว้เพียงความเงียบของคนทั้งห้าที่ยืนอยู่
"ซวงเอ๋อร์ก็ใจร้ายไปเสียหน่อย ข้ากับอาหยางอายุเท่ากัน อย่างนี้ก็นับว่าข้าเป็คนแก่ด้วยแล้วหรือ"
"ไม่ใช่นะเ้าคะซื่อจื่อ ซวงเอ๋อร์มิได้ตั้งใจพูดเช่นนั้น เพียงแค่พูดล้อเล่นกันเท่านั้น"
"ข้าหยอกเ้าเล่น ไม่ต้องห่วง อาหยางก็ทำเป็โมโหไปอย่างนั้นแหละ แต่อย่าลืมกลับเข้างานไปตามที่เขาบอกละ ข้าขอตัวก่อน" เหอรุ่ยเอินย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด ว่าสหายไม่มีทางโกรธเคืองหญิงสาวอย่างแน่นอน
หญิงสาวทั้งสี่คนย่อกายส่งชายหนุ่มในอาภรณ์สีแดงเพลิง ก่อนจะกลับมานั่งสุมหัวกันเหมือนเดิม โดยไม่ลืมช่วยปลอบหนี่ซวง และช่วยหาวิธีว่าจะทำอย่างไร ให้ใต้เท้าโม่ไม่โกรธที่โดนว่าแก่
ร่างบางกลับเข้ามาในงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ยืนส่งแขกที่้ากลับก่อนด้วยคำขอบคุณจากใจจริง แม้รู้ดีว่าพวกเขามาเพราะใต้เท้าโม่มิใช่เพราะนางก็ตาม
"ฮูหยินน้อยโม่ อย่าลืมแกะของขวัญของข้านะเ้าคะ"
"ได้เ้าค่ะ ขอบคุณคุณหนูโจวอีกครั้งด้วยนะเ้าคะสำหรับของขวัญ" หนี่ซวงจำคุณหนูโจวได้แม้เพิ่งจะได้พบเป็ครั้งแรก เพราะอีกฝ่ายแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ทั้งตัว จนนางไม่มั่นใจว่าคุณหนูโจวมางานเลี้ยงสังสรรค์หรือไปถือศีลกันแน่
"ก่อนหน้าไม่ได้สังเกต ได้เห็นฮูหยินน้อยโม่ใกล้ ๆ เช่นนี้ ผิวขาวเนียนมากเลยนะเ้าคะ ต่างจากสาวใช้ในจวนข้าที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่
นางคนนั้นบอกว่าจากหมู่บ้านแถวชายแดนเหมือนฮูหยินน้อยโม่ แต่ผิวกลับหยาบกร้านไม่น่ามอง ผิดกับฮูยินน้อยโม่ที่มีผิวเนียนละเอียด หรือเพราะมาอยู่ในเมืองหลวงมานานเลยทำให้ดูดีขึ้น" เหมยฟางไม่ชอบสตรีตรงหน้านัก ทั้งที่เป็แค่หญิงสาวธรรมดาจากชนบท หนำซ้ำยังเป็ม่ายสามีตาย แต่กลับสามารถเชิดหน้าอยู่ในสังคมเดียวกันกับนางได้
เสนาบดีโม่ก็กระไร ทั้งที่บุตรชายบุญธรรมเสียไปแล้ว เขาไม่จำเป็ต้องใส่ใจลูกสะใภ้ก็ทำได้ แต่นี่เขากลับเดินทางไปรับสตรีนางนี้มาจากชายแดน กระทั่งยกย่องเลี้ยงดูอย่างออกนอกหน้า ประเคนของดีให้ลูกสะใภ้ทุกอย่างจนคนพูดกันไปทั่ว
ในฐานะที่อนาคตนางจะแต่งเป็ภรรยาให้กับเขา แค่ได้ฟังว่าเขาทำดีอย่างไรให้กับลูกสะใภ้บ้างก็รู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว พอได้มาเห็นด้วยตาเนื้อตัวเองในวันนี้ ยิ่งทำให้นางไม่ชอบหน้าสตรีตรงหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
และเพราะเหตุนี้ เหมยฟางจึงอาศัย่ที่เสนาบดีโม่หันไปเสาวนากับบิดา เอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น ย้ำเตือนให้สตรีนางนี้ได้ระลึกไว้ว่าตนมาจากที่ใด จะได้เจียมตัวเสียบ้าง มิใช่อาศัยบารมีเสนาบดีโม่เชิดหน้าชูตาอยู่เช่นนี้
**********************
นิยายเื่นี้มีจัดทำเป็ E book แล้วนะคะ
สามารถเสิร์จหาจากชื่อนิยายหรือชื่อนักเขียน Hawthorn ใน meb ได้เลยค่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้