หวงฝู่จินก้มหน้ามองใบหน้าอันเหลอหลาของหลินฟู่อิน แล้วมุมปากก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาสองคำ “ปลูกถั่ว”
“ปลูกถั่วหรือ?” หลินฟู่อินไม่เข้าใจความคิดของหวงฝู่จิน “หมายความว่าท่านลงทุนซื้อที่ในต้าเวยเพื่อปลูกถั่ว อย่างพวกถั่วเขียวอะไรพวกนั้นน่ะหรือ?”
หวงฝู่จินพยักหน้า แล้วส่ายศีรษะ “ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เพราะข้าไม่รู้เื่การทำไร่ ข้าจึงจะให้เ้าเป็คนจัดการเองทั้งหมด และเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวข้าก็จะให้เ้าครึ่งหนึ่ง”
หลินฟู่อินอยากจะหัวเราะขึ้นมา สถานะของเขาในเป่ยหรงคงไม่ใช่ธรรมดา และแคว้นเป่ยหรงเองก็กว้างขวาง แต่เขากลับไม่มีที่เช่นนั้นหรือ? และเพราะไม่มีที่จึงมาซื้อที่ถึงต้าเว่ย?
แท้จริงแล้วหวงฝู่จินเพียงอยากซื้อที่ของเจียงฮูหยินให้หลินฟู่อินเท่านั้น ไม่ได้มีเหตุอะไรพิเศษ เขาเพียงอยากทำเช่นนั้น
เพราะเขาเป็คนที่จะลงมือทำเลยเมื่ออยากทำ
แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่บอกกับหลินฟู่อินไปเช่นนั้นตรงๆ
และเพราะนางไม่อยากก้าวก่ายมากจนเกินไป หลินฟู่อินจึงไม่อาจกล่าวอะไรได้มากนัก อีกทั้งนางยังไม่อยากให้พ่อบ้านชรารู้เื่ที่หวงฝู่จินเป็ชาวเป่ยหรง นางจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับไปเงียบๆ
เมื่อเห็นนางรับคำอย่างว่าง่ายเช่นนี้หวงฝู่จินก็ยกยิ้ม แต่เพราะเป็จังหวะที่หลินฟู่อินหันไปสนทนากับพ่อบ้านต่อพอดี นางจึงไม่ทันได้เห็นประกายแฝงในดวงตาของเขา
ในระหว่างทางกลับ หลินฟู่อินก็ได้ละทิ้งท่าทีใดๆ แล้วถามเขาออกไปตรงๆ “คุณชาย ครั้งนี้ท่านกลับมาที่ชิงหยางแห่งนี้ทำไมหรือ”
“เพื่อหาเงิน” หวงฝู่จินกล่าวเบาๆ
“ท่าน… กำลังเงินขาดมือหรือ?” นี่เป็ครั้งแรกที่หลินฟู่อินถามถึงเื่ส่วนตัวที่ไม่ใช่เื่สุขภาพ
หวงฝู่จินพยักหน้ารับ มีหรือที่เงินจะไม่ขาดมือใน่รวบรวมกำลังพลเช่นนี้?
และตัวเขาเองก็ประเมินพวกพี่น้องของเขาไว้สูงเกินไป เพราะพวกเขาไม่เคยเริ่มซ่องสุมกำลังพลของพวกตนเลยในตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จนตอนนี้ต้องมาลำบากเพราะจะเร่งหา
แต่เหล่านี้เป็เื่ยุ่งยาก เขาจึงไม่อยากเล่าให้หลินฟู่อินฟัง และไม่อยากให้นางเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย
เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “ข้าน่ะอยากเป็พ่อค้าหมายเลขหนึ่งของเป่ยหรง แต่หนทางยังอีกยาวไกลนัก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เงินจะขาดมือ”
หลินฟู่อินได้ยินแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาไม่อยากเปิดเผยความจริงแก่นาง จนต้องกล่าวทีเล่นทีจริงเช่นนี้เพื่อบ่ายเบี่ยง
แต่นางจะไม่ยอมทนอยู่เฉยๆ
“คุณชาย ตอนนี้ชาดหิมะหลอมเองก็เป็ที่นิยมไม่น้อยมิใช่หรือ?” หลินฟู่อินกล่าวขึ้นอย่างไม่มีมีปี่ไม่มีขลุ่ย จากนั้นจึงถามต่อ “คุณชายได้สำรวจตลาดแล้วหรือยัง ว่าหากนำชาดหิมะหลอมนี้ไปขายให้เหล่าขุนนางในเป่ยหรงแล้ว มันจะขายได้หรือไม่?”
ได้ยินหลินฟู่อินถามเช่นนี้ ดวงตาของหวงฝู่จินจึงเป็ประกายขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ตวนมู่เฉิงบอกข้าว่าชาดหิมะหลอมนั้นขายดีเป็อย่างมากในระดับสามัญชน แต่สำหรับเหล่าคนมีเงินนั้นจะนิยมไปซื้อแป้งจากไฉ่จือไจเสียมากกว่า”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับ ดวงตาทอประกายเล็กน้อย
นางคาดเดาผลลัพธ์นั้นไว้อยู่แล้ว
เพราะทางต้าเว่ยเองก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน จากการที่ไฉ่จือไจได้ถอนตัวไปจากเมืองชิงหยาง ทำให้คนมีเงินในเมืองต้องไปซื้อจากแม่นางฉินเท่านั้น
“เกี่ยวกับเื่นั้น… ข้าเพิ่งทำแป้งหอมชนิดใหม่มา แม้ราคาจะไม่สูง แต่คุณภาพนั้นเหนือกว่าแป้งหอมที่ดีที่สุดของไฉ่จือไจเสียอีก” หลินฟู่อินกล่าวอย่างโอ้อวด โดยไม่สนว่าหวงฝู่จินได้ถามหรือไม่
หวงฝู่จินเห็นความพยายามโฆษณาของหลินฟู่อิน จึงกล่าวออกมาว่า “หากมันดีกว่าแป้งหอมของไฉ่จือไจจริงละก็ ข้าก็อยากจับมือกับเ้าอีกครั้งเพื่อสินค้าตัวนี้ เ้าจะว่าอย่างไร”
หลินฟู่อินยิ้มออกมาทันทีแล้วกล่าว “แต่ข้ากลัวว่าหากแป้งนี้กลายเป็ที่้ามากเกินไป พวกข้าพี่น้องจะผลิตมันไม่ทัน”
หมายความว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเจตนาที่จะร่วมมือกันแล้ว
แต่หลินฟู่อินยังไม่พอใจที่จะหยุดไว้เพียงเท่านี้ นางจึงกล่าวต่อด้วยั์ตาใสกระจ่าง “ข้าไม่ได้ทำได้เพียงแป้งหอม ข้าสามารถทำชาดและแป้งคุณภาพสูงได้อีกด้วย และหากข้าจะทำ ข้าก็จะทำอย่างจริงจัง และขอเพียงข้าได้ทำก็จะมีกำไรมากกว่าไฉ่จือไจแน่นอน”
เมื่อได้ยินว่ามันจะทำกำไรได้ยิ่งกว่าไฉ่จือไจแล้ว หวงฝู่จินจึงตาเป็ประกายขึ้นมา
คนส่วนใหญ่ในต้าเว่ยไม่รู้ว่าไฉ่จือไจนั้นทำกำไรได้มากเพียงใด แต่กับคนที่มีฐานะเช่นหวงฝู่จินแล้ว เขารู้อย่างกระจ่างชัด
ว่าในแต่ละปีนั้นมันทำเงินได้ถึงหลายสิบล้านตำลึงเงิน
แต่แม้ว่าเขาเองก็เคยคิดที่จะเข้าไปร่วมกินส่วนแบ่งในตลาดนั้นด้วยก็ตาม แต่มันเป็ไปได้ยากยิ่งเพราะผู้ที่ผลิตแป้งเองได้นั้นมีน้อย และแม้จะหาจนได้ ผลงานที่ออกมาก็ไม่อาจเทียบกับสินค้าของไฉ่จือไจได้เลยแม้แต่น้อย
และไฉ่จือไจก็ได้สร้างชื่อไว้เป็อย่างดีแล้ว ดังนั้นการเอาชนะหรือขึ้นมาแข่งให้ได้จึงเป็เื่ยากอย่างยิ่ง จนเขาต้องยอมแพ้ไปแม้จะรู้ว่ามีบ่อเงินบ่อทองอยู่ตรงหน้า
แต่หลินฟู่อินนั้นต่างออกไป เพราะนางสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเหนือกว่าของไฉ่จือไจได้ อีกทั้งเงินลงทุนที่้าก็ไม่ได้สูง
หวงฝู่จินจึงเชื่อคำพูดของหลินฟู่อินในทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
“ครั้งนี้ช่างเหมือนกับเมื่อครั้งชาดหิมะหลอมนัก ข้ามีที่ เ้ามีวิธี” หวงฝู่จินกล่าวกับหลินฟู่อินอย่างอ่อนโยน
“ไม่เลย ไม่เลย” หลินฟู่อินยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ครั้งนี้ต่างจากเมื่อครั้งชาดหิมะหลอม เพราะชาดหิมะหลอมนั้นมีลูกค้าหลักเป็สามัญชน แต่แป้งที่ข้าจะทำนี้จะเน้นไปที่ระดับขุนนาง”
หวงฝู่จินงงงวยไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินศัพท์ที่ไม่คุ้นหูจากหลินฟูอิน แต่ตัวคำนั้นมีความหมายที่ค่อนข้างชัดเจน จึงพยักหน้าเห็นด้วยทันที “เช่นนั้นก็ถือว่าเป็อันตกลงแล้ว ที่เหลือให้เ้าเป็ผู้ตัดสินใจได้เลย”
เมื่อหลินฟู่อินเห็นกล่าวเช่นนั้น ดวงตาทรงผลซิ่งของนางจึงทอประกายมั่นใจขึ้นมา
แต่ครั้งนี้นางจะไม่แบ่งครึ่งต่อครึ่งกับหวงฝู่จินแล้ว นางจึงเม้มปากแล้วกล่าวอย่างไม่กลัวตาย “ครั้งนี้ข้าต้องร่วมมือกับคู่ค้าของข้าด้วย ดังนั้นแล้วจึงมีปัญหาขึ้นมาในเื่การแบ่งส่วน ข้าให้ท่านได้สองส่วน หากท่านตกลง เราคุยกันต่อ หากไม่ ก็ถือว่าข้าไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน”
หลินฟู่อินกำลังพยายามสร้างตราสินค้า ดังนั้นแล้วนางจะไม่ยอมให้หวงฝู่จินที่ไม่ทำอะไรเลยได้นั่งนับเงินเต็มๆ ไปเปล่าๆ แน่
แต่กำลังคนและพื้นที่จากหวงฝู่จินก็ยังเป็สิ่งจำเป็
นางเชื่อว่าสินค้าใหม่ของนางนี้เหนือล้ำกว่าของไฉ่จือไจมากมายนัก แต่ปัญหาคือแม้นางจะยังปลอดภัยใน่แรก แต่หากกินส่วนแบ่งในตลาดเยอะมากเข้าแล้ว ทางไฉ่จือไจก็คงไม่ปล่อยนางไว้แน่
ยิ่งในต้าเว่ยนี้ ไฉ่จือไจที่ทำการค้ามาหลายรุ่นได้มีเส้นสายอันเหนียวแน่นกับฝ่ายปกครอง การขยี้ร้านเล็กๆ ทิ้งไปสักร้านจึงไม่ใช่เื่ยาก
แต่หากนางมีหวงฝู่จินคอยสนับสนุนฐานการผลิตในต้าเว่ยแล้วละก็ การที่จะก้าวข้ามไฉ่จือไจให้ได้ในสักวันก็ไม่ใช่เพียงความฝัน!
หวงฝู่จินตะลึงไปที่หลินฟู่อินกล้าเสนอให้เข้าเพียงสองส่วน ทั้งยังขออำนาจในการตัดสินใจด้วย…
ในแง่ธุรกิจถือว่าเขากำลังเสียเปรียบอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่อาจตอบตกลงได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ได้” หวงฝู่จินส่ายหน้า “สองส่วนถือว่าน้อยเกินไป แต่อำนาจตัดสินใจนี่ข้ายกให้ได้”
หวงฝู่จินรู้ดีว่าตัวเขานั้นไร้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้ ดังนั้นจึงไม่หวังที่จะมีปากเสียง แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าหลินฟู่อินคงไม่ทำอะไรไม่เข้าท่าแน่
และในเมื่อหลินฟู่อินพยายามจับมือกับเขา ก็แปลว่านางมีสิ่งที่้าจากเขาอยู่ เช่นความสามารถในการเก็บความลับ หรือที่ที่เขามี เพราะหากอยู่ในที่ของเขาแล้ว เหล่าคู่แข่งทั้งหลายก็จะไม่สามารถแตะต้องหลินฟู่อินได้…
เหล่านี้คือไพ่ที่เขามี และเขาก็เชี่ยวชาญในการบริหารไพ่ของตน
เพราะหลินฟู่อินรู้แล้วว่าหวงฝู่จินมีสตรีที่ชอบอยู่แล้ว นางจึงบังคับตัวเองให้คิดกับเขาเพียงสหายเท่านั้น
และแม้ว่านางจะอยากช่วยเขา แต่การช่วยโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนก็ไม่ใช่วิถีของนางอีก
แม้จะเป็พี่น้องก็ต้องชัดเจน ดังนั้นแล้วสหายและคู่ค้าก็ยิ่งต้องชัดแจ้ง
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มบาง สายตาทอประกายเ้าเล่ห์ “คุณชายเองก็น่าจะรู้ว่าข้าอยากร่วมงานกับคุณชาย เพราะคุณชายมีทั้งความสามารถในการรักษาความลับ ทั้งยังมีพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างดี หากมีคนอยากเตะตัดขาข้าขึ้นมาก็คงไม่ใช่เื่ง่ายเป็แน่”
“รู้ก็ดีแล้ว” หวงฝู่จินยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ยังไม่ยอมถอย
หลินฟู่อินกะพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะออกมา “นี่เป็เพียงแค่การยกตัวอย่างเท่านั้น ข้าจะทำแป้งขาย และข้าอยากทำให้มันเติบโต แต่หากข้าไม่ได้สนใจจะเลี้ยงมันให้เติบโตเล่า? สิ่งที่ข้าต้องทำก็มีเพียงการขายสูตรไปเสีย เพียงเท่านั้นข้าก็มีใช้ไปทั้งชาติแล้ว”
หรือก็คือ นางยังมีใจอยากช่วยหวงฝู่จินอยู่
อย่างไรเสียหวงฝู่จินก็กำลังเงินขาดมือ แต่หลินฟู่อินนั้นจะไม่มีวันมีปัญหาเื่เงินตราบเท่าที่นางยังพอใจกับสถานะปัจจุบัน
หวงฝู่จินสำลัก แล้วริมฝีปากจึงค้างไป เขาเป็เพียงลูกไก่ในกำมือของเด็กสาวตรงหน้านี้จริงๆ
“แต่สองส่วนก็ยังน้อยเกินไป ขอเพิ่มอีกหนึ่งส่วน ตกลงหรือไม่?” หวงฝู่จินคลี่ยิ้มอ่อนโยน เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเมื่อใดที่เขาเผชิญหน้ากับหลินฟู่อิน เขาจะใจอ่อนลงโดยไม่ทันได้รู้ตัวเสมอ
หลินฟู่อินหรี่ตาลง แล้วมองหวงฝู่จินด้วยรอยยิ้มอันฉาบฉวย “คุณชาย การที่คนเราโลภมากไปนั้นมันย่อมไม่เป็การดี ในตอนที่ข้าบอกว่าได้กำไรมากกว่าไฉ่จือไจแน่ๆ นั้น ข้าหมายถึงด้วยสองส่วนนั้นก็ได้มากกว่าแล้ว”
คำกล่าวของหลินฟู่อินทำให้หวงฝู่จินถึงกับตะลึงไป เด็กสาวผู้นี้มั่นใจในแป้งที่ตนทำมากถึงเพียงนี้เลยหรือ? ถึงขั้นที่กล้าประกาศว่ากำไรเพียงสองส่วนก็เหนือล้ำกว่าไฉ่จือไจแล้วเช่นนี้
หลินฟู่อินเห็นเขามีสีหน้างงงวยก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างน่าเลื่อมใส “ขอเพียงข้ามีใจจะลงมือ อย่างไฉ่จือไจก็เป็คู่มือให้ข้าได้ไม่นานหรอก หากข้ากล่าวอะไรเช่นนั้นเป็ คุณชายจะเชื่อหรือไม่?”
หากไม่คิดจะเชื่อ ก็คงไม่คิดจับมือกับนางแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?
หวงฝู่จินมองนางแล้วก็คิด ก็จริงที่เขาชอบท่าทีมั่นใจของนาง แต่ท่าทีอวดดีที่หาได้ยากเช่นนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยม
ชวนให้นึกถึงเวลาที่เขาต้องออกนำทหารนับพันเลย
“ดี ในเมื่อเ้ามั่นใจเช่นนั้น สองส่วนก็สองส่วน” หวงฝู่จินยอมรับในที่สุด
แน่นอนว่าแทนที่จะเรียกว่าถูกกล่อมได้สำเร็จ ก็ควรเรียกว่านี่เป็เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวนางเสียมากกว่า
เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าหวงฝู่จินยอมถอยให้แล้ว นางก็อารมณ์ดีมาก ดีเสียจนแทบจะฮัมเพลงออกมาเลยทีเดียว
“ส่วนเื่ส่วนแบ่งจากชาดหิมะหลอม ข้าตกลงกับเ้าไว้ว่าเดือนละครั้งก็จริง แต่เพราะตอนนี้ข้ามีความจำเป็ต้องใช้เงิน ดังนั้นข้าจะจ่ายให้เ้าอีกทีตอนสิ้นปีแทน เ้าตกลงหรือไม่?” หวงฝู่จินมองหลินฟู่อินแล้วกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
หลินฟู่อินยังไม่ได้มีแผนจะใช้เงินก้อนนั้นอยู่แล้ว เมื่อเห็นหวงฝู่จินชิงเสนอขึ้นมาก่อนเช่นนี้ นางจึงยิ้มออกมาแล้วโบกมือ “ไม่เป็ปัญหา หากท่านกำลังต้องใช้เงินเร่งด่วน เช่นนั้นแล้วเงินส่วนของข้าก็เอาไว้ทีหลังได้ ข้ารอได้จนถึงวันที่ท่านจะมีเงินล้นมือแล้วกลายเป็พ่อค้าอันดับหนึ่งของเป่ยหรงเลย”
หลินฟู่อินเองก็รู้จักหวงฝู่จินมาพอประมาณแล้ว จึงรู้ว่าหากเขาไม่ขัดสนจริงๆ ก็คงไม่กล่าวเช่นนี้กับนางแน่นอน เพราะอย่างไรเสียเขาก็เคยถือเงินกองโตมาวางให้นางเห็นแล้ว
แต่ในเมื่อเขาเงินขาดมือเช่นนี้ เขาจะมีพอซื้อที่ในชิงเหลียนและในเมืองหนิงหรือ
ความคลางแคลงนั้นแวบขึ้นมาในใจ แต่นางก็ปัดมันทิ้งไป เพราะเดาใจเขาไปก็เท่านั้น
“เช่นนั้นแล้วข้าจะทยอยจ่ายให้เ้าเป็ส่วนๆ”
หวงฝู่จินกล่าวอย่างไม่รักษาท่าที ตัวเขาเองก็ไม่ชอบใจการติดหนี้สตรีนัก แต่เขาก็ยังคงรับน้ำใจของหลินฟู่อินเอาไว้ และกล่าวว่า “หากถึงเวลาที่เ้าต้องใช้เงินจริงๆ เ้าก็มาหาข้าได้ หรือหากไม่ไหวจริงๆ ก็ขายที่ที่ข้าซื้อไว้นี้ได้เลยโดยไม่ต้องมาปรึกษาข้า”
ที่จริงแล้ว นั่นเป็หนึ่งในเหตุผลที่หวงฝู่จินเลือกซื้อที่เหล่านี้ไว้ เพราะหากเขาพลาดพลั้งขึ้นมาก็ให้ถือว่าที่เหล่านี้เป็การทดแทนให้หลินฟู่อินไป
และที่ผืนที่เพิ่งซื้อไปนี้ก็เป็เพียงส่วนเดียว เขาได้สั่งการตวนมู่เฉิงไว้ด้วยว่าให้หาซื้อที่ไว้ให้ได้มากๆ เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส แล้วหาวิธีทำให้ที่เ่าั้ไปอยู่ภายใต้ชื่อของหลินฟู่อินเสีย…
เมื่อกลับถึงเมืองชิงหยาง หลินฟู่อินจึงกล่าวกับหวงฝู่จิน “ข้าจะพาท่านไปดูร้านขายขนมขบเคี้ยวที่พวกข้าเพิ่งตั้ง แล้วจะให้ท่านได้ลองทานดูด้วย”
เมื่อเห็นหวงฝู่จินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หลินฟู่อินจึงยิ้มออกมาแล้วกล่าว “พวกท่านชาวเป่ยหรงกล่าวได้ถูกต้องนัก หากนำของขบเคี้ยวเหล่านี้ไปขายที่เป่ยหรง ข้าว่ามันต้องทำเงินได้มหาศาลเสียยิ่งกว่าที่ต้าเว่ยเป็แน่”
ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ หวงฝู่จินก็เลิกเรียวคิ้วขึ้น แล้วถาม “อะไรที่ทำให้เ้ากล้ากล่าวเช่นนั้นกัน?”
หลินฟู่อินจึงกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าเคยสนทนากับท่านตวนมู่เฉิงและพี่เหล่าลิ่วมาก่อนในเื่ความแตกต่างระหว่างชาวต้าเว่ยและชาวเป่ยหรง ชาวเป่ยหรงนั้นมักอยู่กันแบบเช้าชามเ็ามและไม่คิดถึงเื่อนาคต ไม่คิดเก็บเงินและไม่ค่อยมีเงินอยู่กับตัว ใช้แนวทางเห็นของที่อยากได้ก่อนแล้วจึงเริ่มหาเงิน แต่ชาวต้าเว่ยนั้นต่างออกไป เพราะพวกเรานั้นชอบการเก็บการหาเงิน ชอบคิดถึงอนาคตและการเตรียมเงินเพื่ออนาคต เช่น เพื่องานแต่งของบุตรี”
หวงฝู่จินฟังคำพูดของนางอย่างตั้งใจ มันเป็เช่นนั้นจริงๆ
และหวงฝู่จินก็หัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี
“เมื่อเ้ามองเช่นนั้นแล้ว มันก็ดูจะเป็เช่นนั้นจริงๆ”
จากนั้นจึงกล่าวกับนางต่อ “วิธีการหาเงินด้วยการทำถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกของเ้าสามารถทำเงินได้มากในระยะเวลาอันสั้น จนแม้แต่ขุนนางหลายรายในเป่ยหรงยังต้องหันมาให้ความสนใจ แค่ว่าพวกเขายังหาวิธีไม่ได้เท่านั้น”
หากว่ากันตามตรง แม้เป่ยหรงจะเป็เลิศในการศึก แต่การศึกษาวิจัยนั้นยังนับว่าล้าหลังกว่าต้าเว่ยอยู่มาก
หลินฟู่อินเองก็เข้าใจ นางจึงยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับคุณชายที่ทำเงินเพิ่มได้” จากนั้นจึงกล่าวต่อ “และข้าก็รู้ด้วยว่าชาวเป่ยหรงนั้นนิยมปลูกถั่วและแตง จึงอยากแนะนำคุณชายให้เริ่มลงมือทำกิจการขนมให้เร็วที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้”
ชาวเป่ยหรงไม่ได้ทำงานน้อยเพียงเพราะเื่สภาพอากาศเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่ชอบการทำสิ่งเดิมๆ อยู่ในไร่เดิมๆ ตลอดปีด้วย เพราะชื่นชอบการออกไปบุกตะลุยหาของป่ากันเสียมากกว่า หากต้องลงมือปลูกผักกันจริงๆ พวกเขาก็อยากที่จะปลูกพืชที่ทำเงินได้และดูแลได้ง่ายๆ กันเสียมากกว่า
เช่นดอกทานตะวันที่ต้องทำเพียงหว่านเมล็ดแล้วนอนรอผลผลิตได้เลย เพราะใช้เพียงแดดและฝนตามธรรมชาติก็เติบโตกันได้แล้ว
หวงฝู่จินตามหลินฟู่อินไปจนถึงร้าน แต่เมื่อเห็นกล่องขนมที่ขายอยู่ หวงฝู่จินก็แอบอายเกินกว่าที่จะยื่นมือออกไปกิน
ส่วนหลินฟู่อินนั้นหยิบขึ้นมากินอย่างสบายใจในจังหวะที่ไม่มีคนมอง จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้หวงฝู่จินก้มหน้าลงก่อนที่นางจะยัดขนมใส่ปากเขา
นางไม่ได้มีความคิดอันใดแอบแฝง แต่การกระทำนี้เป็ผลให้ดวงตาหวงฝู่จินเป็ประกายขึ้นมา
“อร่อยยิ่ง” หวงฝู่จินรู้สึกประทับใจในรสชาติเป็อย่างมาก เขาไม่เคยได้ััของทานเล่นที่มีรสชาติเช่นนี้มาก่อน ซึ่งนั่นก็เป็เื่แน่นอน เพราะอาหารในวังไม่มีของเช่นนี้
และแม้ว่าเขาจะเคยได้ทานของหวานจากในวังมาก่อน แต่เขากลับจำรสชาติของมันไม่ได้เลย กลับกัน ขนมกินเล่นที่หลินฟู่อินทำนี้กลับเปี่ยมไปด้วยรสชาติอันน่าจดจำ
“ขอเพิ่ม” หวงฝู่จินกล่าว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความพอใจ
และขอให้หลินฟู่อินแกะเปลือกและป้อนเขาอีกครั้ง
หลินฟู่อินคิดว่าหวงฝู่จินคงอายเกินกว่าที่จะหยิบทานเอง
แต่ถ้าแค่เล็กน้อย นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
นางแกะถั่วห้ารสและถั่วปากอ้าปรุงรสให้หวงฝู่จินทาน และดูเขาจะพอใจเป็อย่างมาก
จากนั้นนางจึงกล่าวกับหวงฝู่จิน “หากท่านถูกใจถึงเพียงนั้น ตอนกลับก็เอาติดมือกลับไปด้วย เอาไปอย่างละนิดละหน่อย แม้ชายร่างใหญ่อย่างท่านจะไม่ชอบทาน แต่แม่นางหลีอู่คงชอบแน่”
แม้การกล่าวชื่อหลีอู่นี้จะทำให้นางรู้สึกเจ็บแปลบในอกขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็เพียงครู่เดียว พริบตาต่อมานางก็สะบัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปสิ้น
คิดอะไรไปก็เท่านั้น เช่นนั้นก็อย่าคิดเลยจะดีกว่า
นางได้อาศัยอยู่ร่วมบ้านกับเขาแล้ว ดังนั้นจึงควรพอใจ ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็ไปตามฟ้าลิขิตเสียจะดีกว่า
หวงฝู่จินจับตามองสีหน้าของนางไม่วางตา ใจเขาเจ็บแปลบขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินนางกล่าวชื่อนั้น แต่สีหน้าของเขานั้นไม่ไหวติง
เขาไม่ชอบการที่หลินฟู่อินเอ่ยชื่อของสตรีอื่นต่อหน้าเขามากนัก แม้ว่านั่นจะเป็ชื่อของหลีอู่ก็ตาม
“ข้ายังอยากกินอยู่ ครั้งนี้ข้าขอเมล็ดทานตะวันห้ารส” หวงฝู่จินกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
หลินฟู่อินตะลึงไป นางคงไม่ได้เผลอไปทำให้เขาไม่พอใจใช่หรือไม่? เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย แต่ตอนนี้กลับไม่พอใจเช่นนั้นหรือ
นางจึงมองหวงฝู่จินอย่างใคร่รู้ แต่เมื่อมองใบหน้าอันหล่อเหลานั้นแล้ว ก็ยิ่งมั่นใจขึ้นว่าเขากำลังไม่พอใจจริงๆ
“จะให้ข้าแกะเมล็ดทานตะวันหรือ? ข้าไม่อยากให้เล็บข้าเสีย ท่านหยิบทานเองเถอะ”
“เช่นนั้นก็แกะด้วยปากเ้าสิ” หวงฝู่จินกล่าวเสียงเบา และราวกับเขานึกอะไรดีๆ ออกได้จึงแสยะยิ้มขึ้น ความไม่พอใจในสีหน้าหายไป สายตาดูอ่อนหวาน
หลินฟู่อินตะลึงงัน
นี่จงใจใช่หรือไม่?
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินอึ้งไปแล้ว หวงฝู่จินจึงหยิบเอาเมล็ดทานตะวันขึ้นมาเอง แล้วยัดใส่มือของหลินฟู่อิน ก่อนจะกล่าว “ต่อไปเป็นี่”
มือของหลินฟู่อินนั้นเล็กยิ่ง จึงไม่อาจรับเมล็ดทั้งหมดได้ไหว และเพราะนางกลัวว่ามันจะตกพื้น นางจึงต้องรับไว้ด้วยสองมือ
เมล็ดนั้นจึงแผ่อยู่เต็มสองมือนาง
หวงฝู่จินมองมือของนางด้วยคิ้วที่ย่นลงเล็กน้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้